คำเชิญของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล…เชิญข้าหรือ
สวี่ชีอันไม่อยากเชื่อไปครู่หนึ่ง เขายังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้ผลีผลามพูดอะไร
“เจ้าเป็นคนมีความสามารถ ที่ห้องโถงด้านหลังที่ว่าการในตอนนั้น ข้าก็ยืนยันแล้ว เพียงแต่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีกฎว่าระดับหลอมปราณคือขั้นต่ำ” หลี่อวี้ชุนเปลี่ยนเป็นท่านั่งสบายๆ ไม่ดูข่มขู่เหมือนอย่างเมื่อสักครู่นี้ และพูดว่า
“ในฐานะผู้พิทักษ์ของต้าฟ่ง ผู้พิทักษ์ของฝ่าบาท ความคาดหวังจึงสูงเป็นเรื่องปกติ”
“แต่เจ้าใช้ความสามารถของตัวเองพิสูจน์ตัวเจ้าเองแล้ว แม้จะอยู่ระดับหลอมจิต หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็อยากชักชวนเจ้า”
เป็นเพราะวิธีของข้าสกปรกพอ ความคิดรอบคอบพอ ดังนั้นจึงแหกกฎและรับเข้าเป็นพิเศษหรือ
ถูกต้อง ฆ้องเงินที่มีสายเลือดชนเผ่าหนานหมานครึ่งหนึ่งแสดงความชื่นชมข้ามากตอนคลี่คลายคดีเงินภาษี
ฆ้องเงินที่มีสีหน้าเคร่งขรึมคนนั้นกล่าวเสริม “แน่นอนว่า เหตุผลหลักคือองค์หญิงใหญ่แนะนำเจ้ามา”
องค์หญิงใหญ่?! สวี่ชีอันตกตะลึง
องค์หญิงใหญ่เป็นใคร ทำไมนางถึงต้องแนะนำข้า ข้าไม่รู้จักนางเลย เอ่อ…จริงๆ ข้าเคยได้ยินเรื่องนางในสำนักอวิ๋นลู่ แต่พวกเราไม่เคยเจอกัน นางจะแนะนำข้าให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทำไม
สวี่ชีอันเต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ ฆ้องเงินสองคนก็ดูไม่ได้วางแผนจะขจัดความสงสัยให้เขา เป็นไปได้ว่าพวกเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
“นอกจากเรื่องเหล่านี้ สาเหตุที่ท่านทั้งสองไม่รายงานเรื่องของข้าคือ…”
หลี่อวี้ชุนยิ้ม “เจ้าก็น่าจะรู้หน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”
กำกับดูแลเหล่าขุนนางข้าราชบริพาร…รองเจ้ากรมโจวที่ยักยอกเงินของคลังหลวงไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกันกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แม้แต่การสิ้นอำนาจของรองเจ้ากรมโจวก็มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคอยผลักดันอยู่…สวี่ชีอันเข้าใจในทันที
“รองเจ้ากรมโจวไม่ช้าก็เร็วก็ต้องจบ พวกเราเริ่มจัดการกับเขาแล้ว เพียงแต่อุบายเล็กๆ ของเจ้า ช่วยเร่งความคืบหน้าให้พวกเรา” ฆ้องเงินที่มีสีหน้าเคร่งขรึมคนนั้นพูด
หลี่อวี้ชุนมองเขา และพูดว่า “ใต้เท้าซุน ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ คนคนนี้ข้าจะรับไว้ ขอพื้นที่ให้พวกเราคุยกันสักหน่อย”
ฆ้องเงินแซ่ซุนไม่ไป แต่จ้องมองสวี่ชีอัน “เจ้ามีสิทธิ์ที่จะเลือก ติดตามเขาหรือติดตามข้า ความแตกต่างด้านอำนาจระหว่างพวกเราสองคนมีไม่มาก แต่เขาเป็นคนหัวรั้น ไม่รู้จักยืดหยุ่น เหมือนฆ้องทองแดงที่ติดตามเขา แต่ฆ้องทองแดงที่ติดตามข้าอย่างมากสามปีก็ซื้อลานเล็กๆ ที่นับว่าไม่เลวที่เมืองชั้นในได้แล้ว”
ทำงานสามปี บ้านในเมืองหลวง…เป็นการล่อลวงที่ทำให้คนไม่อาจต้านทานได้จริงๆ… สวี่ชีอันปฏิเสธการชักชวนของฆ้องเงินซุนอย่างนุ่มนวล
“ตอนคดีเงินภาษี ใต้เท้าหลี่ให้โอกาสข้าทำความดีลบล้างความผิด ความเมตตานี้ข้ายังจดจำไว้เสมอ ข้าอยากทำงานใต้การปกครองของเขาขอรับ”
นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในเหตุผลเท่านั้น อีกเหตุผลหนึ่งคือเขาไม่อยากฝืนใจตัวเอง ทำเรื่องชั่วร้ายอย่าง ‘เรื่องผิดกฎหมาย’ มากเกินไป
ฆ้องเงินซุนพยักหน้าเล็กน้อย และเอ่ยชม “การรู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณนั้นเป็นเรื่องดี”
เขาออกไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย
เมื่อประตูปิด หลี่อวี้ชุนก็ชี้ไปที่เก้าอี้ตรงข้าม และยิ้มอย่างอ่อนโยน “นั่งๆ ข้าขอแนะนำตัวเองเสียหน่อย ข้าหลี่อวี้ชุน ภายหลังจะเป็นหัวหน้าของเจ้า เจ้าสามารถเรียกเช่นนี้ได้ทันที หากรู้สึกไม่คุ้นชิน เรียกใต้เท้าหลี่ก็ได้เช่นกัน”
เรียกเจ้าว่าพี่ชุนได้หรือไม่…สวี่ชีอันเข้ามานั่ง และเรียก “ใต้เท้าหลี่” อย่างระมัดระวัง
“ทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของข้าต้องไม่มีความหวั่นไหวในใจ เรื่องนี้เจ้าจงจำไว้” หลังจากหลี่อวี้ชุนเตือนหนึ่งประโยค เขาก็เริ่มแนะนำหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
“ในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ระดับต่ำสุดคือเจ้าหน้าที่พลเรือน ไม่มีที่ทำงาน งานที่ทำคืองานจร ต่อมาคือฆ้องทองแดง เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจริงจัง อย่างน้อยต้องอยู่ระดับหลอมปราณ เงินเดือนห้าตำลึงเงินข้าวสารสองต้าน ขั้นต่อไปคือฆ้องเงิน เพลิดเพลินกับสถานะหัวหน้ากองร้อย เหนือฆ้องเงินคือฆ้องทองคำ เป็นตำแหน่งระดับสูงสุด เมืองหลวงต้าฟ่งมีฆ้องทองคำเพียงแค่สิบคนเท่านั้น ซึ่งรับคำสั่งจากเว่ยกงโดยตรง”
สวี่ชีอันพยักหน้า ความรู้ทั่วไปเหล่านี้เขารู้ เว่ยเยวียนคนนั้นเป็นสมาชิกของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
“หน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคือกำกับดูแลเหล่าขุนนางข้าราชบริพาร ปกป้องเมืองหลวง ธุรกิจเฉพาะทาง จากนี้เจ้าก็ค่อยๆ ทำความคุ้นเคยไป” หลี่อวี้ชุนมองพินิจสวี่ชีอัน
“ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับหลอมจิตขั้นสูงสุด ข้ามีข้อเสนอสองข้อ หนึ่งคือค่อยๆ สะสมผลงานและรอโอกาส สองคือจ่ายสี่ร้อยตำลึงเงิน และข้าจะช่วยเจ้าเปิดประตูสวรรค์”
สวี่ชีอันไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ข้าเลือกข้อที่สองขอรับ”
หลี่อวี้ชุนหรี่ตา “ร่ำรวยยิ่งนัก”
“แม่นางไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์ให้ข้ายืมขอรับ” สวี่ชีอันป้ายสีใส่หญิงงามดวงตากลมโตอย่างสงบนิ่ง
หลี่อวี้ชุนพยักหน้า “ก่อนอื่นข้าจะจัดการให้เจ้าเปลี่ยนทะเบียนบ้านและทำตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง”
หลังจากเขาพูดจบก็เดินออกไป ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็นำชายหนุ่มตาตี่กับชายหนุ่มที่สำรวมกิริยาเข้ามา
“ซ่งถิงเฟิง” ชายหนุ่มตาตี่แย้มยิ้มแนะนำตัวเอง และมองสำรวจสวี่ชีอัน “เจ้าไม่เลวเลย เข้ามาถึงก็กลายเป็นสหายร่วมงานกันแล้วหรือ”
“จูกว่างเสี้ยว” เมื่อชายหนุ่มที่สำรวมกิริยาพูดจบ เขาก็ไม่พูดอะไรอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง