ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 62

สรุปบท บทที่ 62 การทดสอบคุณสมบัติ: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 62 การทดสอบคุณสมบัติ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 62 การทดสอบคุณสมบัติ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

คำเชิญของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล…เชิญข้าหรือ

สวี่ชีอันไม่อยากเชื่อไปครู่หนึ่ง เขายังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้ผลีผลามพูดอะไร

“เจ้าเป็นคนมีความสามารถ ที่ห้องโถงด้านหลังที่ว่าการในตอนนั้น ข้าก็ยืนยันแล้ว เพียงแต่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีกฎว่าระดับหลอมปราณคือขั้นต่ำ” หลี่อวี้ชุนเปลี่ยนเป็นท่านั่งสบายๆ ไม่ดูข่มขู่เหมือนอย่างเมื่อสักครู่นี้ และพูดว่า

“ในฐานะผู้พิทักษ์ของต้าฟ่ง ผู้พิทักษ์ของฝ่าบาท ความคาดหวังจึงสูงเป็นเรื่องปกติ”

“แต่เจ้าใช้ความสามารถของตัวเองพิสูจน์ตัวเจ้าเองแล้ว แม้จะอยู่ระดับหลอมจิต หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็อยากชักชวนเจ้า”

เป็นเพราะวิธีของข้าสกปรกพอ ความคิดรอบคอบพอ ดังนั้นจึงแหกกฎและรับเข้าเป็นพิเศษหรือ

ถูกต้อง ฆ้องเงินที่มีสายเลือดชนเผ่าหนานหมานครึ่งหนึ่งแสดงความชื่นชมข้ามากตอนคลี่คลายคดีเงินภาษี

ฆ้องเงินที่มีสีหน้าเคร่งขรึมคนนั้นกล่าวเสริม “แน่นอนว่า เหตุผลหลักคือองค์หญิงใหญ่แนะนำเจ้ามา”

องค์หญิงใหญ่?! สวี่ชีอันตกตะลึง

องค์หญิงใหญ่เป็นใคร ทำไมนางถึงต้องแนะนำข้า ข้าไม่รู้จักนางเลย เอ่อ…จริงๆ ข้าเคยได้ยินเรื่องนางในสำนักอวิ๋นลู่ แต่พวกเราไม่เคยเจอกัน นางจะแนะนำข้าให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทำไม

สวี่ชีอันเต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ ฆ้องเงินสองคนก็ดูไม่ได้วางแผนจะขจัดความสงสัยให้เขา เป็นไปได้ว่าพวกเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน

“นอกจากเรื่องเหล่านี้ สาเหตุที่ท่านทั้งสองไม่รายงานเรื่องของข้าคือ…”

หลี่อวี้ชุนยิ้ม “เจ้าก็น่าจะรู้หน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”

กำกับดูแลเหล่าขุนนางข้าราชบริพาร…รองเจ้ากรมโจวที่ยักยอกเงินของคลังหลวงไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกันกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แม้แต่การสิ้นอำนาจของรองเจ้ากรมโจวก็มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคอยผลักดันอยู่…สวี่ชีอันเข้าใจในทันที

“รองเจ้ากรมโจวไม่ช้าก็เร็วก็ต้องจบ พวกเราเริ่มจัดการกับเขาแล้ว เพียงแต่อุบายเล็กๆ ของเจ้า ช่วยเร่งความคืบหน้าให้พวกเรา” ฆ้องเงินที่มีสีหน้าเคร่งขรึมคนนั้นพูด

หลี่อวี้ชุนมองเขา และพูดว่า “ใต้เท้าซุน ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ คนคนนี้ข้าจะรับไว้ ขอพื้นที่ให้พวกเราคุยกันสักหน่อย”

ฆ้องเงินแซ่ซุนไม่ไป แต่จ้องมองสวี่ชีอัน “เจ้ามีสิทธิ์ที่จะเลือก ติดตามเขาหรือติดตามข้า ความแตกต่างด้านอำนาจระหว่างพวกเราสองคนมีไม่มาก แต่เขาเป็นคนหัวรั้น ไม่รู้จักยืดหยุ่น เหมือนฆ้องทองแดงที่ติดตามเขา แต่ฆ้องทองแดงที่ติดตามข้าอย่างมากสามปีก็ซื้อลานเล็กๆ ที่นับว่าไม่เลวที่เมืองชั้นในได้แล้ว”

ทำงานสามปี บ้านในเมืองหลวง…เป็นการล่อลวงที่ทำให้คนไม่อาจต้านทานได้จริงๆ… สวี่ชีอันปฏิเสธการชักชวนของฆ้องเงินซุนอย่างนุ่มนวล

“ตอนคดีเงินภาษี ใต้เท้าหลี่ให้โอกาสข้าทำความดีลบล้างความผิด ความเมตตานี้ข้ายังจดจำไว้เสมอ ข้าอยากทำงานใต้การปกครองของเขาขอรับ”

นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในเหตุผลเท่านั้น อีกเหตุผลหนึ่งคือเขาไม่อยากฝืนใจตัวเอง ทำเรื่องชั่วร้ายอย่าง ‘เรื่องผิดกฎหมาย’ มากเกินไป

ฆ้องเงินซุนพยักหน้าเล็กน้อย และเอ่ยชม “การรู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณนั้นเป็นเรื่องดี”

เขาออกไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย

เมื่อประตูปิด หลี่อวี้ชุนก็ชี้ไปที่เก้าอี้ตรงข้าม และยิ้มอย่างอ่อนโยน “นั่งๆ ข้าขอแนะนำตัวเองเสียหน่อย ข้าหลี่อวี้ชุน ภายหลังจะเป็นหัวหน้าของเจ้า เจ้าสามารถเรียกเช่นนี้ได้ทันที หากรู้สึกไม่คุ้นชิน เรียกใต้เท้าหลี่ก็ได้เช่นกัน”

เรียกเจ้าว่าพี่ชุนได้หรือไม่…สวี่ชีอันเข้ามานั่ง และเรียก “ใต้เท้าหลี่” อย่างระมัดระวัง

“ทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของข้าต้องไม่มีความหวั่นไหวในใจ เรื่องนี้เจ้าจงจำไว้” หลังจากหลี่อวี้ชุนเตือนหนึ่งประโยค เขาก็เริ่มแนะนำหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

“ในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ระดับต่ำสุดคือเจ้าหน้าที่พลเรือน ไม่มีที่ทำงาน งานที่ทำคืองานจร ต่อมาคือฆ้องทองแดง เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจริงจัง อย่างน้อยต้องอยู่ระดับหลอมปราณ เงินเดือนห้าตำลึงเงินข้าวสารสองต้าน ขั้นต่อไปคือฆ้องเงิน เพลิดเพลินกับสถานะหัวหน้ากองร้อย เหนือฆ้องเงินคือฆ้องทองคำ เป็นตำแหน่งระดับสูงสุด เมืองหลวงต้าฟ่งมีฆ้องทองคำเพียงแค่สิบคนเท่านั้น ซึ่งรับคำสั่งจากเว่ยกงโดยตรง”

สวี่ชีอันพยักหน้า ความรู้ทั่วไปเหล่านี้เขารู้ เว่ยเยวียนคนนั้นเป็นสมาชิกของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

“หน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคือกำกับดูแลเหล่าขุนนางข้าราชบริพาร ปกป้องเมืองหลวง ธุรกิจเฉพาะทาง จากนี้เจ้าก็ค่อยๆ ทำความคุ้นเคยไป” หลี่อวี้ชุนมองพินิจสวี่ชีอัน

“ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับหลอมจิตขั้นสูงสุด ข้ามีข้อเสนอสองข้อ หนึ่งคือค่อยๆ สะสมผลงานและรอโอกาส สองคือจ่ายสี่ร้อยตำลึงเงิน และข้าจะช่วยเจ้าเปิดประตูสวรรค์”

สวี่ชีอันไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ข้าเลือกข้อที่สองขอรับ”

หลี่อวี้ชุนหรี่ตา “ร่ำรวยยิ่งนัก”

“แม่นางไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์ให้ข้ายืมขอรับ” สวี่ชีอันป้ายสีใส่หญิงงามดวงตากลมโตอย่างสงบนิ่ง

หลี่อวี้ชุนพยักหน้า “ก่อนอื่นข้าจะจัดการให้เจ้าเปลี่ยนทะเบียนบ้านและทำตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง”

หลังจากเขาพูดจบก็เดินออกไป ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็นำชายหนุ่มตาตี่กับชายหนุ่มที่สำรวมกิริยาเข้ามา

“ซ่งถิงเฟิง” ชายหนุ่มตาตี่แย้มยิ้มแนะนำตัวเอง และมองสำรวจสวี่ชีอัน “เจ้าไม่เลวเลย เข้ามาถึงก็กลายเป็นสหายร่วมงานกันแล้วหรือ”

“จูกว่างเสี้ยว” เมื่อชายหนุ่มที่สำรวมกิริยาพูดจบ เขาก็ไม่พูดอะไรอีก

“และในหมู่พวกเขา มีคนหนึ่งพูดโกหก คนหนึ่งพูดความจริง”

ซ่งถิงเฟิงส่งเสียง ‘หึ’ ออกมา “เจ้ามีเวลาคิดหนึ่งก้านธูป และข้าไม่อาจแนะนำอะไรเจ้าได้”

จูกว่างเสี้ยวเตือนอย่างกระชับและครอบคลุม “คำถามนี้ยากมาก เจ้าจงคิดให้รอบคอบ”

ซ่งถิงเฟิงพยักหน้า “แม้เว่ยกงจะพูดว่านี่เป็นเพียงการทดสอบเล็กๆ แต่คนที่เดาถูกก็มีน้อยมาก แม้ว่าข้าจะเข้าใจอย่างละเอียดในภายหลัง แต่เวลาก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้ว”

“ว่ากันว่ามีเพียงเหล่าใต้เท้าฆ้องทองคำเท่านั้นที่เข้าใจคำถามนี้ภายในยี่สิบลมหายใจ”

เจ้าพนักงานจุดธูปหนึ่งก้าน และปักไว้ด้านข้าง

คำถามเชิงตรรกะง่ายๆ เช่นนี้ ชาติก่อนข้าผ่านมาไม่รู้เท่าไหร่

สวี่ชีอันหันไปถามเจ้าพนักงานทางซ้าย “หากเจ้าเป็นเขา เจ้าจะบอกข้าว่าอะไร”

เจ้าพนักงานคนนั้นงุนงงเล็กน้อย ราวกับไม่ได้คิดว่าสวี่ชีอันจะถามคำถามแบบนี้ เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และตอบด้วยเสียงอู้อี้ “ไม่มีของ”

สวี่ชีอันพยักหน้า และยื่นมือไปดึงกล่องผ้าในมือเจ้าพนักงานทางขวามา “ของอยู่ในกล่องผ้าใบนี้”

ซ่งถิงเฟิงอ้าปากค้าง และมองสหายร่วมงานที่ไร้การตอบสนองด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “นานเท่าไหร่”

น้ำเสียงของจูกว่างเสี้ยวหดหู่เล็กน้อย “ไม่นับว่าเป็นทักษะที่ทำให้เจ้าพนักงานตื่นตะลึง สิบสองลมหายใจ…”

บรรยากาศเงียบลงทันที ซ่งถิงเฟิงประสานมือ และส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “เจ้าคลี่คลายคดีเงินภาษีได้ นี่ไม่ใช่แมวตาบอดเจอหนูที่ตายแล้ว[1]”

เขารู้จักสวี่ชีอัน หลี่อวี้ชุนเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่สืบสวนหลักในคดีเงินภาษี ตอนนั้นซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวสะกดรอยตามปีศาจที่ไม่มีตัวตนอย่างหนักอยู่ข้างนอก

หลังจากที่คดีเงินภาษีคลี่คลาย ในฐานะผู้มีส่วนร่วมของคดี แน่นอนว่าเขารู้ถึงการมีอยู่ของสวี่ชีอัน

……………………………………………

[1] แมวตาบอดเจอหนูที่ตายแล้ว เป็นการเปรียบเปรยว่าเป็นเรื่องบังเอิญ (คำอธิบาย แมวเชี่ยวชาญในการจับหนู แต่แมวที่ตาบอดไม่สามารถจับหนูได้ มันจึงสามารถจับได้เฉพาะหนูที่ตายแล้วซึ่งไม่ได้เป็นเพราะความสามารถของมันเอง)

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง