ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 627

สรุปบท บทที่ 627 หยกสลาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 627 หยกสลาย – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 627 หยกสลาย ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 627 หยกสลาย

เจตจำนงก็คือวิทยายุทธ!

นับแต่เข้าใจ ‘หยกสลาย’ วิทยายุทธของเขาก็ถูกกำหนดเป็นที่เรียบร้อย

จะวิจารณ์ ‘เจตจำนง’ ที่เผด็จการที่สุดในโลกนี้ ‘การทำลายแนวข้าศึก’ ของเว่ยเยวียนก็นับเป็นหนึ่งในนั้น

ทว่าจะวิจารณ์วิทยายุทธของใครในโลกว่าเป็นของแท้และสุดยอดที่สุด หยกสลายของสวี่ชีอันถูกจัดอยู่ในแนวหน้าแน่นอน

‘เจตจำนง’ ที่จอมยุทธ์คนอื่นเข้าใจคือเพื่อสู้รบ เพื่อฆ่าศัตรู

‘เจตจำนง’ ของสวี่ชีอันไม่ใช่เพื่อศักดิ์ศรี เพียงเพื่อหยกสลาย และล่มหัวจมท้ายถึงที่สุด

ก็เพื่อเดิมพันชีวิต

เมื่อมองแวบแรก สถานการณ์แต่ละก้าวบีบให้เขาเข้าใจ ‘เจตจำนง’ ถึงที่สุดเพราะการตายของเว่ยเยวียน ทว่าหากไม่มี ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ปูทางล่ะ

หากไม่มีสุดยอดเคล็ดวิชา ‘หลังจากดาบนี้ เจ้าตายข้ารอด’ ส่วนนี้ปูพื้นฐาน แล้วเขาเผชิญหน้าในสภาพอับจนที่ด่านอวี้หยางในวันนั้น จะเข้าใจ ‘หยกสลาย’ ได้จริงหรือ

เมื่อนึกถึงตอนนี้ เริ่มจากเขาเลือกสุดยอดเคล็ดวิชา ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ในตอนแรก เส้นทางวิทยายุทธของเขาก็ถูกกำหนดแล้ว

เมื่อนึกถึงตอนนี้ เขาเข้าใจ ‘เจตจำนง’ ได้อย่างรวดเร็ว แล้วย่างเข้าสู่ขั้นสี่ก็เพราะเขาฝึกฝน ‘เจตจำนง’ นี้มาโดยตลอด เริ่มจากหลอมปราณขั้นแปด เขาก็กำลังฝึกต้นแบบของ ‘หยกสลาย’ อยู่

สวี่ชีอันตะโกนนอกไปว่า ‘เดิมพันชีวิต’ ไม่ใช่ด้วยอารมณ์หรือคำพูดสวยหรู ทว่ามีเหตุผล

นับแต่สังหารเจินเต๋อเข้าสู่ยุทธภพแต่นั้นมา สถานการณ์ของสวี่ชีอันเหมือนเหยียบน้ำแข็งแผ่นบางอยู่เสมอ

ต้องเตรียมรับมือแผนของสวี่ผิงเฟิงพลางรับมือการไล่ฆ่าจากสำนักพุทธ

การดิ้นรนในความทุกข์ยากแบบนี้ เขาก็ยิ่งรู้ซึ้งใน ‘หยกสลาย’ มากขึ้นเรื่อยๆ

กระทั่งการต่อสู้ที่ภูเขาเฉวี่ยนหรงครั้งนี้ ถูกผู้แข็งแกร่งระดับบรรลุธรรมทั้งสามรุมโจมตีในสภาพอับจนอย่างแท้จริงที่ตายได้ทุกเมื่อ หยกสลายในที่สุดก็มาถึงอุปสรรค…

เดิมพันด้วยชีวิต?!

เสียงคำรามดังก้องไปทั่วใต้หล้า แม้แต่กองทหารชายแดนใต้ภูเขาเฉวี่ยนหรง พลทหารกองทหารม้าในนั้นก็ได้ยินแจ่มแจ้ง

แม้จะอยู่ห่างไกล การเคลื่อนไหวในสงครามที่เกิดในภูเขาเฉวี่ยนหรงใหญ่เพียงนี้ แม้แต่ทางด้านกองทหารชายแดนก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน

รู้แก่ใจว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์พบกับภยันตรายครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่ประวัติศาสตร์เป็นต้นมา

สวี่ชีอันกับสามผู้แกร่งเหนือมนุษย์สู้จากภูเขาขึ้นสู่ฟ้าเป็นครั้งครา ทางด้านกองทหารชายแดนก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน

วิธีการเรียกพายุของน่าหลันเทียนลู่

“เดิมพันด้วยชีวิตหรือ ฆ้องเงินสวี่ถูกบีบให้เดิมพันด้วยชีวิตแล้วหรือ…”

จอมยุทธ์ลูบหน้าด้วยริมฝีปากสั่นเทาท่ามกลางพายุ

“ต่างเล่าว่าฆ้องเงินสวี่คุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า แต่ก่อนเพียงเคยได้ยิน ไม่เคยเห็นมาก่อน วันนี้ถึงได้รู้ว่าคำเล่าลือเป็นจริง เพื่อให้ข้าได้ออกรบ เขาไม่สนใจว่าจะเป็นหรือตาย”

ทหารชั้นล่างนายหนึ่งจับดาบคาดเอวแน่น อยากขึ้นไปเสริมทัพด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่านใจจะขาด

“ฆะ ฆ้องเงินสวี่ถูกบีบให้เข้าตาจนแล้ว…”

หญิงสาวหอหมื่นบุปผานางหนึ่งปิดหน้า นัยน์ตาเคล้าน้ำตา

ทุกคนสีหน้าโศกเศร้า เคียดแค้น และกังวลอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเผชิญหน้าศัตรูแข็งแกร่งและพลังดุจเทพเจ้าเช่นนี้ ฆ้องเงินสวี่ก็ทุ่มสุดตัวจะสู้ด้วยชีวิตกับฝ่ายตรงข้าม

เสียงตะโกนนี้ยิ่งคล้ายกับคนที่อับจนกำลังส่งเสียงกรีดร้องอย่างโกรธแค้น

สีหน้าของหรงหรงซีดขาว กำปั้นสวยกำแน่น หัวใจดิ่งลงอย่างเงียบๆ

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้! ”

คุณชายหลิ่วได้ยินเสียงพึมพำของท่านอาจารย์จึงหันหน้ามอง มือที่ท่านอาจารย์กำกระบี่สั่นเทาเล็กน้อย

เมื่อออกจากสัญญาลับระหว่างศิษย์และอาจารย์ คุณชายหลิ่วก็เข้าใจเจตนาของท่านอาจารย์

เพราะเหตุใดจึงสู้เพื่อกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ถึงขั้นนี้

เพราะเหตุใดถึงต้องปกป้องภูเขาเฉวี่ยนหรง

เฉาชิงหยางที่อยู่ไม่ไกลหันกลับมามองจอมกระบี่วัยกลางคน แล้วเอ่ยเสียงต่ำ

“ท่านบรรพชนปลีกวิเวกอยู่ในนั้นก็เพื่อท่านบรรพชน”

เมื่อปะทะกับสายตาฉงนของทุกคน เฉาชิงหยางจึงอธิบาย

“เพราะสงครามในเมืองหลวงครั้งนั้น ท่านบรรพชนได้ช่วยเขาเอาไว้ ดังนั้นเขาจะปกป้องกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่ถอยโดยเด็ดขาด”

ท่านบรรพชนก็ลงมือในสงครามเมืองหลวงครั้งนั้นเช่นกันหรือ

ดังนั้นที่วันนี้ฆ้องเงินสวี่ต่อสู้เพื่อกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ สู้โดยไม่เสียดายชีวิต เพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยเหลือในวันนั้น…ทุกคนต่างเงียบ

เซียวเยว่หนูเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ก่อนจะสูดหายใจลึกพร้อมเอ่ยเสียงดัง

“วีรบุรุษหนุ่มมีศีลมีสัตย์ คบหามิตรผู้องอาจ มีน้ำใสใจจริงต่อกัน ถึงยามโกรธเคืองเดือดดาล ลุกขึ้นมาพูดเพื่อความเป็นธรรม สามารถร่วมเป็นร่วมตาย คำสัญญาของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง”

นางทอดมองเด็กหนุ่มที่ยืนท่ามกลางพายุ แล้วพึมพำเสียงเบา

“คำสัญญาของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง”

ทุกคนนึกขึ้นได้โดยพลัน นี่เป็นหนึ่งในผลงานชั้นยอดของฆ้องเงินสวี่ เล่ากันว่าประพันธ์ขึ้นยามสกัดกั้นกองทัพกบฏ สองหมื่นคนที่อวิ๋นโจวโดยลำพัง ภายหลังก็ขับร้องกันอย่างแพร่หลายในเมืองหลวง นักเล่านิทานเผยแพร่ไปทั่วประเทศ

ฆ้องเงินสวี่ คำสัญญาของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง…

เรืออวี่เฟิง

สวี่หยวนไหวเปียกชุ่มสายฝนไปทั้งตัว กราดมองเงาด้านล่างด้วยสีหน้าซับซ้อน

“ต้องสู้ด้วยชีวิต…ในที่สุดเขาก็ถูกบีบให้เข้าตาจนเสียแล้ว”

สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วไม่เอื้อนเอ่ย

จีเสวียนยืนอยู่ที่ข้างเรือ โค้งตัวเล็กน้อยคล้ายอยากมองให้ชัดขึ้น

“ปรมาจารย์น่าหลันอวี่ระดมกำลังใต้หล้า ข้าพูดไม่ได้ว่าอานุภาพถึงขั้นหนึ่งหรือไม่ ทว่าอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นสองแน่นอน”

จีเสวียนสูดหายใจลึก “นี่สูงกว่าสวี่ชีอันทุกระดับ หากเขาไม่มีผู้ช่วยระดับเดียวกันหรือไพ่ตายก็ไม่มีทางรอดแน่นอน”

“เดิมพันด้วยชีวิตหรือ”

‘ตงฟางหว่านหรง’ นัยน์ตาห้าสีหมุนเวียน นี่คือสัญญาณของพลังห้าธาตุที่เปี่ยมล้นในร่างกาย

น้ำเสียงของนางราบเรียบถึงขั้นดูถูกเล็กน้อย แล้วถามกลับ

“แค่จอมยุทธ์ขั้นสามก็คู่ควรจะเดิมพันชีวิตกับข้างั้นหรือ”

นางยกมือขวาขึ้นสูงระหว่างที่พูด ฝ่ามือเล็งขึ้นฟ้า

‘เปรี้ยง…’

อสนีบาตฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง ‘ฟาด’ ออกมาเป็นหอกยาวลงบนฝ่ามือของนางช้าๆ

หอกยาวก่อตัวจากสายฟ้าบริสุทธิ์ สีฟ้าขาวอันเจิดจ้า งูอสนีบาตเลื้อยอยู่บนผิวนอก ส่งเสียง ‘ฟ่อๆ’ ออกมา

‘ตงฟางหว่านหรง’ รับพลังไร้รูปบรรจบเข้าไปในหอกยาวอสนีบาต สีฟ้าขาวอันเจิดจ้าไหลเวียนกับสีทั้งห้าในบัดดล

มือของนางเริ่มสั่นเทาคล้ายจะควบคุมพลังนี้ไม่อยู่

“ตราบใดที่ข้าขว้างหอกอสนีบาตนี้ออกไป เจ้าไม่มีทางรอดแน่ เดิมพันชีวิตงั้นหรือ สกุลสวี่เช่นเจ้าคู่ควรหรือ”

แม้จะพูดประโยคถากถางรุนแรง ทว่าน้ำเสียงกับสีหน้าของ ‘ตงฟางหว่านหรง’ กลับดูไม่ประชดประชันสักนิด ราบเรียบราวกับกำลังเอ่ยถึงสัจธรรมโลกอยู่

เทพอารักษ์ตู้หนานกับเทพารักษ์อสูรถอยหลังเงียบๆ พนมมืออยู่ห่างๆ

หอกอสนีบาตที่มีห้าธาตุไหลเวียน มอบแรงกดดันอันรุนแรงหาใดเทียบให้พวกเขา ร่างกายของเทพารักษ์ที่ดูโอหังไร้ซึ่งกำลังและความมั่นใจเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน

หอกอสนีบาตในมือของน่าหลันเทียนลู่รวบรวมพลังใต้หล้าและอสนีบาตของที่แห่งนี้ สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขั้นสามได้

อันตรายๆๆ…สวี่ชีอันเพียงรู้สึกว่าร่างกายเตือนภัยอย่างบ้าคลั่ง สัญชาตญาณเอาตัวรอดเร่งให้เขาหนีไปโดยไว

พลังที่หอกอสนีบาตรวบรวมขึ้นเพียงพอจะฆ่าเขาได้

“สวี่ชีอัน หากครั้งนี้เจ้ายังไม่ตาย จะต้องเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าแน่นอน ท่านพี่หยางของข้าก็ต้องตีอกชกหัวด้วยความอิจฉา แทบอยากจะสิงตัวเจ้าด้วยความริษยา…”

หลี่หลิงซู่เหยียบกระบี่บินมองดูอยู่จากที่ห่างไกล

จิ้งซินและคนอื่นในหน่วยพยัคฆ์ขาวที่ไล่ฆ่าเขา บัดนี้วางมือและไปสนใจสถานการณ์การต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป ใครต่างก็รู้ว่าเวลาสำคัญแห่งการชี้ขาดได้มาถึงแล้ว

เฉาชิงหยางและกลุ่มคนบนยอดเขาทางใต้กลั้นหายใจ แต่ละคนสีหน้าซีดขาว ต่างมองสบตากัน

พวกเขาราวกับกลายเป็นรูปปั้นในชั่วพริบตานี้

ตั้งอยู่ที่ใต้สุดของแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว ใกล้กับชายฝั่งอวิ๋นโจว หนาวชื้นและเย็นครึ้ม ทว่าอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่อื่นมาก

แล้วเป็นสถานที่ภัยหนาวไม่ร้ายแรงที่สุด

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยืนมองอยู่บนหอสังเกตการณ์ด้วยความเคยชิน วันนี้นั่งขัดสมาธิดื่มชาอยู่ข้างโต๊ะชา ลิ้มลองรสชาติเลิศรสเฉพาะตัวของอวิ๋นโจว

สวี่ผิงเฟิงที่มักจะต้มชาและดื่มชาเพียงลำพังกำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ตลอดวัน

“เฮ้อ ข้าว่าสงครามกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ในครั้งนี้ หากฆ่าสวี่ชีอันได้และฆ่าชายชราได้ก็คงจะดีไม่น้อย”

สวี่ผิงเฟิงพลันเอ่ยอย่างหดหู่

“พอได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้”

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่น้ำเสียงราบเรียบ

“หรือหากมีความหวัง แต่ทว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็เป็นเรื่องของชะตาลิขิต ข้าจะรอแผนการ ผลขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิต”

สวี่ผิงเฟิงมือไพล่หลัง

“หากสวี่ชีอันตายที่เจี้ยนโจว เช่นนั้นชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งก็จะคืนให้ต้าฟ่ง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้ากับข้า”

เจียหลัวซู่มองเขาอย่างเงียบๆ

สวี่ผิงเฟิงพยักหน้า แล้วตอบอีกประเด็นอย่างหดหู่

“หากไม่มีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของชายชราเป็นก้างขวางคอ วันนี้ก็จะเป็นโอกาสดีที่สุดที่จะกอบกู้ชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งกลับมา ตอนนี้เริ่มต้นหมากที่เคยเดินในอดีตใหม่อีกครั้ง ข้าประมาทที่ปล่อยให้เทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดในวันนั้น”

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่วางถ้วยชาลง ราวกับเข้าใจบางอย่าง จึงหันหน้ามองแผ่นหลังของโหรชุดขาว

“เจ้ายังมีแผนการอื่นสินะ”

สวี่ผิงเฟิงหัวเราะขึ้น

“เล่นหมากรุกกับท่านโหราจารย์ จะวางไข่ไก่ไว้ในตะกร้าใบเดียวกันตลอดไปไม่ได้ จะวิ่งเข้าหาเป้าหมายเพียงอย่างเดียวตลอดไปก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นจะพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช เจ้ารู้ไหมว่าข้าวางแผนที่อวิ๋นโจว สถาปนาเมืองเฉียนหลงและปกปิดท่านโหราจารย์มานานยี่สิบปีได้อย่างไร”

“อมิตตพุทธ! ”

เทพอารักษ์ตู้หนานเอ่ยนามพระพุทธ

อรัญตาแสดงท่าทีต่อสวี่ชีอันสองอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ภิกษุที่นำโดยกว่างเสียนกับพระโพธิสัตว์ มีแนวโน้มจะนำสวี่ชีอันเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

พวกเขาสนับสนุนนิกายมหายาน

ฝ่ายที่นำโดยพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่สรรเสริญนิกายเถรวาท ด้วยเหตุนี้ท่าทีจึงดูไม่เป็นมิตรกับสวี่ชีอัน

ผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรคือฝ่ายของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่อย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะพระโพธิสัตว์ผู้มีกำลังต่อสู้อันดับหนึ่งในสำนักพุทธควบคุมร่างธรรมเทพารักษ์หนึ่งในร่างธรรมทั้งเก้า

ด้วยเบื้องหลังนี้ ทัศนคติของสองเทพารักษ์ตู้หนานกับตู้ฝานจึงมีทั้งอยากช่วยเหลือและอยากสังหารสวี่ชีอัน

ความขัดแย้งและปะทะกันรุนแรงตลอดเส้นทางจากเหลยโจวไปถึงยงโจวนี้ได้บ่อนทำลายความอดทนของสองเทพารักษ์ไป

ทั้งไม่ยอมอุปสมบทและตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักพุทธบ่อยครั้ง เช่นนั้นก็ฆ่าทิ้งเสีย

“เมื่อเป็นเช่นนี้อรัญตาก็ไม่ต้องเลือดตกยางออกจากการต่อสู้นี้ การปะทะกันระหว่างนิกายมหายานและนิกายเถรวาทก็จะนุ่มนวลขึ้นมาก”

ในใจเทพอารักษ์อสูรก็คิดเช่นนี้

ทันใดนั้นตงฟางหว่านหรงก็กรีดร้องเสียงแหลม เสียงร้องเจ็บปวดและเศร้าโศก ประกายไฟฟ้าแสบตาพุ่งออกมาจากผิวกายของนาง ผิวอันขาวผ่องไหม้เกรียมในชั่วพริบตา

แสงหลากสีพุ่งออกจากในปากของนางที่อ้ากว้าง ในดวงตา ในรูจมูก และในหู

พลังที่น่ากลัวปะทุอยู่ภายในร่างของนาง แล้วพรากปราณชีวิตส่วนใหญ่ของนางไปในชั่วพริบตา

หยกสลาย!

ไม่รอให้สองเทพารักษ์ตอบสนอง เสียง ‘ตูมตาม’ ก็ดังขึ้นจากที่ห่างไกล เจดีย์พุทธะทะลวงออกจากดินที่ฝังกลบ ลอยขึ้นฟ้าและบินไปหาสวี่ชีอันที่ตกลงมา

ยอดเจดีย์ก่อตัวเป็นร่างธรรมสีทอง มือหนึ่งถือบัว อีกมือหนึ่งรองขวดหยก ร่างกายอ้วนท้วนเล็กน้อย ใบหน้าโอบอ้อมอารี

ขวดหยกสาดส่องแสงกระดำกระด่างราวกับสายฝนฤดูใบไม้ผลิ แล้วไหลเข้าสู่ภายในร่างของสวี่ชีอัน

ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ

………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง