“ด่านถามใจอยู่ชั้นบน เจ้าขึ้นไปชั้นบนจากที่นี่ และตรงไปชั้นบนสุด” ซ่งถิงเฟิงนำเขาไปที่หัวบันได และชี้ไปที่ชั้นบน
“ด่านนี้ไม่มีข้อกำหนด แต่เจ้าต้องจำไว้ว่า เดินไปตามใจนึก หากเสแสร้งมากเกินไป คะแนนจะลดลง”
“การให้คะแนนมีประโยชน์อย่างไร” สวี่ชีอันถามกลับ
“เจ้าวัดคุณสมบัติเพื่ออะไรเล่า คะแนนแบ่งเป็นสี่ระดับ เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง[1] ระดับคุณสมบัติยิ่งดี ยิ่งถูกฝึกฝนได้ง่าย” ซ่งถิงเฟิงจับคาง “ข้าระดับอี่”
จูกว่างเสี้ยวพูดด้วยเสียงอึมครึม “ข้าระดับปิ่ง”
ข้าเป็นชายฉกรรจ์… สวี่ชีอันเล่นมุกตลกเงียบๆ และขึ้นไปเพียงลำพัง เมื่อมาถึงชั้นสอง เขาก็เห็นกระจกเงาเรียบๆ แขวนอยู่บนเสาสีแดงที่หันเข้าหาบันได
ร่างของเขาสะท้อนอยู่ในกระจก
สวี่ชีอันใจสั่นอย่างไม่มีเหตุผล กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างยืดตึงอย่างไม่อาจควบคุมได้ จากนั้นก็คลายลงอย่างช้าๆ
ความคิดฟุ้งซ่านในใจสงบลง อารมณ์สงบนิ่ง ละทิ้งชื่อเสียงลาภยศและความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวทั้งหมด
มีบางอย่างผิดปกติกับกระจกบานนี้… ทันทีที่ความคิดนี้แล่นผ่าน มันก็ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจแต่เขาไม่สนใจ
‘เขาถูกบังคับให้เข้าสู่สภาวะไร้ความปรารถนา…’ ความคิดนี้ก็ตกผลึกเช่นกัน
เขาเลี้ยวโค้งอย่างสบายๆ เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ชั้นสาม ที่นี่มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ พระวรกายมั่งคั่งและสง่างาม
บนกระถางธูปมีเครื่องเซ่นและธูปจัดเรียงอยู่
หน้าพระพุทธรูปมีเจ้าพนักงานคนหนึ่งยืนมองเขาอยู่
สวี่ชีอันพินิจพิเคราะห์พระพุทธรูปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขาเลิกสนใจ และเดินไปทางบันไดของชั้นที่สาม
เจ้าพนักงานมองตามหลังจนเขาจากไป และก้มหน้าเขียนบนกระดาษ ดูเหมือนจะกำลังประเมินอยู่
…
สิ่งที่ประดิษฐานอยู่ชั้นที่สามคือปรมาจารย์เต๋า สวมชุดคลุมลัทธิเต๋า มือถือดาบไม้ และเหยียบเมฆมงคล
หน้าธรรมลักษณะมีเจ้าพนักงานคนหนึ่งเหมือนกัน เขาเฝ้าดูการมาของสวี่ชีอันอย่างเงียบๆ
หลังจากสวี่ชีอันพินิจพิเคราะห์ตามต้องการแล้วก็หมุนกายจากไป เจ้าพนักงานก็หยิบพู่กันหมึกขึ้นมา และเขียนประเมินบนกระดาษที่กระจายอยู่บนโต๊ะ
…
สิ่งที่ประดิษฐานอยู่ชั้นที่สี่คือปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ สวมเสื้อคลุมลัทธิขงจื๊อ สวมมงกุฎขงจื๊อ ทอดมองออกไปไกลๆ
หน้าประติมากรรมปราชญ์ยังคงมีเจ้าพนักงานยืนอยู่ และเฝ้ามองสวี่ชีอันเงียบๆ
ประติมากรรมปราชญ์แห่งนี้ไม่ต่างกับสำนักอวิ๋นลู่เลย…สวี่ชีอันถอนหายใจในใจ และจากไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เขามาถึงชั้นสูงสุดแล้ว คือชั้นที่ห้า
สิ่งที่ประดิษฐานอยู่ชั้นที่ห้าคือผู้ชายที่สวมชุดคลุมสีเหลือง เขายืนอย่างสง่างาม มือทั้งสองข้างกุมดาบ คิ้วโค้งเรียว ท่าทางน่าเกรงขาม
สวี่ชีอันไม่รู้จักคนคนนี้ แต่ชุดมังกรสีเหลืองสดใสอธิบายทุกสิ่ง
จักรพรรดิของราชวงศ์ต้าฟ่ง หรือก็คือจักรพรรดิองค์แรก
เมื่อเดินมาถึงที่นี่ เขาก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘ด่านถามใจ’ ทันที การทดสอบคุณสมบัติเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ความหมายที่แท้จริงคือคุณลักษณะทางศีลธรรมของคน
หน้าที่ของกระจกเงาบานนั้นคือการป้องกันไม่ให้คนทำสิ่งที่ขัดต่อเจตจำนงของตน และเจตนาให้จุดธูปบูชา
…แย่ล่ะ ข้าไม่ได้สักการะพระพุทธรูป ไม่ได้กราบไหว้ปรมาจารย์เต๋า ไม่ได้กราบไหว้ปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ นี่แสดงให้เห็นว่าข้าเป็นคนที่ดูหมิ่นพระเจ้า พระพุทธเจ้าและสี่ตำราห้าคัมภีร์[2]…
…เรื่องพวกนี้ล้วนไม่เป็นไร แต่ข้าต้องกราบไหว้คนที่ชั้นห้า… ไม่กราบไหว้ข้าจบเห่แน่… คนที่ไม่มีจักรพรรดิ ไม่มีพ่อ เพิกเฉยต่อเทพเจ้าและพระพุทธเจ้าไม่เป็นที่ยอมรับในยุคนี้…
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นหน่วยอะไร
เป็นหน่วยสืบราชการลับและคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิ
เขาอาจดูหมิ่นหลักสามศาสนา[3]ได้ แต่ไม่จงรักภักดีต่อจักรพรรดิไม่ได้
ดังนั้น ‘ด่านถามใจ’ เป็นการคัดกรองคุณสมบัติทางศีลธรรม
สวี่ชีอันไร้คุณสมบัติอย่างไม่ต้องสงสัย เขาขึ้นห้าชั้นในหนึ่งลมหายใจ และไม่ได้เคารพสักการะอะไรเลย
เศษเดนของโลกอย่างข้าคงจะถูกเตะออกจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล… ช่างเถอะ กุญแจสำคัญคือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรู้ว่าข้าโยนความผิดให้โจวลี่ และใครจะรู้ว่าคดีจะพลิกหรือไม่…
ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาทีละอย่าง จากนั้นก็สงบลงและถูกละเลยไปโดยปริยาย
สวี่ชีอันเผชิญกับ ‘วิถีสภาวะไร้ความปรารถนา’[4] อย่างวิตกกังวล เขาบังคับตัวเองให้ไปก้มกราบจักรพรรดิ สติทั้งสองต่อต้านกันอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายแข็งทื่อ กล้ามเนื้อกระตุกและสั่น
เจ้าพนักงานที่ยืนรออยู่หน้าประติมากรรมขององค์จักรพรรดิ สังเกตสวี่ชีอันอยู่ครู่หนึ่ง และเดินผ่านเขาลงไปข้างล่าง
หลังจากนั้นสองสามนาที เจ้าพนักงานก็กลับมา สวี่ชีอันยังคงยืนอยู่ที่เดิม ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน เหมือนกับมือเท้าเป็นตะคริว
เจ้าพนักงานคนนั้นมองสวี่ชีอันเหมือนมองสัตว์หายาก และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าแลกเปลี่ยนผลการประเมินกับสหายร่วมงานที่อยู่ชั้นล่างแล้ว”
เจ้าพนักงานพูดต่อ “ตอนเว่ยกงตั้งด่านถามใจ เขาอธิบายว่าหากมีคนไม่กราบไหว้ห้าชั้นติดต่อกัน นั่นคือคนชั่วร้าย”
…พี่ชาย โปรดให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง!
สวี่ชีอันกังวลมาก
“ดังนั้นเว่ยกงจึงให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ตั้งด่านที่หกไว้ลำพัง แต่ไม่มีใครเคยไปถึงด่านนั้น” เจ้าพนักงานมองสวี่ชีอันอย่างน่าอัศจรรย์ “เจ้ามันขี้แมงป่องมีพิษ[5]”
“เจ้าผ่อนคลายร่างกายลงสักหน่อยเถิด ประเดี๋ยวจะเป็นตะคริว” เขาพูด
สวี่ชีอันไม่ได้เผชิญกับวิถีสภาวะไร้ความปรารถนาในใจอีกต่อไป เขาปรับการหายใจ และทำให้กล้ามเนื้อไม่ชักกระตุกอีกได้สำเร็จ
เวลานี้เขาถึงพบว่าหลังของเขาเปียกโชก
เขาอ้อมรูปปั้นองค์จักรพรรดิตามเจ้าพนักงานไป และเดินไปเขตที่ลึกยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง