บทที่ 641 โหมโรง (1)
คืนนั้น กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จัดงานเลี้ยงขึ้น
หัวข้อหลักมีสองประเด็นคือเฉลิมฉลองที่บรรพชนออกจากด่าน และขอบคุณฆ้องเงินสวี่ที่ยึดมั่นในสัจจะช่วยเหลือ
ขณะนี้ภายในห้องโถง สวี่ชีอัน ฉู่หยวนเจิ่น หงส์อ่อนมังกรหลับจากนิกายสวรรค์ ไต้ซือเหิงหย่วน มู่หนานจือ และเหมียวโหย่วฟ่างนั่งแถวเดียวกัน
เฉาชิงหยางและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ของพันธมิตรจอมยุทธ์ ตลอดจนเจ้าลัทธิและหัวหน้าเก้าคนที่อยู่ภายใต้สังกัดก็นั่งแถวเดียวกัน
ที่นั่งหลักที่อยู่ตรงกลางคือชายชราโค่วหยางโจวที่มีผมหงอกขาวราวหิมะ
เพราะยอดเขาหลักพังทลายลง สิ่งที่ชำรุดทรุดโทรมรอการฟื้นฟู ดังนั้นงานเลี้ยงจึงไม่ได้จัดยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ และไม่ได้เชิญนางรำและนักดนตรีมาเพิ่มบรรยากาศสนุกสนาน สุราอาหารก็ค่อนข้างเรียบง่าย
แต่ไม่ได้หมายความว่างานเลี้ยงนี้จะจืดชืดไร้สีสัน ตรงกันข้ามบรรยากาศคึกคักมาก
สิ่งที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่ขาดแคลนก็คือคนของสำนักศาสนาและสำนักนักคิดต่างๆ คนที่เกลือกกลั้วอยู่ในยุทธภพล้วนเป็นผู้มีฝีมือติดตัว
พูดคุย เลียนแบบ หยอกล้อ ร้องเพลง ‘ถุย’ เล่านิทานเล่นละครเพลงต่างหาก มีบรรดาหญิงสาวจากหอหมื่นบุปผาแสดงความสามารถร้องรำทำเพลง มีรายการดำเนินไม่ขนาดสาย
แม้แต่เซียวเยว่หนูที่เป็นผู้นำสูงส่งก็ประคองพิณขึ้นเวทีร้องเพลงท่อนหนึ่ง ‘คำสัญญาของลูกผู้ชายที่มีค่าดั่งทองพันชั่ง’ ซึ่งเป็นเพลงท่อนหนึ่งของสวี่ชีอัน
เสียงดูเป็นธรรมชาติ
ผู้คนที่นั่งอยู่ทั้งสี่ด้านชมว่าไพเราะอยู่ไม่หยุด
เก่งมาก ศิลปะการดีดพิณไม่ด้อยไปกว่าฝูเซียงเลย…สวี่ชีอันยิ้มปรบมือบำรุงขวัญ และกล่าวคำชมเชยพร้อมกับฝูงชนว่าดี
ฟู่จิงเหมินดื่มแต่สุราไม่กินกับข้าว ตอนนี้เบลอเล็กน้อยแล้ว และตบโต๊ะกล่าว
“นี่คือเพลงของฆ้องเงินสวี่นี่ ผู้ดูแลหอเซียวเคารพเลื่อมใสฆ้องเงินสวี่เช่นนี้ไม่สู้ให้บรรพชนออกหน้าเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เจ้าหมั้นกับฆ้องเงินสวี่”
เซียวเยว่หนูเป็นมุกเม็ดงามของเจี้ยนโจว มีผู้เลื่อมใสนับไม่ถ้วน ขณะนี้กลับไม่มีใครออกมายืนคัดค้านฟู่จิงเหมิน
หากเปลี่ยนเป็นชายคนอื่นๆ ไม่อาจทำให้ผู้คนยินยอมได้
มีแค่สวี่ชีอันเท่านั้น ที่ทุกคนคิดว่าเซียวเยว่หนูใฝ่สูงเกินไป
โค่วหยางโจวนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก พอเห็นเซียวเยว่หนูที่งดงามด้วยรูปโฉมและคุณสมบัติโดยธรรมชาติก็พยักหน้ากล่าว
“สาวน้อยหน้าตาผิวพรรณไม่เลว”
หากสวี่ชีอันสนใจเซียวเยว่หนู ก็จะช่วยผลักเรือตามน้ำให้บรรลุผลสมปรารถนา
ทันใดนั้น ฝูงชนก็เพ่งความสนใจไปที่สวี่ชีอันทันที
เซียวเยว่หนูยิ้มอย่างสำรวมและมองดูเขาทีหนึ่งด้วยแววตาอ่อนโยน
หากปฏิเสธ สีหน้าของนางคงดูไม่ได้ หากไม่ปฏิเสธ มู่หนานจือก็จะอารมณ์เสียใส่ข้า…ขณะที่สวี่ชีอันลังเลอยู่นั้น ก็ฟังมู่หนานจือที่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างราบเรียบ
“ผู้ดูแลหอเซียวงดงามด้วยรูปโฉมและคุณสมบัติโดยธรรมชาติ ทำให้ผู้คนรักใคร่เอ็นดู นับว่าเหมาะสมกับสวี่หนิงเยี่ยน หากไม่รังเกียจรับเป็นอนุก็ได้”
น้ำเสียงและท่าทีคล้ายกับภรรยาเอกในตระกูลร่ำรวยที่รับอนุให้ผู้ชายของตนเอง
เซียวเยว่หนูเลิกคิ้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
‘ท่านอาผู้นี้คือ…”
‘ท่านอาหรือ’
คิ้วงดงามของมู่หนานจือตั้งตรง มือซ้ายบีบกำไลลูกประคำบนข้อมือขวาโดยไม่รู้ตัว
นางกำลังคิดจะกล่าวคำปฏิญาณอธิปไตยเพื่อโจมตีและกดดันความเหิมเกริมของหญิงสาวในยุทธภพผู้นี้สักหน่อย แต่หางตาเหลือบไปเห็นว่าหลี่เมี่ยวเจินกำลังจ้องมองตนเองอยู่
ทันใดนั้นนางก็นึกได้ว่าเมื่อตอนกลางวัน ตนเองเอ่ยคำสาบานที่เต็มไปด้วยน้ำใสใจจริงและน่าเชื่อถือ ขาดก็แค่สาบานกับฟ้าว่าจะขีดเส้นแบ่งเขตกับสวี่ชีอันอย่างชัดเจนเท่านั้น
‘หญิงสารเลวนิกายสวรรค์ผู้นี้รอหัวเราะเยาะข้าอยู่…’ หลังจากหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที มู่หนานจือก็กล่าวด้วยรอยยิ้มงดงาม
“ข้าคือแม่ของหนิงเยี่ยน”
นางมองสวี่ชีอันด้วยความรักและเมตตา “ลูกรัก เป็นเรื่องดีอย่างยิ่งที่ผู้ดูแลหอเซียวเข้ามาเป็นอนุบ้านตระกูลสวี่เรา แม่พูดถูกหรือไม่”
ฝูงชนที่อยู่ที่นั่นตกใจมาก
คิดไม่ถึงว่าฆ้องเงินสวี่ออกนอกบ้านดันพามารดามาด้วย
พวกเขาไม่ได้สงสัยในทันที เพราะอายุของหญิงตรงหน้าสอดคล้องกันจริงๆ
…มุมปากสวี่ชีอันกระตุกอย่างรุนแรง
ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่หลิงซู่พยายามกลั้นขำไว้
เซียวเยว่หนูไม่ไม่ชำเลืองตามอง และกล่าวด้วยน้ำเสียงเมินเฉย
“ฆ้องเงินสวี่โตขึ้นมากับอาชายและอาหญิง”
ฝูงชนได้ยินก็นึกถึงข่าวกรองของสวี่ชีอันในฉับพลัน บิดามารดาเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก อาชายและอาหญิงเลี้ยงดูจนเติบโต!
เช่นนั้นหญิงที่เรียกตนเองว่า ‘แม่’ นี้คือ…
ฟู่จิงเหมินและคนอื่นๆ มองมู่หนานจือแล้วมองสวี่ชีอันอีกทีด้วยความงงงวยเล็กน้อย
“แม่นม!”
หลี่หลิงซู่ทนไม่ไหวจึงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากและกล่าวออกมา
“ฮูหยินท่านนี้คือแม่นมของฆ้องเงินสวี่ ตั้งแต่เล็กฆ้องเงินสวี่ก็อยู่ห่างจากนางไม่ได้เลย ออกจากเมืองหลวงมาท่องยุทธภพในครานี้ จึงต้องพาแม่นมมาด้วย”
ฉู่หยวนเจิ่นรีบก้มหน้าดื่มสุรา
หลี่เมี่ยวเจินหัวเราะก๊าก
ใบหน้ารูปไข่ของมู่หนานจือกลายเป็นสีแดง นางจ้องมองหลี่หลิงซู่ตาเขียวปัด
การถูกขัดจังหวะเป็นชุดๆ นี้ จึงไม่มีคนพูดเรื่องงานแต่งอีก
ทว่าสายตาของฟู่จิงเหมิน เฉียวเวิงและทหารหยาบกร้านคนอื่นๆ ที่มองไปในแววตาของทางมู่หนานจือกับสวี่ชีอันเป็นครั้งคราวนั้น มีความหมายลึกซึ้งอย่างไม่อาจบรรยายออกมาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขารู้สึกว่าแม้แม่นมผู้นี้จะมีรูปโฉมโนมพรรณสวยงามแบบพื้นๆ แต่ชั่วเวลาเทียบเท่ากับการยกแขนขาแล้ว นางค่อนข้างมีเสน่ห์มาก เป็นสตรีที่มีเสน่ห์อันน่าดื่มด่ำ
‘ฆ้องเงินสวี่เสียมารดาตั้งแต่เด็ก ขาดแคลนความรักจากมารดา…’
ฟู่จิงเหมินขับไล่ความคิดอาจหาญในสมองออกไป และยกจอกสุราขึ้นสูงก่อนกล่าว
“ตอนนี้ในกลุ่มพันธมิตรล้วนพูดกันว่าฆ้องเงินสวี่คือจักรพรรดิเกาจู่กลับชาติมาเกิด พวกเราคารวะจักรพรรดิเกาจู่กลับชาติมาเกิดหนึ่งจอก”
วีรบุรุษไม่ไต่ถามศีลธรรมส่วนตัว แม้ฆ้องเงินสวี่จะพาแม่นมติดตัวมาด้วย แต่เขายังเป็นฆ้องเงินที่ดีของทุกคน
…
หลังจากร่ำสุราจนหนำใจและกินข้าวจนอิ่ม สวี่ชีอันและคนอื่นๆ ก็จากไป
ระหว่างทางที่กลับไปยังที่พักชั่วคราว หลี่หลิงซู่ก็พูดขึ้นมา
“ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องจัดการสักหน่อย เชิญทุกท่านไปก่อนเลย”
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วกล่าว “ไปทำอะไรล่ะ”
มีสถานะเป็นศิษย์น้อง ก้าวก่ายและให้ความสนใจกับเรื่องส่วนตัวของศิษย์พี่ก็เป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรมตามหลักฟ้าดินอยู่แล้ว
“ไว้ค่อยพูดทีหลัง”
หลี่หลิงซู่พูดแบบขอไปทีไปหนึ่งประโยค กระบี่บินพุ่งออกจากแขนเสื้อ เขาขึ้นไปยืนอยู่บนกระบี่และพุ่งออกไปทันที
ขณะที่มองดูเงาหลังของหลี่หลิงซู่ที่หายลับไป หลี่เมี่ยวเจินก็ทำเสียงขึ้นจมูกกล่าว
“ทำตัวลับๆ ล่อๆ เขาช่างพิลึกกึกกือเสียจริง ในงานเลี้ยงเงียบจนผิดปกติ ไม่ยั่วเย้าเซียวเยว่หนูและบรรดาแม่นางหอหมื่นบุปผาเลย”
สวี่ชีอันเอามือลูบคางกล่าว
“จะว่าไปแล้ว จนถึงตอนนี้พวกเรายังไม่รู้ว่าใครคือคนรักเก่าของหลี่หลิงซู่ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เมี่ยวเจินเจ้ารู้หรือไม่ ข้าจำได้หลี่หลิงซู่เคยบอกว่า ภูเขาเฉวี่ยนหลงอยู่ห่างจากนิกายสวรรค์ไม่ไกล หลังจากลงเขาแล้ว สถานที่แรกที่พวกเจ้าไปก็คือเจี้ยนโจว”
จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินพยักหน้าตอบรับก่อน จากนั้นถึงกล่าวออกมา
“ดูเหมือนหลี่หลิงซู่จะไม่มีคู่คิดรู้ใจในเจี้ยนโจว ถึงอย่างไรข้าก็ไม่รู้อยู่ดี แต่ตราบใดที่ข้าเดินทางไปกับเขา คู่คิดรู้ใจที่เขาคบค้าสมาคมในระหว่างทาง โดยพื้นฐานแล้วข้าล้วนรู้จักหมด เพราะเขาจะไม่ปิดบังต่อหน้าข้า”
สวี่ชีอันกับหลี่เมี่ยวเจินสบตากันทีหนึ่ง และกล่าวพร้อมกัน “มีปัญหาใหญ่แล้ว!”
ฉู่หยวนเจิ่นถาม
“บางทีอาจจะไม่มีจริงๆ ล่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง