บทที่ 641 โหมโรง (2)
ราตรีเย็นเยียบดุจวารี
หรงหรงที่นอนหลับอย่างตื้นเขินกระดิกหูในฉับพลัน ได้ยินเสียงสะบัดแขนเสื้อดังขึ้นเบาๆ
มีคนแสดงวิชาตัวเบาร่อนลงบนลานที่อยู่ด้านนอก
นางจับกระบี่สั้นบนหัวเตียงไว้โดยจิตสำนึก จากนั้นก็ตัดสินจากเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาได้ว่าเป็นอาจารย์ของตนเอง
“อาจารย์ ท่านกลับมาจากการฝึกยุทธ์แล้วหรือ”
ตอนที่ถามนั้น นางเห็นอาจารย์ผลักประตูเข้ามา ท่ามกลางแสงจันทร์หรุบหรู่ มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจน แต่ดูจากเค้าโครงร่างกายแล้วดูเหมือนกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย
หรงหรงลุกขึ้นเพื่อจุดตะเกียง แต่หญิงงามรีบห้ามไว้
“อย่าจุดตะเกียง!”
หญิงงามเดินนวยนาดอ้อมสิ่งกีดขวางในห้องไปหยิบถังไม้จากด้านหลังฉากบังลมแล้วหมุนตัวเดินออกประตู
ชั่วเวลาครึ่งเค่อ หรงหรงได้ยินเสียงถอดเสื้อดัง ‘ฟึบฟับ’ และยังมีเสียงน้ำหยดเบาๆ รู้ได้ทันทีว่าเริ่มอาบน้ำแล้ว
‘จริงๆ เลย มีอะไรน่าอายกัน…’ หรงหรงกระซิบกระซาบในใจ
อาจารย์เลี้ยงนางมาจนโต จนถึงช่วงสาวแรกรุ่นยังเคยแช่ถังไม้ใบเดียวกับอาจารย์อยู่เลย
ทันใดนั้นนางก็สูดจมูกและพูดเสียงต่ำ
“กลิ่นอะไร”
ชาวยุทธจักรมีประสาทรับรู้ที่ไวมาก
เสียงน้ำหยุดลง น้ำเสียงของหญิงงามดูผวาเล็กน้อย
“กลิ่นอะไร อืม อาจเป็นเพราะอาจารย์ฝึกยุทธ์อยู่ในป่าเลยแปดเปื้อนสิ่งสกปรกเข้า…”
หญิงสามพรหมจารีไม่รู้จักรสชาติของน้ำตาล ไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย ได้แต่พูดว่า “อ๋อ”
“อาจารย์ ท่านว่าเมื่อใดข้าถึงทำให้ฆ้องเงินสวี่รักข้าได้” หรงหรงหน้านิ่วคิ้วขมวด
หญิงงามกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าได้คิดเลย บำเพ็ญตบะอย่างว่านอนสอนง่าย มองดูคนหนุ่มด้านข้างให้มากหน่อย ฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถอาจเอื้อมได้”
หรงหรงทำเสียงฮึดฮัดกล่าว “ข้าชอบเขา ชอบก็ไปช่วงชิง ได้เห็นเขาทุกวัน ได้เป็นอนุข้าก็ยินยอม”
‘ชอบก็ไปช่วงชิง…’ หญิงงามเอาหลังพิงถังไม้และพูดพึมพำ
…
หลี่หลิงซู่กลับมาท่ามกลางความมืด หน้าแดงเปล่งปลั่งมีรอยยิ้มเล็กน้อย สภาพทั่วทั้งร่างกายอธิบายคำกล่าวที่ว่า ‘พอมนุษย์เจอเรื่องที่เป็นสิริมงคลจิตใจก็เบิกบาน’ ได้อย่างสมบูรณ์
แม้เขายังไม่อาจเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์นี้ได้โดยตรง กลัวผลลัพธ์หลังจากถูกเปิดเผย แต่ก็ไม่มีเจตจำนงแน่วแน่ว่าจะวาดเส้นแบ่งเขตให้ตัวเองอย่างชัดเจน
หลี่หลิงซู่เข้าใจความกังวลของจี้จิ่นเหมย เพราะเขาเองก็มีความรู้สึกหวาดกลัวแบบเดียวกัน
คนสองคนที่อายุห่างกันเกือบยี่สิบปีกลายเป็นคู่บำเพ็ญ อยู่ภายใต้ระดับเหนือมนุษย์แล้ว ไม่ว่าจะในนิกายสวรรค์หรือทางโลก การรวมตัวเช่นนี้จะดึงดูดมาซึ่งสายตาแปลกๆ
แม้กระทั่งยั่วเย้าให้ผู้คนทอดทิ้ง
เขากดกระบี่บินลง ตอนที่เข้าใกล้ที่พักนั้นก็ร่อนลงมาล่วงหน้า จากนั้นก็จัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากมั่นใจว่าไม่มีพิรุธแล้ว ถึงกลับไปเรือนสี่ประสาน
‘แกร๊ก’
ประตูเรือนไม่ได้ลงกลอน คนที่พักอยู่ด้านในไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะลงกลอนประตูหรือไม่
พริบตาที่ผลักประตู สภาพภายในห้องทำให้หลี่หลิงซู่อึ้งไปครู่หนึ่ง
ริมโต๊ะหินมีสวี่ชีอัน หลี่เมี่ยวเจิน เหมียวโหย่วฟาง ฉู่หยวนเจิ่น และไต้ซือเหิงหย่วนนั่งอยู่
ทุกคนกำลังดื่มสุราอยู่ ในมือถือจอกสุรา และมองดูเขาด้วยรอยยิ้มแปลกๆ
‘มีอารมณ์สุนทรีย์ขนาดนี้เชียวหรือ…’
หลี่หลิงซู่สีหน้าสงบ ไม่ลุกลี้ลุกลน
หลี่เมี่ยวเจินถาม “ไปไหนมา”
“เดินเล่นเรื่อยเปื่อย”
หลี่หลิงซู่ตอบเช่นนี้
จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินทำจมูกฟุดฟิด “กลิ่นชาดทาแก้มและกลิ่นแป้งของหญิงสาว”
เทพบุตรไม่ลนลานแม้แต่น้อย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เสน่ห์ที่น่าสมควรตายของข้า…สิ่งที่กลัดกลุ้มใจที่สุดของหนุ่มรูปงามก็คือได้รับความนิยมจากหญิงสาวมากเกินไป”
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าช้าๆ ทันใดนั้นก็ทำท่าทางแสดงออกมาด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง
“เหมยเอ๋อร์ อายุไม่ควรเป็นสิ่งกีดขวางความรักระหว่างเรา”
สวี่ชีอันลุกขึ้นเงียบๆ และจ้องมองหลี่เมี่ยวเจินอย่างลึกซึ้ง
“หากเจ้ากลัวข่าวลือ กลัววิธีการมองของศิษย์และสหายร่วมสำนัก เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไป”
…รูม่านตาของหลี่หลิงซู่ค่อยๆ เบิกกว้าง เขาดูโง่ไปเลยทีเดียว
หลี่หยวนเจิ่นส่ายหน้าและจิบสุราทีหนึ่ง
“หลี่เต้าฉาง เจ้าอาจไม่รู้ ข้าก็ไม่มีบิดามารดามาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ถูกแม่โอ๋เป็นอย่างไร”
เหมียวโหย่วฟางกล่าว
“จอมยุทธ์ฉู่อย่าได้เศร้าเสียใจไป ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้ข้าเป็นพี่น้องกับเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะเป็นลูกของเจ้า”
น้ำเสียงเพิ่งสิ้นสุดลง จิ้งจอกขาวน้อยตัวหนึ่งก็กระโจนออกจากห้อง น้ำเสียงดังกังวานราวกับกระดิ่งเงิน และกล่าวด้วยเสียงอ่อนช้อย
“รับรู้ได้หรือยัง เลือดในทรวงอกเดือดพล่านเพราะเจ้า”
ขณะนี้หลี่หลิงซู่รู้สึกเหมือนตนเองถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง
“พวก…พวกเจ้า…”
เทพบุตรใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกแค่ว่ามีเปลวไฟลุกไหม้ภายในร่าง ควันดำลวงตาพ่นออกจากศีรษะ
สมาชิกพรรคฟ้าดินเข้าห้องไปนอนด้วยความพึงพอใจ ทิ้งให้หลี่หลิงซู่ยืนอึ้งอยู่ในลานบ้านคนเดียว
“อ้อ! ใช่สิ พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เด็กใช่หรือไม่ ประเดี๋ยวข้าจะพูดคุยกับผู้อาวุโสสองท่านสักหน่อย” หลี่เมี่ยวเจินพูดทิ่มแทงไปอีกประโยคด้วยรอยยิ้มกริ่ม
หลี่หลิงซู่มีพ่อมีแม่และก็เป็นคนนิกายสวรรค์ด้วย
‘ข้ามีชีวิตอยู่ ยังจะมีความหมายอะไรอีก…’ เทพบุตรถามสำรวจตรวจสอบจิตใจตนเอง
…
เมืองชิงโจว ที่ทำการสมุหเทศาภิบาล
ภายในห้องโถง หยางกงฆราวาสจื่อหยางที่ไว้หนวดเคราแพะ หน้าตาผ่ายผอม กำลังอ่านและตรวจสอบข่าวกรองอวิ๋นโจวที่หน่วยจารกรรมส่งกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ตอนนี้เข้าใจสาเหตุที่ผู้ลี้ภัยกรูกันไปที่อวิ๋นโจวแล้ว”
หยางกงที่ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลในชิงโจวมองดูเจ้าหน้าที่รอบๆ ห้องโถงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และกล่าวว่า
“ในข่าวกรองบอกว่า ขุนนางในอวิ๋นโจวประกาศเปิดคลังเสบียงดึงดูดให้ผู้ลี้ภัยสมัครเป็นทหาร”
‘อวิ๋นโจวจะกบฏหรือ…’ บรรดาข้าราชการมีสีหน้าอึมครึมไม่ได้ตกตะลึงและประหลาดใจเลย และก็ไม่ได้คุมแค้นด้วย บางคนแค่นิ่งเฉยและเคร่งขรึม
เมื่อสองเดือนก่อน อดีตจักรพรรดิถูกสวี่ชีอันโค่นในเมืองหลวงไม่นาน ราชสำนักส่งคำสั่งไปที่ชิงโจวติดต่อกันหลายฉบับ สั่งให้ชิงโจวเข้าสู่สถานะเตรียมรบ ตุนอาหาร ตุนอาวุธเหล็ก บูรณะกำแพงเมือง
อวิ๋นโจวอยู่ติดทะเล ทิศใต้คือทะเลเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา พื้นที่ทางทิศเหนือส่วนมากมีพรมแดนติดต่อกับชิงโจว
กากเดนราชวงศ์ก่อนต้องการใช้อวิ๋นโจวเป็นรากฐาน ยกกำลังพลขึ้นเหนือปราบปรามเมืองหลวง จำเป็นต้องยึดชิงโจวให้ได้ เพื่อให้ได้ยุทธศาสตร์เชิงลึกที่เพียงพอ
หากไม่สามารถเอาชนะชิงโจวได้ ทหารกบฏก็จะถูกขังตายอยู่ในมุมหนึ่งของอวิ๋นโจว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง