ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 642

บทที่ 642 ภัยโจร

บนดาดฟ้าเรือสินค้าที่อยู่บนคลองเว่ยสุ่ยในเจี้ยนโจว

มู่หนานจือคลุมเสื้อตัวใหญ่ต้านลมหนาว นั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ที่ปูด้วยเบาะนวมขนาดใหญ่ มือข้างหนึ่งอุ้มไป๋จี อีกข้างจับคันเบ็ดตกปลา

ด้านซ้ายมีโต๊ะและเก้าอี้วางอยู่สองตัว ถ่านไฟคุโชนในเตาเล็กๆ ที่อยู่บนโต๊ะกำลังต้มปลาหม้อหนึ่งอยู่

สวี่ชีอันกับเหมียวโหย่วฟางนั่งกินปลาและพูดคุยกันอยู่ริมโต๊ะ

ไป๋จียื่นหัวออกจากอ้อมกอดของมู่หนานจือ ดวงตาดำแป๋วจ้องมองตาปริบๆ

“หลายวันนี้ถ้าไม่ใช่ปลาก็เป็นเนื้ออบ กินจนข้าฉี่ไม่ออกแล้ว”

เหมียวโหย่วฟางด่าสุ่มสี่สุ่มห้า

สวี่ชีอันพลิกฝ่ามือตบเขาจนร่วงจากเก้าอี้ จากนั้นก็กวักมือเรียกไป๋จี

ไป๋จีสลัดตัวหลุดออกจากอ้อมกอดของพระชายา ก้าวขาสั้นๆ ทั้งสี่ด้วยความเบิกบานใจ มันวิ่งไปที่เท้าของสวี่ชีอันอย่างว่าง่าย และแหงนหน้ามองเขา

สวี่ชีอันอุ้มไป๋จีขึ้นมา เขาคีบเนื้อนุ่มๆ ตรงส่วนท้องปลาใส่ลงในถ้วยชิ้นหนึ่ง ไป๋จีเอาหน้ามุดเข้าไปในถ้วย และค่อยๆ กินคำเล็กๆ

“เจ้ามีพัฒนาการเร็วมาก ข้าคาดการณ์ว่าฝึกฝนอีกหนึ่งเดือนก็ย่างเข้าสู่สลายแรงขั้นห้าแล้ว พอถึงเวลานั้น แค่ตนเองไม่รนหาที่ตาย ยั่วยุบุคคลระดับสุดยอดล่ะก็ ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ เจ้าจะไปที่ไหนก็ได้”

สวี่ชีอันจิบสุราขุ่นไปจิบหนึ่งด้วยความปลื้มปีติยินดีเล็กน้อย

การเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ รุดหน้าไปที่ภูเขาสือว่านทางซินเจียงตอนใต้

ขณะนี้ในกลุ่มเล็กๆ นี้มีแค่คนสามคนกับสุนัขจิ้งจอกหนึ่งตัว

ผู้คนในสมาชิกพรรคฟ้าดิน หลี่เมี่ยวเจินมีจิตใจที่เต็มไปด้วยสัจจะและมีความกล้าหาญที่จะช่วยเหลือคน ชอบผดุงคุณธรรม ประจวบเหมาะกับภัยพิบัติโหมซัดสาด ประชาชนแต่ละแห่งไม่สามารถอยู่เย็นเป็นสุขได้ มักคิดว่าต้องทำอะไรสักหน่อย ดังนั้นจึงยากที่จะอยู่ข้างกายสวี่ชีอันได้อย่างสงบเสงี่ยม

ฉู่หยวนเจิ่นคือนักกระบี่ที่เที่ยวเอ้อระเหยลอยชาย ทั่วทุกหนทุกแห่งคือบ้าน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง สิ่งที่เฝ้าปรารถนาคืออิสระที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจต้องการ

ในระหว่างทางที่ท่องยุทธภพ ได้พบเจอกับสหายเก่า ดื่มสุราสักจอก มีบุญคุณก็ตอบแทนมีแค้นก็ชำระ เป็นเรื่องที่เขามีความสุขที่สุด รอดื่มสุราหมดจอก เข้าใจเรื่องราวแล้ว ก็ย่ำเดินทางแสดงหามรรคกระบี่ของเขาอีกครั้ง

ไต้ซือเหิงหย่วนกับเทพบุตรมีสภาพจิตใจเช่นเดียวกัน คนออกบวชถือเอาเมตตาธรรมเป็นหลัก ช่วยเหลือมนุษยชาติเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน

ส่วนที่ว่าเหตุใดหลี่หลิงซู่ถึงไม่ลงใต้ด้วยนั้น…

วันนั้นทุกคนตื่นขึ้นมาในรุ่งอรุณ เทพบุตรก็จากไปแล้ว

ทิ้งจดหมายไว้ให้พรรคฟ้าดินหนึ่งฉบับ ความหมายก็คือช่วงนี้สภาพจิตใจของตัวเองปั่นป่วน ต้องการเดินทางคนเดียวเพื่อซาบซึ้งความหมายที่แท้จริงของการตัดอารมณ์ความรู้สึก

ที่จริงตอนที่เขาไปนั้น สมาชิกพรรคฟ้าดินต่างก็รู้กันหมด ลำพังแค่ตบะของทุกคนก็รับรู้ความคลื่นไหวในระยะรัศมีหลายลี้ได้อย่างชัดเจน

สวี่ชีอันนอนอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ทั้งยังร้องเพลงส่งเทพบุตรอยู่ในใจ

รู้ว่าเจ้าจะไปในคืนนั้น พวกเราไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ…เมื่อเจ้าแบกกระเป๋าเดินทางและปลดเกียรติยศนั้นลง ข้าได้แต่เก็บรอยยิ้มไว้ใต้ก้นบึ้งหัวใจ…

หลังจากเทพบุตรไปแล้ว สวี่ชีอันก็ปล่อยตัวตงฟางหว่านชิง ไฉซิ่งเอ๋อร์ยังคงถูกคุมขังอยู่ในเจดีย์พุทธะ กำหนดเวลาป้อนอาหาร กำหนดเวลาเรียกออกมาล้างหน้าแปรงฟัน กำหนดเวลาให้เหมียวโหย่วฟางเป็นกรรมกรกุลีขัดล้างถังอุจจาระ

ขณะนี้ ผู้คุมงานจูที่รับผิดชอบเรือสินค้าก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนและกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“จอมยุทธ์เหมียว ด้านหน้าก็คือหาดวารีทองคำ สายน้ำราบเรียบ มีโจรสลัดปิดกั้นแม่น้ำเพื่อปล้นอยู่บ่อยๆ ตามปกติแล้วแค่มอบเงินให้นิดหน่อยก็สามารถข้ามไปได้”

เห็นเหมียวโหย่วฟางพยักหน้าเขาก็กล่าวต่อ

“หากไม่มีอะไรผิดพลาด ท่านก็ไม่ต้องลงมือแล้ว”

เหมียวโหย่วฟางตอบรับ “อืม” อย่างหยิ่งยโส รักษามาด ‘ผู้สูงส่ง’ ของเขาไว้

ผู้คุมงานจูโค้งตัวถอยออกไป

เรือสินค้าลำนี้เป็นเรือสินค้าของสมาคมการค้าเจี้ยนโจว จะไปทำการค้าที่อวี่โจว และสถานะของเหมียวโหย่วฟางในตอนนี้คือขุนนางต่างถิ่นที่สมาคมการค้าเจี้ยนโจวดึงเข้ามาใหม่ รับผิดชอบความปลอดภัยในการล่องลงใต้ของเรือสินค้า

สถานะของสวี่ชีอันไม่ได้ถูกเปิดเผย เป็นแค่ผู้ติดตามธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษ

เรือสินค้าล่องไปได้ครึ่งชั่วยาม กระแสน้ำเริ่มลดช้าลง ล่องไปอีกครึ่งเค่อความเร็วของเรือก็ช้าลงมาก

ทำได้แค่อาศัยฝีพายในท้องเรือทำการเดินเรือ

‘ตึง ตึง ตึง…’ ผู้คุมงานจูพาทหารสิบกว่าคนวิ่งออกจากห้องเรือ ถือดาบแบกธนูด้วยท่าทีระมัดระวัง

สวี่ชีอันเบิ่งมองไปยังริมแม่น้ำทางซ้าย เห็นว่ามีเรือเล็กหลายสิบลำฝ่าคลื่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านั้นพวกมันยังทอดเสมออยู่ริมฝั่งแม่น้ำอยู่เลย รอจนเรือสินค้าเข้าสู่ลุ่มน้ำที่ไหลเอื่อย โจรสลัดร้อยกว่าคนบนฝั่งก็รีบกระโดดลงเรือตีฝีพายคู่แหวกคลื่นเข้ามาประชิด

นี่คือเรือเล็กประเภทหนึ่งที่มีปลายแหลมทั้งสองด้าน มันยาวไม่เกินหนึ่งจั้ง กว้างแค่สามฉื่อ มีระแนงไม้ มีกรรเชียงสองอัน ไม้พายหนึ่งอัน เบาและรวดเร็ว

“นี่ ทำไมถึงมีโจรสลัดมากมายขนาดนี้!”

ผู้คุมงานจูอ้าปากค้าง สีหน้าขาวเผือด

เหมียวโหย่วฟางมองเขาทีหนึ่ง “เมื่อก่อนไม่เป็นเช่นนี้หรือ”

ผู้คุมงานจูควบคุมจิตใจให้สงบ สีหน้ายังคงดูอัปลักษณ์เช่นเดิม และกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“เส้นทางน้ำนี้ข้าเคยผ่านมาหลายครั้ง เมื่อก่อนโจรสลัดทั้งหมดมีแค่ยี่สิบสามสิบคน เกรงว่าจำนวนคนในวันนี้คงมีร้อยกว่าคน นี่ นี่มันจะกระหายเกินไปแล้ว…”

สวี่ชีอันถามในฉับพลัน “เรือเหล่านี้ชื่อว่าอะไร”

“นี่คือเรือหอก ขึ้นชื่อในเรื่องความคล่องแคล่ว เป็นเรือที่โจรสลัดชอบใช้”

ผู้คุมงานจูหน้าเสียอย่างถึงขีดสุด และอธิบายด้วยความอดทน

“ในลุ่มน้ำที่น้ำสงบ เรือสินค้าไม่เร็วเท่าเรือเล็กเหล่านี้ หอกในมือพวกเขาใช้เพื่อแทงทะลุท้องเรือของพวกเรา หอกไม่ใช่วิธีการเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา ยังมีน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเผาเรือด้วย”

ระหว่างที่พูด ฝูงเรือหอกอยู่ห่างเรือสินค้าไม่ถึงสามจั้ง ผู้คุมงานจูเดินไปริมกราบเรือ หลังจากสูดหายใจไปหนึ่งทีแล้ว ก็โบกมือตะโกนกล่าว

“วีรบุรุษทุกท่าน ข้าน้อยจูเวิ่น ทั่วทุกหนทุกแห่งบนโลกใบนี้ล้วนเป็นพี่น้องกัน ออกมาขอใช้ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าได้เตรียมห้าสิบตำลึงเงิน หวังขอผ่านทางอย่างราบรื่น”

ห้าสิบตำลึงเงินเป็นเงินผ่านทางจำนวนมากเลยทีเดียว

ในระหว่างที่สวีชีอันดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานในเมืองหลวง ขนาดไม่กินไม่ดื่ม ก็มีเงินตอบแทนแค่ห้าสิบตำลึงต่อปีเท่านั้น

“ห้าสิบตำลึง ไล่ขอทานหรือ”

เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากเรือหอกลำหนึ่ง

ผู้คุมงานจูและคนอื่นๆ มองไปตามเสียงทันที เขาเป็นชายสวมชุดดำและคลุมเสื้อตัวใหญ่ ดาบเล่มหนึ่งห้อยอยู่บนเอว และยืนอยู่ตรงหัวเรืออย่างมั่นคง

เขาอายุราวสามสิบต้นๆ ผิวหนังหยาบกร้านและดำคล้ำ สายตาเฉียบคมและดื้อรั้น

ผู้คุมงานจูไม่รู้จักเขา ในความทรงจำของเขา หัวหน้าโจรกลุ่มนี้คือทหารผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ยวนยางป่า’ มีตบะระดับหลอมปราณ ยังนับว่าฟังกฎเกณฑ์อยู่ ให้เงินก็ผ่านทางไปได้

“ท่านมิใช่ยวนยางป่า เขาอยู่ที่ใด…”

เขากำลังจะเอ่ยปาก ชายที่คลุมเสื้อตัวใหญ่ผู้นั้นก็กระโดดขึ้นไปเหยียบหัวเรืออย่างรุนแรงแล้ว

‘ตูม!’

หัวเรือทั้งลำจมลงทันที ทำให้ผู้คนบนเรือเอนซ้ายเอนขวาเสี่ยงต่อการหกล้ม

ชายชุดดำกวาดสายตามองผ่านเหมียวโหย่วฟางซึ่งเป็นคนเดียวที่ยืนตระหง่านอย่างสงบ และทหารคุ้มกันเรือหลายคนที่สะพายดาบแบกธนูอยู่ จากนั้นก็ตะคอกออกมา

“ยังมีผู้ฝึกตนอีกหลายคนนี่ ยวนยางป่าหรือ เจ้าหมายถึงเจ้าหมอที่ไม่รู้จักดีชั่วผู้นั้นน่ะหรือ เขาถูกข้าตัดศีรษะถ่วงแม่น้ำไปแล้ว แต่ข้านับว่ายังมีคุณธรรม ยังช่วยเขาดูแลภรรยาเขาเป็นอย่างดี”

ผู้คุมงานจูกล่าวเสียงทุ้ม

“ท่านต้องการเงินเท่าใด พูดมาตามตรงเถิด”

ชายชุดดำยกฝ่ามือขึ้น นิ้วทั้งห้ากางออก “จำนวนเท่านี้”

‘ห้าร้อยตำลึง…’ ผู้คุมงานจูกล่าวเสียงทุ้ม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง