ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 643

สรุปบท บทที่ 643 ฎีกาลับ (1): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 643 ฎีกาลับ (1) – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 643 ฎีกาลับ (1) จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 643 ฎีกาลับ (1)

วันนี้สวี่เอ้อร์หลางมาหาคู่หมั้นเพื่อเที่ยวเล่นในวันหยุด

ทว่าทั้งสองยังไม่ได้แต่งงาน จึงอยู่กันตามลำพังสองต่อสองเกินครึ่งชั่วโมงไม่ได้ หากนานกว่านี้ต้องไปคุยในห้องโถง

จะว่าอยู่กันตามลำพังก็ไม่ใช่อยู่กันสองต่อสองจริงๆ ต้องมีสาวใช้อยู่ด้วย

อย่างไรเสียระหว่างชายหญิงวัยกำดัด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการหักห้ามใจได้ยาก จากนั้นก็เกาแก้คันให้กันอย่างเร่าร้อน

หลังจากแต่งงาน บ้านสามีจะเห็นเลือดพรหมจรรย์ของลูกสะใภ้ที่แต่งเข้าบ้านใหม่เป็นปกติ หากไม่มีก็ช่างขายขี้หน้านัก

แม้บ้านสกุลหวางเชื่อใจสวี่เอ้อร์หลาง ทว่ากฎก็ต้องเป็นกฎอยู่ดี มีอาจผ่อนปรนให้ได้

ดังนั้นหลังจากครึ่งชั่วโมงสิ้นสุดลง หวางซือมู่จึงบอกลาว่าที่สามีอย่างอาลัยอาวรณ์ มองตามหลังเขาเข้าไปประชุมที่ห้องหนังสือของบิดา

“ท่านสมุหราชเลขาธิการกลั่นแกล้งข้าแล้ว!”

สวี่ซินเหนียนฝืนยิ้ม แต่ก็ไม่ได้เดินไป หากเป็นผู้อาวุโสทั่วไปกล่าวเช่นนี้ เขาจะต้องลุกขึ้นขอตัวลาแน่นอน ทว่าสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นว่าที่พ่อตา ท่าทางของสวี่เอ้อร์หลางจึงดูเป็นกันเองมาก

อันที่จริงวิธีแก้ไขการโจรกรรมนั้นง่ายดายมาก กวาดล้างและนิรโทษกรรมเป็นทัศนคติที่ราชสำนักปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยและกลุ่มโจรที่ยึดครองภูเขามาแต่ไหนแต่ไร ใช้ไม้อ่อนควบคู่กับไม้แข็ง

สถานการณ์ตอนนี้การโจรกรรมเป็นภัย การปราบโจรจึงยากลำบากเกินไป ราชสำนักก็ไม่มีทุนทรัพย์และเสบียงช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่อ

ดังนั้นนี่จึงเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข

“การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง หากนำมาใช้ที่นี่คงไม่ค่อยถูกต้องนัก ทว่าหลักการเหมือนกัน ทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำได้ เจ้าจึงจะนั่งในตำแหน่งที่ไม่มีผู้ใดนั่งได้”

สมุหราชเลขาธิการหวางก็มิอาจฝืนใจไล่คนออกไปได้ จึงกางฎีกาให้เขาดู “ดูสิ หลังจากฝ่าบาททรงเรียกร้องให้บริจาค สถานการณ์ก็ดีขึ้นมาก มิเช่นนั้นสถานการณ์คงจะเลวร้ายกว่านี้”

แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงคุยเล่นหลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง

“ได้ข่าวว่าหมู่นี้ค่อนข้างใกล้ชิดกับองค์หญิงใหญ่งั้นหรือ”

สวี่เอ้อร์หลางหยิบฎีกาขึ้นมาพลิกอ่าน ก่อนจะถือโอกาสพูด

“หารือวิชาความรู้กับองค์หญิงใหญ่เป็นบางครั้งบางคราขอรับ”

สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้า แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “องค์หญิงใหญ่มีพรสวรรค์โดดเด่น เคยเอาชนะบุรุษมามากมาย หากนางเกิดเป็นชายจะต้องคิดวิธีแก้ไขยามเผชิญหน้ากับปัญหายากเช่นนี้ได้แน่นอน”

เขากำลังบอกเป็นนัยให้ข้าไปหารือกับองค์หญิงใหญ่…สวี่ซินเหนียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“พรสวรรค์ขององค์หญิงใหญ่น่าเลื่อมใสจริงๆ”

ในเมื่อเปิดประเด็นแล้ว สมุหราชเลขาธิการหวางจึงรินชาให้ตนเอง ก่อนจะเป่าชาร้อน

“ได้ข่าวเรื่องของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่เจี้ยนโจวแล้วสินะ”

“ได้ยินมาบ้างขอรับ” สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้า

“รายละเอียดน่าจะส่งกลับมาในไม่กี่วัน เรื่องนี้จะเปิดเผยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากเป็นยาแรง เช่นนั้นก็ระงับไว้ภายหลัง”

สมุหราชเลขาธิการหวางหมายถึง หากผลออกมาดีก็จะยังไม่เปิดเผยสู่สาธารณชน รอเวลาที่ต้องใช้ยาแรงก่อนค่อยนำมาใช้

“สวี่หนิงเยี่ยนเป็นดุจอาทิตย์กลางฟ้า จะว่าดีก็ดี ทว่าก็ดีเกินไป” สมุหราชเลขาธิการหวางปรายตามองว่าที่ลูกเขย แล้วถอนใจเอ่ย

“ความโชติช่วงของพี่ชายเจิดจ้าเกินไป ทำให้เจ้ามืดมน ผู้อื่นก็ไม่ยอมให้เจ้าเปล่งประกาย”

สวี่เอ้อร์หลางหยิ่งผยอง กำลังจะบอกว่าพี่ชายก็คือพี่ชาย ความสำเร็จและความสามารถของตนไม่จำเป็นต้องให้พี่ชายช่วยขับดุน ยิ่งไม่น้อยเนื้อต่ำใจเพราะเขา

ทว่าสวี่เอ้อร์หลางก็เป็นคนฉลาด เขารู้ทันทีว่าสมุหราชเลขาธิการหวางไม่ได้จะ ‘เสี้ยม’ ทว่ามีความหมายลึกซึ้งบางอย่าง

“สมุหราชเลขาธิการหวางหมายถึง พี่ใหญ่จะหวนคืนสู่ราชสำนักไม่ได้อีกงั้นหรือ” สวี่เอ้อร์หลางพึมพำ

“การให้เขาแขวนชื่อเสียงลวงในการควบคุมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นขีดจำกัดที่ฝ่าบาทกับท่านทั้งหลายจะยอมรับได้ หากเขาอยากหวนคืนสู่ราชสำนัก เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมนั่งว่างงานตลอดชีวิตได้เลย”

สมุหราชเลขาธิการหวางจิบชาพร้อมเอ่ยช้าๆ “สองพี่น้องเช่นพวกเจ้าต้องประสานกันให้ดี”

ความคิดของจักรพรรดิมีแต่การถ่วงดุลเสมอ

หากสวี่ชีอันควบคุมที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจริงๆ เช่นนั้นสวี่ซินเหนียนก็มิอาจเข้าควบคุมพรรคหวางได้ จักรพรรดิทรงไม่อนุญาต ท่านทั้งหลายก็ไม่อนุญาตด้วยเช่นกัน

สวี่ซินเหนียนส่งเสียง ‘อืม’ ไม่ได้ออกความเห็น

อาศัยความสามารถในการจำแม้มองผ่านตาระดับเปิดปัญญาของลัทธิขงจื๊อ เขาอ่านฎีกาจบด้วยความรวดเร็วก็เข้าใจรายละเอียดของพื้นที่ประสบภัยอย่างหนัก

“ข้าอ่านจบแล้ว ขอตัวก่อนขอรับ”

สวี่เอ้อร์หลางลุกขึ้นคารวะ ก่อนเขาจะเดินไปถึงประตูก็พลันหันหน้าพร้อมเอ่ย

“อันที่จริงก็ไม่เถียง พี่ใหญ่คือปัจจุบัน ส่วนข้า คืออนาคต!”

แล้วผลักประตูจากไป

“เอ้อร์หลาง เหตุใดถึงเหม่อลอยนักล่ะ”

อาสะใภ้ตักซุปไก่บนโต๊ะอาหารให้ลูกชายพร้อมตำหนิ

“เจ้าดื่มเสียหน่อย ซุปไก่ที่แม่ให้คนครัวต้มให้เจ้าเข้าไปอยู่ในท้องของหลิงอินกับลี่น่าหมดแล้ว เอาของดีให้ถังข้าว[1]กินหมด เจ้าไม่เสียดายหรือ”

“ท่านแม่ ถังข้าวคืออะไร”

สวี่หลิงอินดื่มซุปไก่ดังอึกๆๆ แล้วเอ่ยถาม

“ถังข้าวก็คือเจ้าไง!” อาสะใภ้หันหน้าตวาดใส่

“เอ๋ ข้าไม่ใช่สวี่หลิงอินหรอกหรือ” เสี่ยวโต้วติงตกตะลึง

“การเซ่นไหว้ฤดูใบไม้ผลิก็ใกล้เข้ามาแล้ว ผ่านไปอีกหนึ่งปีก็ไม่พัฒนาขึ้นเลย เรียนหนังสือก็ไม่ช่วยอะไรงั้นหรือ ปีนี้เจ้าโตแต่ตัวสมองไม่โตตามเลยหรือ”

อาสะใภ้ไม่อยากจะเชื่อ ยังชอกช้ำระกำใจ

‘เช่นนั้นก็ต้องมีหนังสืออ่านสินะ…’ อารองสวี่กับคนอื่นค่อนแคะในใจ ชินชาเสียแล้ว จากนั้นก็กินข้าวของตนต่อ

อาสะใภ้ด่าทอลูกสาวเสร็จก็หันหน้ามาพูดกับอารอง

“เมื่อคืนองค์หญิงหลินอันส่งเครื่องประดับและผ้ามาให้มากมาย นายท่านว่านางเอาใจใส่บ้านเราเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะแต่งงานกับหนิงเยี่ยนในวันหน้า”

เมื่อก่อนอาสะใภ้คิดว่าสององค์หญิงเอาใจใส่บ้านสกุลสวี่เพราะถูกใจลูกชายรูปงามดุจเทพเซียนของตน

ภายหลังจากคำอธิบายของสามี จึงได้รู้ว่าถูกใจหลานชายของตนที่วิทยายุทธ์เหนือกว่าผู้ใด

อารองสวี่เอ่ยอย่างปลาบปลื้ม

“ด้วยสถานะของหนิงเยี่ยนในตอนนี้ การแต่งงานกับองค์หญิงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก เมื่อแต่งเข้าจวนสกุลสวี่ในวันหน้า นางยังต้องรินชาให้เจ้า เจ้าก็อบรมนางสุดความสามารถได้ด้วย”

‘เด็กน้อยเช่นเจ้า ความคิดความสำนึกไม่ไหวเอาเสียเลย หากพ่ายแพ้อาจจะหันมาเป็นปฏิปักษ์ก็ได้…’ อารองสวี่พูดในใจ

หลังจากทานข้าวเสร็จ สวี่เอ้อร์หลางก็กลับไปที่ห้องหนังสือด้วยใจที่หนักอึ้ง

เขาจุดเทียนก่อนจะเอนตัวลงบนเก้าอี้ แล้วเริ่มครุ่นคิด

เป็นปัญญาชน หากประสบปัญหายากจะอ้างอิงจากหนังสือประวัติศาสตร์เป็นอันดับแรก

ประวัติศาสตร์เป็นกระจกเงา เรียนรู้ประสบการณ์ของบรรพบุรุษจากในนั้น

“ความวุ่นวายในช่วงสุดท้ายของทุกยุคทุกสมัยในหนังสือประวัติศาสตร์ใช้เพียงการกวาดล้างและนิรโทษกรรมสองอย่างเท่านั้น ที่มากไปกว่านั้นคือทัศนคติที่ใช้กวาดล้าง เพราะช่วงสุดท้ายของทุกราชวงศ์ ความขัดแย้งระหว่างราชสำนักและประชาชนมาถึงจุดที่ต้องแก้ไขด้วยสงคราม การนิรโทษกรรมจะต้องมีเงินและเสบียงเสียก่อน จากนั้นก็ขายผลประโยชน์ส่วนหนึ่ง ราชสำนักแก้ไขการโจรกรรมส่วนหนึ่งด้วยวิธีนิรโทษกรรมได้ ทว่ามิอาจแก้ไขการโจรกรรมด้วยวิธีนิรโทษกรรมได้ทั้งหมด หากทำถึงขั้นนี้ได้ก็คงไม่วุ่นวายเฉกเช่นปัจจุบัน”

สวี่เอ้อร์หลางวิเคราะห์และหวนนึกถึงเนื้อหาในหนังสือประวัติศาสตร์โดยอาศัยความจำอันล้ำเลิศได้ข้อสรุปแรกออกมาว่า

ต้าฟ่งในปัจจุบันยังไม่ถึงทางตัน แตกต่างกับความเสื่อมโทรมช่วงสุดท้ายของราชวงศ์ส่วนใหญ่

ยังเสื่อมโทรมไม่ถึงที่สุด

นี่เป็นเรื่องดี

“ในเวลานี้หากกลุ่มกบฏของอวิ๋นโจวเปิดฉากก่อกบฏก็จะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ล่ามอูฐ แล้วจะแก้ไขการโจรกรรมอย่างไร”

สวี่ซินเหนียนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไร้หนทาง ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดร่างกายของสมุหราชเลขาธิการหวางถึงได้ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ กระทั่งยาและเข็มหินก็ไม่เห็นผล

ท้ายที่สุดก็เหนื่อยทั้งแรงกายแรงใจ ทำงานหนักจนล้มป่วย

บัดนี้คำพูดของหลิงอินก็แวบเข้ามาในหัวของเขา

ราวกับมีแสงผ่าเข้าไปในสมองของเขา

“กลายเป็นเพื่อน กลายเป็นเพื่อน…”

สวี่ซินเหนียนลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดง แต่ท่าทางกลับฮึกเหิมยิ่งนัก เขากางกระดาษเซวียนจื่อ บดและจับพู่กันเขียน

‘ปัจจุบันภัยพิบัติรุนแรง โจรพเนจรทุกหนแห่งสร้างความเสียหายให้ฝ่ายหนึ่ง ราชสำนักต้องใช้กลยุทธ์สามประการ ประการแรก นิรโทษกรรม ใช้กลยุทธ์นิรโทษกรรมสำหรับโจรภูเขากลุ่มใหญ่และทำให้โจรภูเขาที่สวามิภักดิ์ปราบโจรภูเขาคนอื่น…’

‘ประการที่สอง ส่งกองกำลังกวาดล้างอย่างเด็ดเดี่ยวสำหรับพวกปลายแถวกลุ่มเล็กเพื่อตัดปัญหาในอนาคต…’

‘ประการที่สาม เลียนแบบคนในยุทธภพ สั่งให้ยอดฝีมือเจาะเข้าไปในท้องที่ รวบรวมผู้ลี้ภัยและยึดครองภูเขา’

จุดนี้คำพูดของหลิงอินปลุกแรงบันดาลใจของเขาขึ้นมา

ทำให้ราชสำนักและผู้ลี้ภัยกลายเป็น ‘เพื่อน’ แน่นอนว่าไม่มีทางรวบรวมผู้ลี้ภัยได้ทั้งหมด ทว่าอย่างน้อยก็ลดภาระของราชสำนักในตอนนี้ไปได้ ลดการโจรกรรมพิษร้ายของประชาชนลงไปได้มาก

สวี่เอ้อร์หลางเขียนต่อ

‘จำเป็นต้องแต่งตั้งคนที่ภักดีและเป็นธรรมให้รับหน้าที่นี้ ไม่ควรใช้คนที่มีข่าวลือเสียหายและชื่อเสียงในด้านลบ ต้องเฝ้าสังเกตสมาชิกในครอบครัวอย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นตัวประกัน’

หลังจากเขียนเสร็จ สวี่เอ้อร์หลางก็เริ่มครุ่นคิด คิดว่ายังขาดบางอย่างไป ทว่าหลังจากพลังงานหมดลง จิตใจก็เริ่มอ่อนแรง ใจสู้แต่แรงไม่เป็นใจ

เขาหันหน้าเหลือบมองนาฬิกาน้ำก็พบว่าเป็นยามจื่อสองเค่อแล้ว เขาทำงานที่โต๊ะหนังสือมาสองชั่วยามเต็ม

……………………………………………..

[1] ถังข้าว อุปมาถึงคนที่ไม่ได้เรื่อง หรือคนที่ใช้การไม่ได้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง