บทที่ 643 ฎีกาลับ (1)
วันนี้สวี่เอ้อร์หลางมาหาคู่หมั้นเพื่อเที่ยวเล่นในวันหยุด
ทว่าทั้งสองยังไม่ได้แต่งงาน จึงอยู่กันตามลำพังสองต่อสองเกินครึ่งชั่วโมงไม่ได้ หากนานกว่านี้ต้องไปคุยในห้องโถง
จะว่าอยู่กันตามลำพังก็ไม่ใช่อยู่กันสองต่อสองจริงๆ ต้องมีสาวใช้อยู่ด้วย
อย่างไรเสียระหว่างชายหญิงวัยกำดัด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการหักห้ามใจได้ยาก จากนั้นก็เกาแก้คันให้กันอย่างเร่าร้อน
หลังจากแต่งงาน บ้านสามีจะเห็นเลือดพรหมจรรย์ของลูกสะใภ้ที่แต่งเข้าบ้านใหม่เป็นปกติ หากไม่มีก็ช่างขายขี้หน้านัก
แม้บ้านสกุลหวางเชื่อใจสวี่เอ้อร์หลาง ทว่ากฎก็ต้องเป็นกฎอยู่ดี มีอาจผ่อนปรนให้ได้
ดังนั้นหลังจากครึ่งชั่วโมงสิ้นสุดลง หวางซือมู่จึงบอกลาว่าที่สามีอย่างอาลัยอาวรณ์ มองตามหลังเขาเข้าไปประชุมที่ห้องหนังสือของบิดา
“ท่านสมุหราชเลขาธิการกลั่นแกล้งข้าแล้ว!”
สวี่ซินเหนียนฝืนยิ้ม แต่ก็ไม่ได้เดินไป หากเป็นผู้อาวุโสทั่วไปกล่าวเช่นนี้ เขาจะต้องลุกขึ้นขอตัวลาแน่นอน ทว่าสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นว่าที่พ่อตา ท่าทางของสวี่เอ้อร์หลางจึงดูเป็นกันเองมาก
อันที่จริงวิธีแก้ไขการโจรกรรมนั้นง่ายดายมาก กวาดล้างและนิรโทษกรรมเป็นทัศนคติที่ราชสำนักปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยและกลุ่มโจรที่ยึดครองภูเขามาแต่ไหนแต่ไร ใช้ไม้อ่อนควบคู่กับไม้แข็ง
สถานการณ์ตอนนี้การโจรกรรมเป็นภัย การปราบโจรจึงยากลำบากเกินไป ราชสำนักก็ไม่มีทุนทรัพย์และเสบียงช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่อ
ดังนั้นนี่จึงเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข
“การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง หากนำมาใช้ที่นี่คงไม่ค่อยถูกต้องนัก ทว่าหลักการเหมือนกัน ทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำได้ เจ้าจึงจะนั่งในตำแหน่งที่ไม่มีผู้ใดนั่งได้”
สมุหราชเลขาธิการหวางก็มิอาจฝืนใจไล่คนออกไปได้ จึงกางฎีกาให้เขาดู “ดูสิ หลังจากฝ่าบาททรงเรียกร้องให้บริจาค สถานการณ์ก็ดีขึ้นมาก มิเช่นนั้นสถานการณ์คงจะเลวร้ายกว่านี้”
แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงคุยเล่นหลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง
“ได้ข่าวว่าหมู่นี้ค่อนข้างใกล้ชิดกับองค์หญิงใหญ่งั้นหรือ”
สวี่เอ้อร์หลางหยิบฎีกาขึ้นมาพลิกอ่าน ก่อนจะถือโอกาสพูด
“หารือวิชาความรู้กับองค์หญิงใหญ่เป็นบางครั้งบางคราขอรับ”
สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้า แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “องค์หญิงใหญ่มีพรสวรรค์โดดเด่น เคยเอาชนะบุรุษมามากมาย หากนางเกิดเป็นชายจะต้องคิดวิธีแก้ไขยามเผชิญหน้ากับปัญหายากเช่นนี้ได้แน่นอน”
เขากำลังบอกเป็นนัยให้ข้าไปหารือกับองค์หญิงใหญ่…สวี่ซินเหนียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พรสวรรค์ขององค์หญิงใหญ่น่าเลื่อมใสจริงๆ”
ในเมื่อเปิดประเด็นแล้ว สมุหราชเลขาธิการหวางจึงรินชาให้ตนเอง ก่อนจะเป่าชาร้อน
“ได้ข่าวเรื่องของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่เจี้ยนโจวแล้วสินะ”
“ได้ยินมาบ้างขอรับ” สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้า
“รายละเอียดน่าจะส่งกลับมาในไม่กี่วัน เรื่องนี้จะเปิดเผยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากเป็นยาแรง เช่นนั้นก็ระงับไว้ภายหลัง”
สมุหราชเลขาธิการหวางหมายถึง หากผลออกมาดีก็จะยังไม่เปิดเผยสู่สาธารณชน รอเวลาที่ต้องใช้ยาแรงก่อนค่อยนำมาใช้
“สวี่หนิงเยี่ยนเป็นดุจอาทิตย์กลางฟ้า จะว่าดีก็ดี ทว่าก็ดีเกินไป” สมุหราชเลขาธิการหวางปรายตามองว่าที่ลูกเขย แล้วถอนใจเอ่ย
“ความโชติช่วงของพี่ชายเจิดจ้าเกินไป ทำให้เจ้ามืดมน ผู้อื่นก็ไม่ยอมให้เจ้าเปล่งประกาย”
สวี่เอ้อร์หลางหยิ่งผยอง กำลังจะบอกว่าพี่ชายก็คือพี่ชาย ความสำเร็จและความสามารถของตนไม่จำเป็นต้องให้พี่ชายช่วยขับดุน ยิ่งไม่น้อยเนื้อต่ำใจเพราะเขา
ทว่าสวี่เอ้อร์หลางก็เป็นคนฉลาด เขารู้ทันทีว่าสมุหราชเลขาธิการหวางไม่ได้จะ ‘เสี้ยม’ ทว่ามีความหมายลึกซึ้งบางอย่าง
“สมุหราชเลขาธิการหวางหมายถึง พี่ใหญ่จะหวนคืนสู่ราชสำนักไม่ได้อีกงั้นหรือ” สวี่เอ้อร์หลางพึมพำ
“การให้เขาแขวนชื่อเสียงลวงในการควบคุมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นขีดจำกัดที่ฝ่าบาทกับท่านทั้งหลายจะยอมรับได้ หากเขาอยากหวนคืนสู่ราชสำนัก เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมนั่งว่างงานตลอดชีวิตได้เลย”
สมุหราชเลขาธิการหวางจิบชาพร้อมเอ่ยช้าๆ “สองพี่น้องเช่นพวกเจ้าต้องประสานกันให้ดี”
ความคิดของจักรพรรดิมีแต่การถ่วงดุลเสมอ
หากสวี่ชีอันควบคุมที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจริงๆ เช่นนั้นสวี่ซินเหนียนก็มิอาจเข้าควบคุมพรรคหวางได้ จักรพรรดิทรงไม่อนุญาต ท่านทั้งหลายก็ไม่อนุญาตด้วยเช่นกัน
สวี่ซินเหนียนส่งเสียง ‘อืม’ ไม่ได้ออกความเห็น
อาศัยความสามารถในการจำแม้มองผ่านตาระดับเปิดปัญญาของลัทธิขงจื๊อ เขาอ่านฎีกาจบด้วยความรวดเร็วก็เข้าใจรายละเอียดของพื้นที่ประสบภัยอย่างหนัก
“ข้าอ่านจบแล้ว ขอตัวก่อนขอรับ”
สวี่เอ้อร์หลางลุกขึ้นคารวะ ก่อนเขาจะเดินไปถึงประตูก็พลันหันหน้าพร้อมเอ่ย
“อันที่จริงก็ไม่เถียง พี่ใหญ่คือปัจจุบัน ส่วนข้า คืออนาคต!”
แล้วผลักประตูจากไป
…
“เอ้อร์หลาง เหตุใดถึงเหม่อลอยนักล่ะ”
อาสะใภ้ตักซุปไก่บนโต๊ะอาหารให้ลูกชายพร้อมตำหนิ
“เจ้าดื่มเสียหน่อย ซุปไก่ที่แม่ให้คนครัวต้มให้เจ้าเข้าไปอยู่ในท้องของหลิงอินกับลี่น่าหมดแล้ว เอาของดีให้ถังข้าว[1]กินหมด เจ้าไม่เสียดายหรือ”
“ท่านแม่ ถังข้าวคืออะไร”
สวี่หลิงอินดื่มซุปไก่ดังอึกๆๆ แล้วเอ่ยถาม
“ถังข้าวก็คือเจ้าไง!” อาสะใภ้หันหน้าตวาดใส่
“เอ๋ ข้าไม่ใช่สวี่หลิงอินหรอกหรือ” เสี่ยวโต้วติงตกตะลึง
“การเซ่นไหว้ฤดูใบไม้ผลิก็ใกล้เข้ามาแล้ว ผ่านไปอีกหนึ่งปีก็ไม่พัฒนาขึ้นเลย เรียนหนังสือก็ไม่ช่วยอะไรงั้นหรือ ปีนี้เจ้าโตแต่ตัวสมองไม่โตตามเลยหรือ”
อาสะใภ้ไม่อยากจะเชื่อ ยังชอกช้ำระกำใจ
‘เช่นนั้นก็ต้องมีหนังสืออ่านสินะ…’ อารองสวี่กับคนอื่นค่อนแคะในใจ ชินชาเสียแล้ว จากนั้นก็กินข้าวของตนต่อ
อาสะใภ้ด่าทอลูกสาวเสร็จก็หันหน้ามาพูดกับอารอง
“เมื่อคืนองค์หญิงหลินอันส่งเครื่องประดับและผ้ามาให้มากมาย นายท่านว่านางเอาใจใส่บ้านเราเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะแต่งงานกับหนิงเยี่ยนในวันหน้า”
เมื่อก่อนอาสะใภ้คิดว่าสององค์หญิงเอาใจใส่บ้านสกุลสวี่เพราะถูกใจลูกชายรูปงามดุจเทพเซียนของตน
ภายหลังจากคำอธิบายของสามี จึงได้รู้ว่าถูกใจหลานชายของตนที่วิทยายุทธ์เหนือกว่าผู้ใด
อารองสวี่เอ่ยอย่างปลาบปลื้ม
“ด้วยสถานะของหนิงเยี่ยนในตอนนี้ การแต่งงานกับองค์หญิงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก เมื่อแต่งเข้าจวนสกุลสวี่ในวันหน้า นางยังต้องรินชาให้เจ้า เจ้าก็อบรมนางสุดความสามารถได้ด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง