บทที่ 644 หมากล้อม
มอบหมายยอดฝีมือที่วางใจรวบรวมไพร่พลคนจร ปล้นสะดมเสนาบดีเล็กและพ่อค้า ยึดเอาทรัพยากรของพวกเขามาควบคุมเหล่าคนจร…
ในความคิดของจักรพรรดิหย่งซิ่งมีเสียงดัง ‘วิ้งๆ’ พระองค์รู้สึกว่าความรู้ที่ถูกปลูกฝังมาตลอดสามสิบปีถูกสาส์นลับฉบับนี้ล้มล้างหมดสิ้น ความรู้สึกสับสน เหลือเชื่อทวีความรุนแรงขึ้น
หลังจากอ่านสาส์นจนจบแล้ว คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ ‘เหลวไหล!’
ในความเข้าใจของจักรพรรดิหย่งซิ่ง เสนาบดีเล็ก ชนชั้นนักปราชญ์ รวมไปถึงตระกูลใหญ่เรืองอำนาจเป็นองค์ประกอบสำคัญของราชสำนัก เป็นผู้ปกปักรักษาการปกครองของราชวงศ์
หากตั้งตัวเป็นศัตรูกับชนชั้นเหล่านี้ พระราชกฤษฎีกาของราชสำนักก็ยากที่จะบรรลุผล ในประวัติศาสตร์มีราชวงศ์และจักรพรรดิหลายพระองค์ที่ถูกโค่นล้มเนื่องจากไปล่วงเกินชนชั้นสูงเหล่านี้
จักรพรรดิหย่งซิ่งเองก็ศึกษาประวัติศาสตร์เช่นกัน พระองค์สามารถสรุปความเข้าใจทางการปกครองได้เป็นสองประโยค
‘ประนีประนอมตลอดเวลา ดึงคนพวกหนึ่งมากำราบคนอีกพวกหนึ่ง!’
ที่บอกว่าดึงคนพวกหนึ่งมากำราบคนอีกพวกหนึ่ง ในบริบทของท้องพระโรง ก็คือหาคนสนับสนุนให้มากขึ้นนั่นเอง
ในบริบทของการปกครองดินแดน คนที่ผูกมิตรดึงมาเป็นพวกก็คือพวกตระกูลเรืองอำนาจ เสนาบดีเล็ก ชนชั้นสูง นักปราชญ์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย คนที่ถูกกำราบก็คือประชาชนตาดำๆ นับหมื่นนับพันใต้หล้า
ทว่าข้อความประโยคหนึ่งในสาส์นลับของสวี่เอ้อร์หลางกลับสะเทือนความรู้สึกของจักรพรรดิหย่งซิ่งอย่างล้ำลึก
“บรรดาเหล่าผู้ครองแผ่นดิน ยามสงบเป็นพันธมิตร ยามวิกฤตตีตนจากจร”
เน้นไปที่ประโยคนี้ สวี่เอ้อร์หลางร่ายบทสาธยายยาวเหยียด เมื่อเทียบกับชนชั้นรากหญ้าที่ต้องทนทุกข์กับภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชนชั้นที่ถือครองแผ่นดิน ทรัพยากร และความมั่งคั่งของราชวงศ์นั้นเป็นเพียงกลุ่มคนส่วนน้อยเท่านั้น
ในยามยาก การเสียสละเศษเสี้ยวเล็กๆ นี้ไป จะได้มาซึ่งการสนับสนุนจากประชาชนส่วนมาก อำนาจของจักรพรรดิจะยืนหยัดได้อย่างมั่นคง
เมื่อชนชั้นเก่าแก่ถูกทำลายสิ้น ย่อมมีคนใหม่ๆ เข้ามาแทนที่พวกเขาในชนชั้นเหล่านี้
จักรพรรดิหย่งซิ่งรู้สึกว่าวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นการดึงคนพวกหนึ่งมากำราบคนอีกพวกหนึ่งเช่นกัน
สอดคล้องกับหลักการปกครองของพระองค์
ประเด็นที่สำคัญอย่างหนึ่งคือเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากราชสำนัก แต่เป็นฝีมือกองโจรพเนจรชั่วช้า ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนักหรือราชวงศ์
“สวี่ซินเหนียนมากความสามารถ สมควรแก่การให้ค่า!”
จักรพรรดิหย่งซิ่งทรงทอดถอนใจ
พระองค์อ่านสาส์นลับซ้ำไปซ้ำมา เดี๋ยวก็ตื่นเต้น เดี๋ยวก็วิตก อีกเดี๋ยวกัดพระทนต์กรอด อีกเดี๋ยวก็ส่ายพระพักตร์ ลังเลสับสนอยู่นาน
เฮ้อ…ในที่สุดพระองค์ก็ทรงถอนพระทัยและตัดสินพระทัยได้
“เอากระถางเพลิงมา!”
จักรพรรดิหย่งซิ่งสั่งการ
จ้าวเสวียนเจิ้นรีบนำกระถางเพลิงมาถวายทันที
พระองค์โยนสาส์นลับใส่ในกระถางเพลิง เปลวไฟลุกโชนเผาไหม้สาส์นที่หากรั่วไหลออกไปสู่ภายนอกจะต้องสั่นสะเทือนขุนนางและประชาชนทั่วหล้าอย่างแน่นอน
พระองค์ไม่คิดจะนำแผนการนี้มาใช้
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ กลยุทธ์ที่สามจะไม่ถูกนำมาใช้
เหตุผลนั้นง่ายดาย มันมีความเสี่ยงมากเกินไป
หากเรื่องนี้รั่วไหลออกไป บัลลังก์ของพระองค์จะต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน
พระองค์ไม่ใช่พระบิดา ที่มีรากฐานหยั่งลึก สามารถควบคุมท้องพระโรงและขุนนางชั้นสูงให้อยู่ในกำมือได้ พระองค์เป็นเพียงจักรพรรดิองค์ใหม่ที่ขึ้นครองราชย์ได้ไม่ถึงสองเดือน
ไม่สิ ต่อให้เป็นจักรพรรดิที่มีพระราชอำนาจล้นเหลือก็ไม่กล้าทำเช่นนี้แน่
การมอบหมายคนสนิทให้ไปทำเรื่องเช่นนี้ ก็เหมือนเป็นการเผยจุดอ่อนออกไป
จุดอ่อนที่สามารถทำให้พระองค์ป่นปี้ไปตลอดกาลได้ตลอดเวลา
อย่าว่าแต่คนสนิทเลย แม้แต่พระมารดาและพระขนิษฐาร่วมพระครรภ์ พระองค์ยังไม่กล้าเปิดเผยจุดอ่อนนี้ให้แก่พวกนาง
ใครจะรับประกันได้ว่าคนสนิทจะภักดีเสมอ
…
ด้านในเจดีย์พุทธะ
สวี่ชีอันที่เพิ่งมาถึงอวี่โจวก็ขี่เจดีย์พุทธะไปยังซินเจียงตอนใต้ทันที จู่ๆ ก็รู้สึกใจสั่น จึงหันไปพูดกับเหมียวโหย่วฟางว่า
“มาช่วยข้าสักเดี๋ยวซิ”
เขานั่งอยู่ข้างโต๊ะ กำลังเล่นหมากกับมู่หนานจือ หมากดำขาวสูสีกินกันไม่ลง สถานการณ์พลิกผันได้ตลอดเวลา ยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำให้แก่ใคร
ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงเองก็ยังตกตะลึง ไม่คิดว่าคนสองคนนี้จะมีฝีมือในการวางหมากระดับเหนือมนุษย์เช่นนี้
เหมียวโหย่วฟางหยุดฝึกฝนการชกต่อย เช็ดหน้าด้วยผ้าเช็ดเหงื่อที่ห้อยคอ และเอ่ยอย่างอึดอัดใจ
“ข้าวางหมากไม่เป็น!”
สวี่ชีอันยังคงยืนกรานความคิดของตน
“หนานจือจะสอนเจ้าเอง การวางหมากไม่มีอะไรยาก จงเชื่อในสติปัญญาของตนเถิด”
เหมียวโหย่วฟางเดินเข้าไปอย่างไม่ขัดขืน นั่งลงตรงที่นั่งของสวี่ชีอัน เมื่อเห็นหมากวางอัดแน่นอยู่เต็มกระดาน เขาก็สะดุ้งตกใจ
ตัวหมากวางอยู่เต็มหน้ากระดาน มาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังตัดสินผู้ชนะกันไม่ได้
ทักษะการวางหมากของสวี่ชีอันและภรรยาเหนือกว่าจินตนาการ
มู่หนานจือมองเขาแวบหนึ่งและเอ่ย
“เจ้าเล่นตัวดำ ข้าเล่นตัวขาว”
เหมียวโหย่วฟางเกาหัวแกรกๆ “ข้าเล่นไม่เป็น”
“ง่ายมาก แค่ว่าหมากห้าตัวเรียงกันเป็นเส้นตรงได้ก็ถือว่าชนะแล้ว” มู่หนานจือกล่าว
“หมากแบบไหนกัน”
“นี่เขาเรียกว่าหมากล้อม” มู่หนานจือกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
ส่วนอีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันเดินไปยังริมหน้าต่าง ควักชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา เห็นฮว๋ายชิ่งส่งข้อความมา
หมายเลขหนึ่ง ‘จักรพรรดิหย่งซิ่งไม่ยอมรับกลยุทธ์ของสวี่เอ้อร์หลาง วันนี้ก็ให้คนไปส่งข้อความถึงเขาว่า ‘แผนการของท่านนับว่ายอดเยี่ยม แต่เราคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ขอให้ยุติแต่เพียงเท่านี้อย่าพูดถึงมันอีก!’
จักรพรรดิหย่งซิ่งใจไม่กล้าพอสินะ…สวี่ชีอันส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
หมายเลขสอง ‘ว่าอย่างไรนะ พวกเราอุตส่าห์ทุ่มเทกายใจคิดแผนการสุดล้ำเลิศให้กับพระองค์ แต่พระองค์ไม่คิดจะใช้มันเลยเนี่ยนะ? เหอะ จักรพรรดิหย่งซิ่งช่างมีคุณธรรมสูงส่งไม่ต่างจะบิดาของตน เป็นจักรพรรดิที่ไร้ประโยชน์พอกัน’
หญิงสาวโมโหอย่างยิ่ง
หมายเลขสี่ ‘อันที่จริงที่พระองค์ไม่เลือกก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าหาญ เมื่อใดที่เจ้าได้เปลี่ยนตำแหน่ง เจ้าก็จะเข้าใจความทุกข์ของพระองค์เอง ในฐานะจักรพรรดิองค์ใหม่ พระองค์จำต้องแสวงหาความมั่นคงเสียก่อน
‘การนำกลยุทธ์ของเอ้อร์หลางมาใช้ มีความไม่แน่นอนและความเสี่ยงมากเกินไป อีกทั้งยังอาจไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะช่วยแก้ปัญหาคนเร่ร่อนได้จริงๆ แต่เมื่อใดที่ถูกเปิดโปง พระองค์จะถูกขุนนางและนักปราชญ์ตอบโต้เป็นแน่’
หมายเลขเจ็ด ‘พระองค์ไม่รับข้อเสนอ ไม่ขัดขวางการเคลื่อนไหวของเรา เพียงแต่ผลลัพธ์จะถูกลดทอน เพราะพรรคฟ้าดินมีกำลังคนจำกัด’
เทพบุตรแสดงความเห็นของตน
นี่ ไอ้น้องชาย เจ้านี่ช่างกระตือรือร้นเสียจริงนะ ลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าตกตายทางสังคมอย่างไร มุมของปากของสวี่ชีอันขยับ
หมายเลขสอง ‘สวี่ชีอัน ไม่มีกลยุทธ์อื่นที่จะใช้จัดการกับคนเร่ร่อนบ้างหรือ’
ใจจริงหลี่เมี่ยวเจินอยากจะถามฮว๋ายชิ่ง แต่นางไม่สนิทสนมกับฮว๋ายชิ่ง จึงใช้สวี่ชีอันเป็นเครื่องมือ
มีทางอื่นอีกหรือไม่งั้นหรือ?
กลยุทธ์ก่อนหน้านี้คือการกระตุ้นความขัดแย้งทางชนชั้น ละทิ้งชนชั้นหนึ่ง เพื่อรักษาภาพรวมและอำนาจของจักรพรรดิ หากจะบอกว่ามีกลยุทธ์อื่น ก็เห็นจะมีแต่ถ่ายโอนความขัดแย้ง การทำสงครามต่างแดนเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่…
การใช้สงครามต่างแดนในการถ่ายโอนความขัดแย้ง ใช้ได้ในตอนที่ความขัดแย้งในสังคมยังไม่รุนแรงจนถึงขั้นสุดเท่านั้น
สำหรับสถานการณ์ของต้าฟ่งในปัจจุบัน การไปยั่วยุและก่อสงครามกับดินแดนอื่น ไม่เป็นเร่งเวลาให้ดินแดนตนล่มสลายเร็วขึ้นหรือ?
หากอุบายนี้ได้ผล มีหวังฉงเจินได้หัวเราะงองาย…เขาแอบบ่นในใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง