ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 645

บทที่ 645 ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ

“ใต้เท้าเซี่ย ไม่ได้พบกันนานเลยนะขอรับ”

หยางชวนหนานกุมดาบด้วยมือขวา ยืนหลังตรงอยู่นอกรั้วและเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ฤดูหนาวปีนี้ลำบากยากเข็ญเป็นพิเศษ เดิมข้าคิดว่าใต้เท้าเซี่ยคงตายอยู่ในคุก ไม่คิดว่าจะยังมีชีวิตอยู่”

เซี่ยหลูขยับศีรษะมองหยางชวนหนานที่ยืนอยู่นอกรั้วผ่านผมกระเซอะกระเซิง แล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า

“เจ้ามาทำอะไร มาเกลี้ยกล่อมให้ข้าสวามิภักดิ์ต่อกลุ่มกบฏงั้นหรือ”

หยางชวนหนานพยักหน้า “นี่เป็นทางออกเดียวของเจ้า อย่าหวังว่าราชสำนักจะช่วยเจ้าได้ สมุหเทศาภิบาลผู้ยิ่งใหญ่ถูกจำคุกเป็นเวลาครึ่งปี ไร้ซึ่งคนถามไถ่ ใต้เท้าเซี่ยเป็นคนฉลาด คงรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไรนะ”

เซี่ยหลูเอ่ยขึ้นช้าๆ

“อวิ๋นโจวหลุดจากการควบคุมของราชสำนักแล้ว หากเดาไม่ผิด ก่อนที่ข้าจะเข้ารับตำแหน่ง ข้าราชการของอวิ๋นโจวก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าแล้ว”

หยางชวนหนานยิ้ม

“ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า แต่เป็นภายใต้การควบคุมของเจ้าเมือง ตั้งแต่ข้าเป็นสมุหเทศาภิบาลของอวิ๋นโจวก็เลี้ยงดูและสนับสนุนพรรคพวกอย่างลับๆ มาตลอด จนกระทั่งเมื่อหนึ่งปีก่อน กองกำลังของสำนักพ่อมดที่นำโดยซ่งฉางฝู่ถูกกำจัด ข้าถึงควบคุมข้าราชการของอวิ๋นโจวได้ในที่สุด ตอนนี้ทั้งอวิ๋นโจวอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกข้าแล้ว รวมถึงชีวิตของเจ้าด้วย”

เสนาบดีเล็ก ตระกูลขุนนางท้องถิ่นและชนชั้นทหารของอวิ๋นโจวต่างยอมสวามิภักดิ์ต่อเมืองเฉียนหลงหมดแล้ว

พวกเขาบางคนยอมสวามิภักดิ์ด้วยความสมัครใจ เพราะไม่มีทางเลือก บางคนก็ได้รับการสนับสนุนจากเมืองเฉียนหลงอย่างลับๆ

อวิ๋นโจวมีเนื้อที่หลายหมื่นลี้ สามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของราชสำนักต้าฟ่งได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงเบื้องหลังของเมืองเฉียนหลงที่ดำเนินมาหลายร้อยปี

“ใต้เท้าเซี่ยเป็นบัณฑิตขั้นสูงอันดับสอง มีชื่อเสียงในแวดวงข้าราชการ เมืองเฉียนหลงต้องการคนมีความสามารถเช่นเจ้า ใต้เท้าเซี่ย นกดีย่อมเลือกไม้ทำรัง ขุนนางดีย่อมเลือกเจ้านาย”

หยางชวนหนานพูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุด “เมืองเฉียนหลงคือที่พำนักพักพิงที่ท่านสามารถแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่”

เซี่ยหลูยิ้ม “น่าเสียดายนัก”

“น่าเสียดายหรือ”

“น่าเสียดายที่ร่างกายสูงเจ็ดฟุตนี้อ่านแต่หนังสือปราชญ์ จึงทำได้เพียงยกพู่กันเท่านั้น ไม่อาจฆ่าใครได้ กล่าวกันว่าคนไร้ประโยชน์คือบัณฑิต ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่ตอนนี้มันเป็นความจริง” เซี่ยหลูรู้สึกเสียใจ

สีหน้าของหยางชวนหนานเย็นชาขึ้นเล็กน้อย

“การเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่คนเดียวคงไม่ง่าย ใต้เท้าเซี่ยผู้มาจากครอบครัวยากจนสามารถมาถึงจุดนี้ในวันนี้ได้ ต้องอดทนทำงานหนักครึ่งค่อนชีวิต เจ้าจะทิ้งไปเช่นนี้หรือ”

“ข้าก็ทนไม่ได้” เซี่ยหลูพิงกำแพงอันหนาวเหน็บพลางเงยหน้ามองแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางช่องอากาศ ก่อนพึมพำด้วยเสียงแหบแห้ง “แต่ข้ากลัวถูกคนรุ่นหลังดูหมิ่นยิ่งกว่าหลังจากผ่านไปหลายพันปี คนสกุลหยาง เจ้ารู้ไหมว่าคนที่ข้าเลื่อมใสมากที่สุดเป็นใคร”

หยางชวนหนานมองเขาอย่างเย็นชา

“สมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจว เจิ้งซิ่งไหว เขาทำให้ปัญญาชนในโลกเข้าใจความหมายของ ‘การสละชีวิตเพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณธรรม’”

เซี่ยหลูยิ้มหยัน “ช่างเถอะ ข้าจะบอกคนเช่นเจ้าไปทำไม”

หยางชวนหนานพยักหน้า

“เช่นนั้น ข้าก็คงไม่พูดให้เสียเวลา ใต้เท้าเซี่ยผู้แสวงหาซึ่งคุณธรรม”

เขาชักดาบยาวออกมาแล้วฟันโซ่เหล็ก

‘เคร้ง!’

ประตูห้องขังเปิดออก หยางชวนหนานก้าวเข้าไป ดาบเหล็กในมือยื่นไปข้างหน้า ปลายดาบแทงทะลุหน้าอกของเซี่ยหลู ตรึงเขากับกำแพงที่อยู่ข้างหลัง

เซี่ยหลูจับคมดาบด้วยสองมือและดิ้นทุรนทุรายสองสามครั้งอย่างเจ็บปวด

มือของเขาโชกไปด้วยเลือดอุ่นๆ ชีวิตสูญไปตามเลือดที่ไหลออกมาอย่างรวดเร็ว

หยางชวนหนานยิ้มเยาะ

“ลืมให้เวลาใต้เท้าเซี่ยเขียนจดหมายลาตาย ก่อนตายถ้ายังมีอะไรอยากพูดก็พูดเสีย มิเช่นนั้นจะไม่มีโอกาสไปตลอดกาล”

ในเวลานั้น สงครามด่านซานไห่ยังไม่เริ่มขึ้น จักรพรรดิองค์ก่อนก็ยังไม่ได้บำเพ็ญธรรม ต้าฟ่งมีฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล บ้านเมืองและประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข

แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากสงครามด่านซานไห่ พลังอำนาจของต้าฟ่งค่อยๆ อ่อนแอลง เกิดภัยพิบัติขึ้นทุกปีและยังหนักขึ้นทุกปีๆ อีก

เซี่ยหลูเป็นผู้ที่ผ่านความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองมา เขาได้เห็นอาณาจักรแห่งนี้ค่อยๆ อ่อนแอลงจนเสื่อมโทรมด้วยตาของตัวเอง

เขาก็เหมือนกับปัญญาชนจำนวนมาก ทุ่มเททั้งกายและใจ หวังว่าจะกอบกู้อาณาจักรแห่งนี้ไว้ได้และทำให้มันกลับไปอยู่จุดสูงสุดอีกครั้ง

แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเขากำลังจะตาย

ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เซี่ยหลูเอ่ยเสียงขรึม

“จะมีคนมาล้างแค้นแทนข้า คนมักใหญ่ใฝ่สูงเช่นพวกเจ้าจะต้องตายโดยไร้ศพไว้ฝังดิน”

เขาจ้องหยางชวนหนานเขม็งและหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อเสียงหัวเราะดังถึงขีดสุด มันก็หยุดลง

เมืองอวิ๋นโจว จวนผู้บัญชาการ

หยางชวนหนานกลับไปที่ตำหนัก เขาเดินไปยังห้องหนังสือและผลักประตูเปิด เห็นจีเสวียนกำลังพลิกสมุดพับอ่าน

“นายน้อย! พิธีขึ้นครองบัลลังก์กำลังจะเริ่มแล้ว เหตุใดท่านถึงยังอยู่ที่นี่”

หยางชวนหนานขมวดคิ้ว

“ผู้ลี้ภัยที่มารวมตัวกันมีไม่ถึงหมื่นคน จำนวนยังห่างไกลจากที่คาดหวังไว้” จีเสวียนวางสมุดพับลงและถามว่า

“เกิดอะไรขึ้น”

หยางชวนหนานยยิ้มขื่น “หยางกงปิดล้อมชายแดนชิงโจวไว้แล้ว ผู้ลึ้ภัยจึงไม่อาจผ่านเข้ามาได้ เว้นแต่จะทอดข้ามสันเขามาหรือไปยังรัฐใกล้เคียง ถึงจะเข้ามายังอวิ๋นโจวของเราได้ หยางกงผู้นี้ต่อกรด้วยยากยิ่ง”

จีเสวียนพยักหน้า

หยางชวนหนานเร่งรัดอีกครั้ง “อีกครึ่งชั่วยามก็เป็นพิธีขึ้นครองบัลลังก์ของฝ่าบาทแล้ว ในฐานะองค์รัชทายาท ท่านจะไม่ไปไม่ได้”

ทว่าจีเสวียนกลับส่ายหน้า “ข้าจะไม่ไปเข้าร่วมพิธีขึ้นครองบัลลังก์ ข้ามีที่อื่นต้องไป”

เมืองเฉียนหลงเป็น ‘จุดซ่อนตัว’ ในช่วงเก็บตัว ตอนนี้ท่านพ่อต้องการขึ้นครองบัลลังก์และประกาศตนเป็นจักรพรรดิ จึงเป็นปกติที่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน พิธีขึ้นครองบัลลังก์จะจัดขึ้นที่วัดไป๋ตี้ พื้นที่ใจกลางเมืองอวิ๋นโจว

จีเสวียนถามว่า “เซี่ยหลูคนนั้นยอมสวามิภักดิ์หรือไม่”

หยางชวนหนานส่ายหน้า “กระหม่อมสังหารเขาแล้ว”

“สังหารก็ดีแล้ว”

จีเสวียนเอ่ยเสียงเรียบ “ปัญญาชนกลัวล้มเหลวในตอนที่สายไปมากที่สุด แต่นั่นก็เป็นการทำให้เป้าหมายสำเร็จเช่นกัน”

วัดไป๋ตี้

วันนี้เหล่าขุนนางของเมืองอวิ๋นโจวมารวมตัวกันที่วัดไป๋ตี้ รวมถึงขุนนางของเมืองเฉียนหลงด้วย เงาคนอันมืดมิดเบียดเสียดกันอยู่ในจัตุรัส โดยขุนนางบุ๋นอยู่ทางซ้าย ขุนนางบู๊อยู่ทางขวา เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ

ขณะที่เสียงกลองดังกระหึ่ม ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดใสและมงกุฎผิงเทียนก็ก้าวออกมาจากวัดไป๋ตี้อย่างช้าๆ

โดยปกติแล้ว การขึ้นครองบัลลังก์ขององค์รัชทายาทถือเป็นเหตุการณ์สำคัญของอาณาจักร พิธีการก็มีความซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อจักรพรรดิองค์ใหม่มาแทนที่จักรพรรดิองค์เก่าและมักจะตามมาด้วยการจัดงานศพ ซึ่งจะมีเพียงเสียงคร่ำครวญเท่านั้น ไม่มีดนตรีบรรเลง

จักรพรรดิองค์ใหม่ยังต้องสวมเสื้อผ้าไว้ทุกข์ กราบสามครั้งและคำนับเก้าครั้งต่อหน้าดวงวิญญาณของจักรพรรดิองค์ก่อน ทำพิธีบวงสรวงที่วัดบรรพบุรุษและอื่นๆ

ทว่าสิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับสถานการณ์ในตอนนี้จึงถูกละเว้นไป

หลังจากจักรพรรดิชุดคลุมเหลืองนำพลเรือนและทหารบูชาฟ้าแล้ว เขาก็ยืนบนแท่งสูงด้านหน้าวัดไป๋ตี้ มองขุนนางทุกคน ท่าทางสง่าผ่าเผย

โหรชุดขาวของสำนักโหราจารย์คนหนึ่งยืนอยู่ด้านล่างข้างๆ แท่น มองไปทางขุนนางทั้งหลาย เปิดพระราชโองการในมือและกล่าวเสียงดัง

“ตั้งแต่อู่จงก่อกบฏ บรรพบุรุษก็มาซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขา กล้ำกลืนฝืนทนกับความอัปยศ จนสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นถึงทุกวันนี้ ข้ามิอาจลืมคำสอนของบรรพบุรุษได้สักวินาที ผู้ทรงอิทธิพลต่างทุ่มเทกำลังเพื่อชิงดินแดนคืนมา ตอนนี้ราชสำนักต้าฟ่งนั้นเน่าเฟะมาก จักรพรรดิองค์ใหม่ไร้ความสามารถ ถึงขั้นราษฎรเดือดร้อน ผู้คนอดอยากทั้งแผ่นดิน ในฐานะลูกหลานตระกูลจี ราชวงศ์สายตรง ข้ารู้สึกความจงเกลียดจงชัง จึงต้องออกมาเรียกร้องเพื่อพลิกกระแส วันนี้ข้าขอประกาศตนเป็นจักรพรรดิแห่งอวิ๋นโจว และตั้งชื่ออาณาจักรว่า ‘กวงฟู่’ หวังว่าพวกเจ้าจะอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือและร่วมมือกันเพื่อเป็นเจ้าโลก และอาณาจักรยังแต่งตั้งองค์รัชทายาท ผู้เป็นลูกชายคนโตและรากฐานของแผ่นดิน ลูกชายของข้า จีเสวียนเชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊ แถมยังเป็นลิขิตจากสวรรค์ ข้าขอแต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาทและให้ประทับที่ตำหนักตะวันออก”

เมื่อโหรชุดขาวอ่านจนจบก็เก็บพระราชโองการและยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง

เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งหมดค่อยๆ คุกเข่าลงและตะโกนว่า “ฝ่าบาททรงพระเจริญ”

บนท้องฟ้าเหนือเมืองอวิ๋นโจว เรืออวี่เฟิงลอยอยู่เงียบๆ

จีเสวียนยืนอยู่ตรงกาบเรือและฟังเสียงตะโกนดังกระหึ่มเบื้องล่าง แม้ว่าจะอยู่บนท้องฟ้าก็ยังได้ยินชัดเจน

ประชาชนของเมืองอวิ๋นโจวรวมตัวกันอยู่ทุกซอกทุกมุมด้านนอกวัดไป๋ตี้เพื่อชมพิธี

สำหรับพวกเขา ใครเป็นจักรพรรดิก็ไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่ประชาชนสนใจมักจะเป็น ‘อาหารกับเสื้อผ้า’ จักรพรรดิลดภาษีลงเพียงแค่สามปีก็ชนะใจประชาชนของอวิ๋นโจวได้อย่างง่ายดายแล้ว

“ถ้าไม่เลื่อนขั้นสู่ระดับบรรลุธรรมตอนนี้แล้วจะเลื่อนขั้นเมื่อไหร่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง