ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 646

สรุปบท บทที่ 646 ผู้อาวุโสเย่จี: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 646 ผู้อาวุโสเย่จี – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 646 ผู้อาวุโสเย่จี ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 646 ผู้อาวุโสเย่จี

สิ่งที่ควรมาก็มาแล้ว ท่านโหราจารย์พูดไม่ผิดเลยสักนิด ตัวแปรทั้งหมดล้วนอยู่ในหน้าหนาวนี้…สวี่ชีอันถอนหายใจในความคิด

เขาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยสำหรับผลลัพธ์นี้ อย่างไรเสียก็เตรียมใจไว้นานแล้ว คาดไว้ก่อนแล้วว่าจะมีวันนี้

อวิ๋นโจวจะต้องตอบโต้ในไม่ช้าไม่เร็ว และก็ในหน้าหนาวนี้ ดังนั้นสำหรับสวี่ชีอันแล้ว ข่าวนี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นตามปกติเฉกเช่นตะวันจันทราสับเปลี่ยน

“รีบทำสัญญาของจิ้งจอกก้าวหางให้สำเร็จ ถอนตะปูตอกวิญญาณให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้าจึงจะสามารถฟื้นฟูพลังและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นได้ เอ่อ ไม่รู้ว่าร่างจริงของฝูเซียงเป็นเช่นไร งดงามหรือไม่”

สวี่ชีอันหยิบหนังสือแผนการออกมาจากเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ในหนังสือวางแผนเป้าหมายของเขาไว้อย่างชัดเจน

“เรื่องการชุบชีวิตเว่ยกงคงต้องปล่อยไว้ภายหลัง ปลดผนึกเสินซูก่อนเถอะ อย่างไรก็ตามข้าคงหาหินตีฆ้องไม่เจอในตอนนี้ และในเมื่อไม่มีหินตีฆ้อง ก็ไม่สามารถกลั่นเสาของธงกวักวิญญาณได้…”

เขาปรับแผนการให้เหมาะสม จากนั้นโบกมือให้มู่หนานจือพร้อมเอ่ยว่า

“เอา ‘บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่ง’ มาให้ข้าดูหน่อย”

บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่งเป็นสิ่งที่มู่หนานจือซื้อมาด้วยตนเอง นางซื้อบันทึกภูมิศาสตร์ด้วยความสนใจเป็นล้นพ้นเฉกเช่นสตรีที่อยากออกไปท่องเที่ยวภายนอก ไม่ว่าไปที่ใดก็ต้องปล่อยให้ชมประเพณีพื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นหรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน

“ซินเจียงตอนใต้อยู่ในอาณาเขตต้าฟ่ง”

มู่หนานจือพึมพำด้วยความไม่เข้าใจ แล้วหยิบหนังสือที่ยับย่นออกจากห่อผ้าเล็กๆ ของตนเองออกมาโยนไปให้

ไม่ทะนุถนอมหนังสือเลยสักนิด…สวี่ชีอันยื่นมือมารับไว้ แล้วเปิดอ่าน ‘บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่ง’ เขาต้องการอ่านหนังสือเล่มนี้เพราะว่าด้านบนได้วาดแผนที่ที่ราบกลางแบบเรียบง่ายเอาไว้

เรียบง่ายเสียจนสิบสามโจวของต้าฟ่งกลายเป็นก้อนสี่เหลี่ยมที่ผิดไปจากแบบแผนโดยเรียงเป็นก้อนๆ

“อวิ๋นโจวติดทะเล พื้นที่ทางตอนเหนือมีพรมแดนติดกับชิงโจวโดยส่วนใหญ่ สวี่ผิงเฟิงคิดที่จะใช้อวิ๋นโจวเป็นฐาน หากมุ่งหน้าไปเมืองหลวงโดยออกเดินทางไปทางเหนือ ก็จะต้องยึดชิงโจวก่อนเป็นแน่

“แต่ราชสำนักต้องการเวลาพักหายใจ แผนการรับมือที่ดีที่สุดก็คือสกัดกลุ่มกบฏไว้ที่อวิ๋นโจวอย่างสุดชีวิต

“เพราะอย่างนั้นต่อไปความชุลมุนก็จะไปรวมอยู่ที่ชิงโจว”

ณ ห้องทรงพระอักษร

จักรพรรดิหย่งซิ่งยืดเอวตรงขณะฟังการถกเถียงจากบรรดาขุนนางในท้องพระโรง

หลังจากข่าวการประกาศตนเป็นจักรพรรดิของสายเลือดของราชนิกุลเมื่อห้าร้อยปีก่อนส่งกลับมายังเมืองหลวง ราชสำนักและประชาชนล้วนสั่นคลอนไปทั่ว

แต่อารมณ์ของบรรดาข้าราชการชั้นสูงกลับแน่นิ่งมาก พวกเขามีการเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว หากไม่ใช่เพราะภัยหนาวโหมซัดเกินกว่าจะเอาตัวรอด พวกเขาก็คงมุ่งลงใต้ออกโจมตีเองเสียนานแล้ว

แต่สำหรับวงการข้าราชการทั้งหมดหรือกระทั่งประชาชนกลับคิดว่าเป็นการตีแสกหน้าให้ตื่นตัว

ตั้งแต่ปีที่การตรวจสอบข้าราชสำนักจบลง ต้าฟ่งผ่านเหตุการณ์สำคัญที่น่าตกใจจนพูดไม่ออก ในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นมีทั้งการปราบปรามกองทัพสำนักพ่อมดจนพินาศย่อยยับ การสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิองค์ก่อนและภัยหนาว ส่วนตอนนี้อวิ๋นโจวกลับก่อกบฏอีก

แม้แต่ประชาชนทั่วไปในตลาดก็ยังรู้สึกว่าสภาพสังคมวุ่นวายอย่างยิ่ง การจลาจลกำลังจะเกิดขึ้น จึงเป็นเหตุให้เกิดความหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด

สำหรับบัณฑิตและขุนนางในเมืองหลวงที่ตำแหน่งไม่สูง ความรู้สึกหวาดกลัวและไม่พอใจของพวกเขาเพิ่มมากยิ่งขึ้น

หลายวันติดต่อกันมานี้ จำนวนครั้งในการจัดงานชุมนุมวรรณกรรมของบัณฑิตในเมืองหลวงบ่อยขึ้น พวกเขาเชิญชวนมิตรสหายมาอภิปรายเรื่องกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวอย่างกว้างขวางและร่วมหารือสถานการณ์ของที่ราบกลาง

“ฝ่าบาท กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวประกาศตนเป็นจักรพรรดิ สั่นคลอนไปทั้งราชสำนักและประชาชน อย่างไรก็ตาม มีผู้รู้เรื่องที่สำนักพุทธหนุนกลุ่มกบฏน้อยมาก ทว่ากระดาษห่อไฟไม่ได้ฉันใด ก็ปกปิดความจริงไม่ได้ฉันนั้น นี่ยังคงเป็นอันตรายที่แฝงเร้นอย่างถึงที่สุด”

ขุนนางใกล้ชิดของกรมทหารเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น

บรรดาข้าราชการชั้นสูงมีสีหน้าเคร่งขรึม พันธมิตรในอดีตย้ายข้างไปเป็นศัตรูมาห้ำหั่นกัน ซึ่งนี่จะเพิ่มความหวาดกลัวให้เลวร้ายลงอย่างไม่ต้องสงสัย

ความแข็งแกร่งของสำนักพุทธคือประชาชนทั่วไปเองก็สามารถรับรู้ข้อเท็จจริงอย่างลึกซึ้งได้

กองทัพกบฏที่อ้างตนว่าเป็นสายเลือดที่หลงเหลือของราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน และได้รับการสนับสนุนจากสำนักพุทธ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะทำให้ผู้คนทั่วใต้หล้าเกิดความเคลือบแคลงต่อราชสำนักและราชวงศ์ต้าฟ่ง

แม้ข้อสงสัยเช่นนี้จะไม่นำมาซึ่งปัญหาใดๆ ชั่วขณะ โดยส่วนใหญ่จะเกิดข้อวิพากษ์ตามตลาดและในชนบท แต่หากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ข้อวิพากษ์หรือข้อสงสัยเหล่านี้ก็จะปะทุขึ้น

หากประชาชนยอมเข้าร่วมกับศัตรู ก็จะไม่มีภาระทางจิตใจ

อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังคงเป็นประชากรของต้าฟ่ง แม้คนที่เข้าร่วมกับศัตรูจะเป็นสายเลือดที่แท้จริงก็ตาม

หากในอนาคตกลุ่มกบฏโค่นล้มราชสำนักในปัจจุบันได้จริงๆ ประชาชนอาจไม่สามารถแม้แต่จะยกธงกอบกู้ต้าฟ่ง

แต่โบราณมา โดยปรกติแล้วผู้ก่อเหตุและผู้ก่อสงครามล้วนให้ความสำคัญกับการส่งกองทัพอย่างเป็นไปตามเหตุผลอันควร

สาเหตุอยู่ที่นี่นี่เอง

เจ้ากรมอาญาเอ่ยด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า

“การยับยั้งการกระจายข่าวลือเพียงหนทางเดียวคือ ผู้ที่สร้างความหวาดกลัว กระจายข่าวลือและกล่าวถึงเรื่องนี้จะต้องเข้าคุกและถูกกล่าวโทษ”

วิธีการเช่นนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ จำเป็นจะต้องยับยั้งข่าวลือไว้

ตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าข่าวลือเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการโจมตีทางจิตใจ หากปล่อยไว้โดยไม่สนใจก็เท่ากับเป็นการยื่นมีดให้ศัตรูด้วยตนเอง

แม้บรรดาข้าราชการชั้นสูงจะรู้สึกว่าวิธีการของเจ้ากรมอาญาเป็นแผนการที่แย่ แต่ก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในตอนนี้

จักรพรรดิหย่งซิ่งยิ้มเมื่อได้ยิน ก่อนเอ่ยว่า

“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ การปิดกั้นยากกว่าการกระจาย ในเมื่อกระดาษไม่อาจห่อไฟ เช่นนั้นก็เปิดเผยเรื่องนี้แก่ประชาชนเสียเอง แบบนี้ก็จะสามารถแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของราชสำนัก ทำให้ประชาชนของข้ารู้ว่า ข้าไม่เกรงกลัวสำนักพุทธ ราชสำนักไม่หวาดกลัวดินแดนประจิม”

‘แบบนี้มัน’…บรรดาข้าราชการชั้นสูงมองหน้ากัน เอ่ยในใจว่าแบบนี้มันไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติอันคร่ำครึและสุขุมของฝ่าบาท

เจ้ากรมอาญาขมวดหัวคิ้ว อดไม่ได้ที่จะมองสมุหราชเลขาธิการหวางที่มีสีหน้าสงบเสงี่ยม ก่อนเอ่ยอย่างได้ความคิดว่า

“ฝ่าบาทมีแผนการรับมือที่ดีเช่นนี้เลยหรือ”

จักรพรรดิหย่งซิ่งกวาดสายตามอง พบว่าพวกเขาก้มศีรษะเล็กน้อย และแสดงท่าทีตั้งใจฟัง บ้างก็แหงนศีรษะมองเขา แม้จะก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจปกปิดความกระตือรือร้นในดวงตา

รอยยิ้มมุมปากของเขากว้างขึ้น เกิดความรู้สึกเป็นสุขในการควบคุมท้องพระโรงเล็กน้อย

“เยี่ยม” จักรพรรดิหย่งซิ่งเอ่ยช้าๆ

“ก่อนหน้านี้ไม่นาน สวี่ชีอันต่อสู้กับสำนักพ่อมด กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวกับสำนักพุทธที่เจี้ยนโจว และสังหารเทพอารักษ์สองตนติดต่อกัน บัดนี้สำนักพุทธไม่มีผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรอีกแล้ว”

“นี่เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของฆ้องเงินสวี่ และก็เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของข้าด้วย”

ภายในห้องทรงพระอักษรเงียบสงบ บรรดาข้าราชการชั้นสูงแสดงออกถึงความประทับใจ

“ฝ่าบาท ที่เอ่ย ที่เอ่ยมาจริงหรือ”

เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิงหงเอ่ยด้วยความตะลึง เขาถามข้อสงสัยของทุกคน

แม้จะบอกว่าผู้ที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นปัญญาชน มีมือไว้เพียงจับด้ามพู่กัน แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรของสำนักพุทธในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดของต้าฟ่ง

ผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรขั้นสาม

ขั้นสามหมายความว่าอะไร

ต้าฟ่งในตอนนี้มีจอมยุทธ์ขั้นสามสวี่ชีอันเป็นที่เชิดหน้าชูตา

จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักหน้าเอ่ยว่า

“เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปที่เจี้ยนโจวในไม่ช้า ไม่อาจโกหกได้”

ข้อมูลที่สามารถทำให้จักรพรรดิกล่าวออกมาในโอกาสเช่นนี้คงไม่มีข้อกังขาอย่างแน่นอน

“เคลื่อนทัพและส่งกำลังพลไปหนุนชิงโจวตั้งแต่วันนี้ไป”

กล่าวจบ เขามองไปยังสมุหราชเลขาธิการหวางพร้อมเอ่ยว่า “สวี่ซินเหนียน ซู่จี๋ซื่อประจำสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินเป็นลูกศิษย์ของจางเซิ่นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แตกฉานยุทธวิธีการรบ เคยสร้างคุณงามความดีในการเดินทางไปช่วยศึกปีศาจแดนเหนือ จะต้องมีเขาในรายชื่อหนุนกำลังชิงโจวในครั้งนี้”

สมุหราชเลขาธิการหวางชะงักเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อว่า

“รับทราบ”

จักรพรรดิหย่งซิ่งต้องการใช้สวี่ซินเหนียนเป็นข้อผูกมัดสวี่ชีอัน เพื่อให้ฆ้องเงินสวี่ผู้ถูกราชสำนักสั่งย้ายอย่างต่อเนื่องทุ่มเททำงานเพื่อความอยู่รอดของชิงโจว

ในขณะเดียวกันก็เป็นการบอกเป็นนัยสมุหราชเลขาธิการหวางว่าเขาต้องการเลื่อนตำแหน่งให้สวี่ซินเหนียน และให้โอกาสซู่จี๋ซื่อสร้างคุณงามความดีในการศึก

ณ จวนอ๋องเหยียน

องค์ชายสี่องค์ก่อน ซึ่งปัจจุบันคือเหยียนชินอ๋อง นั่งอยู่ในห้องศึกษาที่ไฟถ่านคละคลุ้ง เขาสวมชุดไหมสีขาว พร้อมด้วยจี้ห่วงหยกที่กระทบกันดังติ๊งตั๊ง ซึ่งแผ่ราศีความร่ำรวยกดดันผู้อื่น

โดยมือซ้ายถือหนังสือม้วนไว้ ส่วนมือขวาถือชาหอมและขนมแป้งอบ

บนปกหนังสีน้ำเงินเขียนชื่อหนังสือไว้ว่า ‘บันทึกโจว’ บทที่เหยียนชินอ๋องอ่านคือบทที่สิบสามม้วนที่สิบสอง

บนหน้าหนังสือบันทึกประสบการณ์วัยหนุ่มของจักรพรรดิในช่วงต้นและช่วงกลางของราชวงศ์ต้าโจว

เดิมทีจักรพรรดิองค์นั้นเป็นบุตรชายของนางสนม ซึ่งด้านบนยังมีพระราชโอรสทางสายเลือดสามพระองค์กดทับอยู่ ดังนั้นมงกุฎจักรพรรดิจึงไม่มีทางตกลงบนศีรษะเขาอยู่แล้ว

แต่เรื่องมันช่างประจวบเหมาะ พระราชโอรสทางสายเลือดทั้งสามอาจเสียชีวิตอย่างเกินความคาดหมายระหว่างการต่อสู้ที่เกี่ยวเนื่องกัน หรือถูกจักรพรรดิเอือมระอา จึงกลับเอาเปรียบพระราชโอรสที่ให้กำเนิดโดยนางสนมของเขาในท้ายที่สุด

“ฮว๋ายชิ่ง เจ้าเป็นน้องสาวที่ดีของข้าจริงๆ”

เหยียนชินอ๋องเอ่ยยิ้มว่า “เป็นเพราะข้าใจร้อนไป การต่อสู้ระหว่าง ‘บุตรทางสายเลือด’ จึงเพิ่งจะเปิดฉาก ‘บุตรสนม’ อย่างข้า จะไร้ความอดทนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

ณ ภูเขาสือว่าน ซินเจียงตอนใต้

มีเสียงร้องที่เปล่าเปลี่ยวของนกฮูกราตรีดังขึ้นเป็นครั้งคราว ท่ามกลางเทือกเขาสูงชันที่ติดต่อกันอย่างไร้ที่สิ้นสุดในแสงสียามราตรีที่เศร้าวังเวง

นกยักษ์สีชาดลำตัวยาวสองจั้ง (หนึ่งจั้ง = 3.33 เมตร) สยายปีกร่อนเวหาแวบผ่านแนวเทือกเขาเป็นชั้นๆ

เมื่อเดินทางมาถึงหุบเขาบางแห่ง มันหุบปีกขนาดใหญ่ลง ในฉับพลันนั้น ร่างกายของมันเปลี่ยนแปลงกลางอากาศ ปีกทั้งคู่แปลงเป็นแขนของมนุษย์ จะงอยปากที่แหลมคมแบนราบกลายเป็นริมฝีปาก

ศีรษะที่บวมราวลูกทรงกลมกลายเป็นหัวของมนุษย์…มันกลายเป็นชายผู้สง่าและห้าวหาญที่มีดวงตาแคบยาวเมื่อร่อนลงสู่หุบเขา

ในหุบเขามีถ้ำหินอยู่แห่งหนึ่ง ภายนอกถ้ำมีสตรีรูปงามสวมชุดหนังสัตว์ที่เผยให้เห็นขาอ่อนอันเต่งตึงและท้องน้อยที่แบนเรียบสองคนคุ้มกันอยู่

“คารวะผู้พิทักษ์หงอิง”

สตรีผู้มีเสน่ห์ชวนหลงทั้งคู่โค้งตัวทำความเคารพ

“สถานการณ์ของผู้อาวุโสเย่จีเป็นเช่นไรบ้าง”

สายตาของวิหคมารหงอิงมองไปยังส่วนลึกของถ้ำ

“ยังไม่ตื่น พวกเราส่งคนไปเชิญผู้พิทักษ์ชิงมู่แล้ว” สตรีผู้มีเสน่ห์ชวนหลงทางซ้ายเอ่ยตอบ

หงอิงขมวดคิ้ว พร้อมเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า

“ใครทำร้ายผู้อาวุโสเย่จีบาดเจ็บกัน”

……………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง