บทที่ 646 ผู้อาวุโสเย่จี
สิ่งที่ควรมาก็มาแล้ว ท่านโหราจารย์พูดไม่ผิดเลยสักนิด ตัวแปรทั้งหมดล้วนอยู่ในหน้าหนาวนี้…สวี่ชีอันถอนหายใจในความคิด
เขาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยสำหรับผลลัพธ์นี้ อย่างไรเสียก็เตรียมใจไว้นานแล้ว คาดไว้ก่อนแล้วว่าจะมีวันนี้
อวิ๋นโจวจะต้องตอบโต้ในไม่ช้าไม่เร็ว และก็ในหน้าหนาวนี้ ดังนั้นสำหรับสวี่ชีอันแล้ว ข่าวนี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นตามปกติเฉกเช่นตะวันจันทราสับเปลี่ยน
“รีบทำสัญญาของจิ้งจอกก้าวหางให้สำเร็จ ถอนตะปูตอกวิญญาณให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้าจึงจะสามารถฟื้นฟูพลังและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นได้ เอ่อ ไม่รู้ว่าร่างจริงของฝูเซียงเป็นเช่นไร งดงามหรือไม่”
สวี่ชีอันหยิบหนังสือแผนการออกมาจากเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ในหนังสือวางแผนเป้าหมายของเขาไว้อย่างชัดเจน
“เรื่องการชุบชีวิตเว่ยกงคงต้องปล่อยไว้ภายหลัง ปลดผนึกเสินซูก่อนเถอะ อย่างไรก็ตามข้าคงหาหินตีฆ้องไม่เจอในตอนนี้ และในเมื่อไม่มีหินตีฆ้อง ก็ไม่สามารถกลั่นเสาของธงกวักวิญญาณได้…”
เขาปรับแผนการให้เหมาะสม จากนั้นโบกมือให้มู่หนานจือพร้อมเอ่ยว่า
“เอา ‘บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่ง’ มาให้ข้าดูหน่อย”
บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่งเป็นสิ่งที่มู่หนานจือซื้อมาด้วยตนเอง นางซื้อบันทึกภูมิศาสตร์ด้วยความสนใจเป็นล้นพ้นเฉกเช่นสตรีที่อยากออกไปท่องเที่ยวภายนอก ไม่ว่าไปที่ใดก็ต้องปล่อยให้ชมประเพณีพื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นหรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน
“ซินเจียงตอนใต้อยู่ในอาณาเขตต้าฟ่ง”
มู่หนานจือพึมพำด้วยความไม่เข้าใจ แล้วหยิบหนังสือที่ยับย่นออกจากห่อผ้าเล็กๆ ของตนเองออกมาโยนไปให้
ไม่ทะนุถนอมหนังสือเลยสักนิด…สวี่ชีอันยื่นมือมารับไว้ แล้วเปิดอ่าน ‘บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่ง’ เขาต้องการอ่านหนังสือเล่มนี้เพราะว่าด้านบนได้วาดแผนที่ที่ราบกลางแบบเรียบง่ายเอาไว้
เรียบง่ายเสียจนสิบสามโจวของต้าฟ่งกลายเป็นก้อนสี่เหลี่ยมที่ผิดไปจากแบบแผนโดยเรียงเป็นก้อนๆ
“อวิ๋นโจวติดทะเล พื้นที่ทางตอนเหนือมีพรมแดนติดกับชิงโจวโดยส่วนใหญ่ สวี่ผิงเฟิงคิดที่จะใช้อวิ๋นโจวเป็นฐาน หากมุ่งหน้าไปเมืองหลวงโดยออกเดินทางไปทางเหนือ ก็จะต้องยึดชิงโจวก่อนเป็นแน่
“แต่ราชสำนักต้องการเวลาพักหายใจ แผนการรับมือที่ดีที่สุดก็คือสกัดกลุ่มกบฏไว้ที่อวิ๋นโจวอย่างสุดชีวิต
“เพราะอย่างนั้นต่อไปความชุลมุนก็จะไปรวมอยู่ที่ชิงโจว”
…
ณ ห้องทรงพระอักษร
จักรพรรดิหย่งซิ่งยืดเอวตรงขณะฟังการถกเถียงจากบรรดาขุนนางในท้องพระโรง
หลังจากข่าวการประกาศตนเป็นจักรพรรดิของสายเลือดของราชนิกุลเมื่อห้าร้อยปีก่อนส่งกลับมายังเมืองหลวง ราชสำนักและประชาชนล้วนสั่นคลอนไปทั่ว
แต่อารมณ์ของบรรดาข้าราชการชั้นสูงกลับแน่นิ่งมาก พวกเขามีการเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว หากไม่ใช่เพราะภัยหนาวโหมซัดเกินกว่าจะเอาตัวรอด พวกเขาก็คงมุ่งลงใต้ออกโจมตีเองเสียนานแล้ว
แต่สำหรับวงการข้าราชการทั้งหมดหรือกระทั่งประชาชนกลับคิดว่าเป็นการตีแสกหน้าให้ตื่นตัว
ตั้งแต่ปีที่การตรวจสอบข้าราชสำนักจบลง ต้าฟ่งผ่านเหตุการณ์สำคัญที่น่าตกใจจนพูดไม่ออก ในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นมีทั้งการปราบปรามกองทัพสำนักพ่อมดจนพินาศย่อยยับ การสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิองค์ก่อนและภัยหนาว ส่วนตอนนี้อวิ๋นโจวกลับก่อกบฏอีก
แม้แต่ประชาชนทั่วไปในตลาดก็ยังรู้สึกว่าสภาพสังคมวุ่นวายอย่างยิ่ง การจลาจลกำลังจะเกิดขึ้น จึงเป็นเหตุให้เกิดความหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด
สำหรับบัณฑิตและขุนนางในเมืองหลวงที่ตำแหน่งไม่สูง ความรู้สึกหวาดกลัวและไม่พอใจของพวกเขาเพิ่มมากยิ่งขึ้น
หลายวันติดต่อกันมานี้ จำนวนครั้งในการจัดงานชุมนุมวรรณกรรมของบัณฑิตในเมืองหลวงบ่อยขึ้น พวกเขาเชิญชวนมิตรสหายมาอภิปรายเรื่องกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวอย่างกว้างขวางและร่วมหารือสถานการณ์ของที่ราบกลาง
“ฝ่าบาท กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวประกาศตนเป็นจักรพรรดิ สั่นคลอนไปทั้งราชสำนักและประชาชน อย่างไรก็ตาม มีผู้รู้เรื่องที่สำนักพุทธหนุนกลุ่มกบฏน้อยมาก ทว่ากระดาษห่อไฟไม่ได้ฉันใด ก็ปกปิดความจริงไม่ได้ฉันนั้น นี่ยังคงเป็นอันตรายที่แฝงเร้นอย่างถึงที่สุด”
ขุนนางใกล้ชิดของกรมทหารเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น
บรรดาข้าราชการชั้นสูงมีสีหน้าเคร่งขรึม พันธมิตรในอดีตย้ายข้างไปเป็นศัตรูมาห้ำหั่นกัน ซึ่งนี่จะเพิ่มความหวาดกลัวให้เลวร้ายลงอย่างไม่ต้องสงสัย
ความแข็งแกร่งของสำนักพุทธคือประชาชนทั่วไปเองก็สามารถรับรู้ข้อเท็จจริงอย่างลึกซึ้งได้
กองทัพกบฏที่อ้างตนว่าเป็นสายเลือดที่หลงเหลือของราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน และได้รับการสนับสนุนจากสำนักพุทธ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะทำให้ผู้คนทั่วใต้หล้าเกิดความเคลือบแคลงต่อราชสำนักและราชวงศ์ต้าฟ่ง
แม้ข้อสงสัยเช่นนี้จะไม่นำมาซึ่งปัญหาใดๆ ชั่วขณะ โดยส่วนใหญ่จะเกิดข้อวิพากษ์ตามตลาดและในชนบท แต่หากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ข้อวิพากษ์หรือข้อสงสัยเหล่านี้ก็จะปะทุขึ้น
หากประชาชนยอมเข้าร่วมกับศัตรู ก็จะไม่มีภาระทางจิตใจ
อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังคงเป็นประชากรของต้าฟ่ง แม้คนที่เข้าร่วมกับศัตรูจะเป็นสายเลือดที่แท้จริงก็ตาม
หากในอนาคตกลุ่มกบฏโค่นล้มราชสำนักในปัจจุบันได้จริงๆ ประชาชนอาจไม่สามารถแม้แต่จะยกธงกอบกู้ต้าฟ่ง
แต่โบราณมา โดยปรกติแล้วผู้ก่อเหตุและผู้ก่อสงครามล้วนให้ความสำคัญกับการส่งกองทัพอย่างเป็นไปตามเหตุผลอันควร
สาเหตุอยู่ที่นี่นี่เอง
เจ้ากรมอาญาเอ่ยด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า
“การยับยั้งการกระจายข่าวลือเพียงหนทางเดียวคือ ผู้ที่สร้างความหวาดกลัว กระจายข่าวลือและกล่าวถึงเรื่องนี้จะต้องเข้าคุกและถูกกล่าวโทษ”
วิธีการเช่นนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ จำเป็นจะต้องยับยั้งข่าวลือไว้
ตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าข่าวลือเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการโจมตีทางจิตใจ หากปล่อยไว้โดยไม่สนใจก็เท่ากับเป็นการยื่นมีดให้ศัตรูด้วยตนเอง
แม้บรรดาข้าราชการชั้นสูงจะรู้สึกว่าวิธีการของเจ้ากรมอาญาเป็นแผนการที่แย่ แต่ก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในตอนนี้
จักรพรรดิหย่งซิ่งยิ้มเมื่อได้ยิน ก่อนเอ่ยว่า
“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ การปิดกั้นยากกว่าการกระจาย ในเมื่อกระดาษไม่อาจห่อไฟ เช่นนั้นก็เปิดเผยเรื่องนี้แก่ประชาชนเสียเอง แบบนี้ก็จะสามารถแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของราชสำนัก ทำให้ประชาชนของข้ารู้ว่า ข้าไม่เกรงกลัวสำนักพุทธ ราชสำนักไม่หวาดกลัวดินแดนประจิม”
‘แบบนี้มัน’…บรรดาข้าราชการชั้นสูงมองหน้ากัน เอ่ยในใจว่าแบบนี้มันไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติอันคร่ำครึและสุขุมของฝ่าบาท
เจ้ากรมอาญาขมวดหัวคิ้ว อดไม่ได้ที่จะมองสมุหราชเลขาธิการหวางที่มีสีหน้าสงบเสงี่ยม ก่อนเอ่ยอย่างได้ความคิดว่า
“ฝ่าบาทมีแผนการรับมือที่ดีเช่นนี้เลยหรือ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งกวาดสายตามอง พบว่าพวกเขาก้มศีรษะเล็กน้อย และแสดงท่าทีตั้งใจฟัง บ้างก็แหงนศีรษะมองเขา แม้จะก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจปกปิดความกระตือรือร้นในดวงตา
รอยยิ้มมุมปากของเขากว้างขึ้น เกิดความรู้สึกเป็นสุขในการควบคุมท้องพระโรงเล็กน้อย
“เยี่ยม” จักรพรรดิหย่งซิ่งเอ่ยช้าๆ
“ก่อนหน้านี้ไม่นาน สวี่ชีอันต่อสู้กับสำนักพ่อมด กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวกับสำนักพุทธที่เจี้ยนโจว และสังหารเทพอารักษ์สองตนติดต่อกัน บัดนี้สำนักพุทธไม่มีผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรอีกแล้ว”
“นี่เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของฆ้องเงินสวี่ และก็เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของข้าด้วย”
ภายในห้องทรงพระอักษรเงียบสงบ บรรดาข้าราชการชั้นสูงแสดงออกถึงความประทับใจ
“ฝ่าบาท ที่เอ่ย ที่เอ่ยมาจริงหรือ”
เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิงหงเอ่ยด้วยความตะลึง เขาถามข้อสงสัยของทุกคน
แม้จะบอกว่าผู้ที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นปัญญาชน มีมือไว้เพียงจับด้ามพู่กัน แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรของสำนักพุทธในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดของต้าฟ่ง
ผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรขั้นสาม
ขั้นสามหมายความว่าอะไร
ต้าฟ่งในตอนนี้มีจอมยุทธ์ขั้นสามสวี่ชีอันเป็นที่เชิดหน้าชูตา
จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักหน้าเอ่ยว่า
“เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปที่เจี้ยนโจวในไม่ช้า ไม่อาจโกหกได้”
ข้อมูลที่สามารถทำให้จักรพรรดิกล่าวออกมาในโอกาสเช่นนี้คงไม่มีข้อกังขาอย่างแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง