ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 647

สรุปบท บทที่ 647 ภูเขาสือว่าน: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 647 ภูเขาสือว่าน – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 647 ภูเขาสือว่าน ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 647 ภูเขาสือว่าน

สตรีทรงเสน่ห์ทางด้านขวาตอบกลับว่า

“เมื่อคืนผู้อาวุโสเย่จีไปสอดแนมที่วัดหนานฝ่าเพื่อทำการยืนยันครั้งสุดท้าย หารู้ไม่ว่าจะบาดเจ็บสาหัสกลับมา หลังจากหมดสติไปก็ยังไม่ฟื้นอีกเลย”

หญิงงามด้านซ้ายเอ่ยเสริมว่า

“อาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสเย่จีพิกลนัก พลังในร่างกายทำลายพลังชีวิตลงเรื่อยๆ โดยไร้หนทางกำจัดออกได้ พวกเราก็ไม่รู้ว่านางจะยืนหยัดได้ถึงพรุ่งนี้หรือไม่ ได้แต่รอให้ผู้พิทักษ์ชิงมู่มาแล้ว”

ปีศาจนกนามว่า ‘หงอิง’ ขมวดคิ้วมุ่น ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องของวานรสะเทือนทั่วสารทิศ เมื่อมองไปตามเสียงก็พบกับวานรขาวตัวหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาทางทิศใต้ พร้อมกับแหงนหน้ามองดวงจันทร์

“เหตุใดเจ้าลิงน่ารำคาญนี่ก็มาด้วย…”

หงอิงส่งเสียง ‘ชิชะ’ ด้วยความระอา ก่อนเติมรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยความรวดเร็ว พลางเฝ้ามองวานรกระโดดไปมาบนยอดไม้ ปิดท้ายด้วยเสียง ‘ตูม’ ขึ้นในหุบเขา

“ผู้พิทักษ์หยวน ข้าตั้งหน้าตั้งตารอท่านอยู่เลย”

หงอิงเผยรอยยิ้มอบอุ่น ในฐานะสามผู้พิทักษ์หลักภายใต้บังคับบัญชาของผู้อาวุโสเย่จี เขาให้ความสำคัญกับความสมานฉันท์ระหว่าง ‘เพื่อนร่วมงาน’ มากเสมอ

หลังจากที่วานรขาวตกสู่พื้นก็พลันกลายเป็นชายร่างผอมสูง หน้าผากโหนกนูนกว้าง ริมฝีปากหนา มองปราดแรกรูปลักษณ์ภายนอกจะอยู่ระหว่างมนุษย์กับลิง

เมื่อเทียบกับความอัปลักษณ์ภายนอกแล้ว วานรขาวมีดวงตาสีฟ้าครามคู่หนึ่งซึ่งใสกระจ่างราวกับจะสะท้อนทุกสิ่งบนโลกได้

วานรขาวเหลือบมองหงอิงซึ่งใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตาสีฟ้าครามประหนึ่งมองทะลุถึงหัวใจ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า

“หัวใจของเจ้าบอกข้าว่า โชคร้ายเสียจริง เหตุใดเจ้าลิงน่ารำคาญตัวนี้ถึงยังไม่ตายนะ”

หงอิงชะงัก ก่อนส่งเสียง ‘ฮ่าๆ’ ด้วยความประดักประเดิด ขณะไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี ต้นไม้ในหุบเขาก็พลันสั่นไหวอย่างรุนแรง

แมกไม้ในป่าเขียวชอุ่มสั่นไหวราวกับยักษ์ที่ฟื้นคืนชีพและแยกเขี้ยวพร้อมกับกางกรงเล็บ

ท่ามกลางต้นไม้ที่สั่นไหว จุดแสงสีเขียวใสทยอยกันลอยออกมา แล้วพวกมันก็ไปรวมตัวกันกลางท้องฟ้า ประหนึ่งหิ่งห้อยก่อตัวเป็นทางช้างเผือก

แล้วรวมตัวกันเป็นภาพมายาของต้นไม้สูงตระหง่านในท้ายที่สุด

กิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่นี้แผ่ขยายซ้อนทับกันเป็นชั้น ราวกับเมฆาปกคลุม

หุบเขาทั้งลูกถูกปกคลุมด้วยกิ่งก้านสาขาของมัน

ภาพมายาต้นไม้ยักษ์ทอดลำแสงสีเขียวลงมา แล้วควบรวมเป็นชายชราผู้มีผม เครา และคิ้วสีเขียว ในมือค้ำยันไว้ด้วยไม้เท้าที่ทำจากเถาวัลย์

“ผู้พิทักษ์ชิงมู่!”

ทั้งวานร วิหคแดง รวมถึงหญิงงามทั้งสองต่างทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง

ชายชราซึ่งปกคลุมด้วยแสงสีเขียวพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและผ่านร้อนผ่านหนาวมามากว่า

“ผู้อาวุโสเย่จีอยู่ด้านในหรือ”

หงอิงรีบเอ่ยว่า

“กำลังรอท่านอยู่ทีเดียว ตอนที่ผู้อาวุโสเย่จีสอดแนมวัดหนานฝ่าได้เกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง สถานการณ์อยู่ในภาวะวิกฤต”

ก่อนจะเริ่มถ่ายทอดคำพูดของปีศาจหญิงทั้งสองทันที

พลังที่ไร้หนทางกำจัด…หัวใจของผู้พิทักษ์ชิงมู่จมดิ่ง เขาเอ่ยว่า

“พาข้าเข้าไปดูที”

ปีศาจหญิงทางด้านซ้ายคำนับอย่างอ่อนช้อยพลางว่า “ท่านผู้พิทักษ์ทั้งหลาย เชิญด้านในเจ้าค่ะ!”

ผู้พิทักษ์ทั้งสามตามนางเข้าไปในถ้ำ ทางเดินกว้างขวาง คบไฟเสียบอยู่บนกำแพงหินทุกยี่สิบก้าว และมีสตรีรูปงามนางหนึ่งยืนรออยู่

สมแล้วที่เป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก แต่ละคนล้วนมีความงามระดับหัวแถว…หงอิงชื่นชมรูปลักษณ์อันงดงามของเหล่าปีศาจหญิง

“สมแล้วที่เป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก แต่ละคนล้วนมีความงามระดับหัวแถว” ผู้พิทักษ์วานรขาวเอ่ยเสียงเข้ม

หงอิงสีหน้าแข็งค้างก่อนยิ้มแล้วเอ่ยว่า

“ผู้พิทักษ์หยวนช่างเถรตรงเสียจริง”

วานรขาวเหลือบมองเขาแวบหนึ่งพลางว่า “ข้าแค่เอ่ยความในใจของเจ้า”

“…”

หลังผ่านทางเดินลึกกว่าสิบจั้ง ด้านหน้าเป็นถ้ำขนาดมหึมา พื้นปูด้วยหนังสัตว์ มีโต๊ะกลมพร้อมเก้าอี้ไร้พนัก ฉากกั้นบังลม กระถางต้นไม้และสิ่งของอื่นๆ วางอยู่ ไม่ต่างจากห้องส่วนตัวของสตรีที่เป็นมนุษย์

ที่สะดุดตาที่สุดคือเตียงหลังใหญ่พร้อมม่านแขวน แกะสลักเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกเสมือนจริง ฝีมือประณีตงดงาม

ปีศาจหญิงที่ยืนรออยู่ข้างเตียงเลิกม่านเตียงออกทันทีแล้วเอ่ยด้วยความร้อนใจว่า

“ผู้พิทักษ์ชิงมู่ ท่านรีบมาดูเถอะเจ้าค่ะ”

ผู้พิทักษ์ชิงมู่เป็นปรมาจารย์ด้านการแพทย์แห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ เชี่ยวชาญด้านการเล่นแร่แปรธาตุและการปลูกสมุนไพร เมื่อครั้งที่เขาอุทิศตนเพื่อศึกษาวิจัยด้านการแพทย์นั้น ระบบโหรยังไม่เป็นที่ปรากฏ

สตรีรูปร่างหน้าตางดงามผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง กำลังหลับลึกไม่ได้สติ

ใบหน้าของนางเฉียบคม คิ้วยาวตรง เครื่องหน้ามีเสน่ห์ชวนหลงใหล หากในยามนี้ ใบหน้าคมทรงเสน่ห์นี้กลับซีดเผือดจากการเสียเลือด คิ้วขมวดเล็กน้อยระหว่างที่ไม่ได้สติ ราวกับได้รับความทรมานแสนสาหัส

ผู้พิทักษ์ชิงมู่เดินไปยังข้างเตียง แล้วคว้าข้อมือขาวผ่องราวหิมะของหญิงผู้นั้นออกจากผ้าขนสัตว์อ่อนนุ่มมาจับไว้ เพื่อส่งผ่านพลังสีเขียวใส

‘ครืน…’

ลำแสงสีทองดีดตัวออกจากร่างของเย่จี กระแทกผู้พิทักษ์ชิงมู่ลอยขึ้นกลางอากาศ ร่างของเขาสลายไปอย่างรวดเร็วแล้วกลายเป็นจุดแสงสีเขียว

ฉับพลันนั้นเอง จุดแสงสีเขียวก็รวมตัวกันเป็นชายชราอีกครั้ง

“ระดับเต๋าแยกขันธ์!”

ผู้พิทักษ์ชิงมู่สีหน้าหนักอึ้ง

“อะไรนะ”

ปีศาจนกหงอิงหน้าถอดสีพร้อมกับส่งเสียงอุทาน ในที่สุดเขาก็เข้าใจสาเหตุของการ ‘กำจัดออกไม่ได้’ และ ‘พลังชีวิตที่ถดถอยลงเรื่อยๆ’

ในฐานะผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจรุ่นใหม่ เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในศึกใหญ่ระหว่างพระอรหันต์และปีศาจในครั้งนั้น ทว่าเขาเคยเข้าร่วมยุทธการด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีก่อน

ในบรรดาสามระดับเต๋าอรหันต์ ระดับเต๋าแยกขันธ์นับเป็นระดับเต๋าที่มีอานุภาพสูงสุด เรียกว่าเป็นวิธีการสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้พระโพธิสัตว์ของสำนักพุทธ

จุดเด่นสำคัญที่สุดของระดับเต๋าแยกขันธ์ก็คือ ไม่ตายไม่เลิกรา!

“ข้าเองก็จนปัญญา”

ผู้พิทักษ์ชิงมู่ส่ายหัวพลางว่า “ทำได้แต่เชิญให้ท่านจอมมารออกโรงแล้ว”

พลังของระดับเต๋าแยกขันธ์นั้นไม่สามารถรักษาได้ด้วยยา จำเป็นต้องรับมือด้วยพลังในระดับเดียวกัน

“แต่ท่านจอมมารได้ออกทะเลไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในจิ่วโจวแผ่นดินใหญ่…ตอนนี้สำนักพุทธมีเพียงตู้เอ้อร์คนเดียวเท่านั้นที่มีอรหันต์ระดับเต๋าแยกขันธ์ เขา เขามาซินเจียงตอนใต้เพราะเหตุใดกัน ข้อพิพาทระหว่างสำนักพุทธกับมหายานหินยานเสร็จสิ้นแล้วหรือ”

หงอิงเอ่ยด้วยสีหน้าย่ำแย่ว่า “หากท่านจอมมารกลับมาไม่ทัน ผู้อาวุโสเย่จีจะทำเช่นไร”

ทุกคนเงียบงันไปชั่วขณะ ผู้พิทักษ์วานรขาวและผู้พิทักษ์ชิงมู่มีท่าทีเคร่งขรึม

ผู้พิทักษ์ชิงมู่เอ่ยเสียงต่ำ

“นางเหลือเวลาอีกเพียงสองวัน หลังจากนั้น ระดับเต๋าแยกขันธ์จะทำลายธาตุและวิญญาณของนาง”

ในเวลานั้นเอง ก็มีเสียงพึมพำดังขึ้น หญิงงามบนเตียงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่และค่อยๆ ลืมตา

นัยน์ตาจิ้งจอกคู่นั้นงดงามน่าหลงใหล

“ผู้อาวุโสเย่จี”

หงอิงและคนอื่นๆ เข้าไปรายล้อม

สายตาของเย่จีเคลื่อนตัวกวาดมองฝูงชน น้ำเสียงราบเรียบเผยความอิดโรย

“พวกท่านมาแล้ว…”

ผู้อาวุโสชิงมู่พยักหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้มว่า “ผู้อาวุโสเย่จี ผู้ที่ทำร้ายท่านคือพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ใช่ไหม”

เย่จีส่ายหน้าเบาๆ “เป็นอาซูหลัว”

ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย

ผู้อาวุโสชิงมู่ซึ่งมีชีวิตมาเนิ่นนานจนยากจะนับพลันเปลี่ยนสีหน้าอย่างหนัก

“อาซูหลัว บุตรคนสุดท้องของราชันอสูรหรือ เขาไม่ได้วายชนม์ไปนานแล้วรึ”

เย่จีเองก็ฉงนสนเท่ห์ จนปัญญาที่จะตอบได้

หงอิงเอ่ยถาม “ผู้พิทักษ์ชิงมู่ อาซูหลัวคือใครหรือ”

สีหน้าของผู้อาวุโสชิงมู่เปลี่ยนแปลงอย่างยากคาดเดา หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงเอ่ยช้าๆ ว่า

“อาซูหลัวคืออีกชื่อหนึ่งของอาซิวหลัว เป็นชื่อเรียกซึ่งมีเพียงนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าอสูรเท่านั้นที่จะมีได้

“เจ้าใช่ว่าอยากตาย ตอนนี้เจ้ากำลังเสียดายชีวิตสินะ”

เย่จีหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยต่อว่า “เจ้าหมีขี้เกียจนั่นไม่มาก็ช่างปะไร ข้าหาตัวช่วยมาให้เจ้าแล้ว วันนี้ก็จะมาถึง อดใจรอได้เลย ปรนนิบัติเขาให้ดี บางทีเขาอาจช่วยชีวิตเจ้าได้”

เย่จีถามด้วยความระแวดระวัง “ผู้ใดกันเจ้าคะ”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มหยันพลางว่า “ถึงเวลาก็รู้เอง จุๆ ใบหน้านวลลออเช่นนี้ ข้าเตรียมตั้งราคาไว้นานแล้ว รออย่างสบายใจเถอะ”

แสงสว่างในดวงตาข้างซ้ายของเย่จีวูบหายไป พร้อมกับธูปสีดำที่ดับลง

นางนั่งขัดสมาธิอยู่ที่โต๊ะและนิ่งงันไปพักใหญ่ ก่อนเก็บธูปและกระถางธูปด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

จากนั้นจึงสั่งให้ปีศาจหญิงที่ยืนรอรับใช้อยู่นอกถ้ำไปเชิญผู้พิทักษ์ทั้งสาม

รอจนพวกหงอิงกลับมา เย่จีซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เตียงจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“นางบอกว่าจะมีคนมาช่วยเร็วๆ นี้ ให้พวกท่านอดทนรอ”

ผู้พิทักษ์ทั้งสามมีสีหน้าดีใจ หงอิงไล่ถามว่า

“เป็นเทพผู้วิเศษจากไหนหรือ”

เย่จีสีหน้าเย็นเยียบขึ้นไปอีกพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่รู้”

‘เอ๋ ผู้อาวุโสเย่จีดูไม่สบายใจเอาเสียเลย…’ หงอิงสัมผัสท่าทีที่เปลี่ยนแปลงของนางได้อย่างฉับไว

วานรขาวเหลือบมองเขาพลางว่า

“ผู้อาวุโสเย่จี หงอิงถามท่านว่าเหตุใดจึงไม่สบายใจ”

เย่จีขมวดคิ้วพลางมองหงอิง ก่อนเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “มากความ!”

“…”

ปีศาจนกอ้าปากหวอ พูดไม่ออก

ภายในเจดีย์พุทธะ

ไป๋จีนอนคว่ำอยู่ข้างหน้าต่างชั้นสาม อุ้งเท้าเล็กๆ ทั้งสองคว้ากรอบหน้าต่างไว้แน่น ร่างกายแขวนห้อยอยู่ครึ่งท่อน

มันหันหน้าด้วยความตื่น “ด้านล่างเป็นพื้นที่โดยรอบของภูเขาสือว่านละ”

ขณะที่พูด ขาหลังสองข้างก็ครูดกับกำแพงสองสามครั้ง จึงเอ่ยวิงวอนว่า

“สวี่ชีอัน เจ้าอุ้มข้าหน่อยสิ ข้าเหนื่อยเหลือเกิน…”

สวี่ชีอันเป็นคนช่างเห็นอกเห็นใจ จึงหนีบหลังคอมันแล้วยกขึ้นกลางอากาศ

“ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ไหวจริงๆ…”

ไป๋จีกวัดแกว่งแขนขาสะเปะสะปะ

สวี่ชีอันไม่สนใจคำทักท้วงของจิ้งจอกน้อย เขามองไปยังภูมิประเทศด้านล่าง

ครั้งหนึ่งเขาเคยแคลงใจที่ตนมาถึงป่าบุพกาล เทือกเขาด้านล่างสลับซับซ้อน ป่าหนาทึบปกคลุมเกือบทั่วพื้นผิว

โครงข่ายสายน้ำที่ครอบคลุมเปรียบเสมือนเส้นลมปราณกระจายไปทั่วภูเขาและผืนป่า

นี่น่าจะเป็นเขตภูเขากระมัง เพียงแต่พื้นที่นั้นใหญ่เกินไป ทุกที่ล้วนเป็นภูเขา ไม่ว่าตรงไหนก็เป็นป่าบุพกาล…

อากาศสบายเสียจริง ไม่ร้อนไม่หนาว หากราษฎรของต้าฟ่งหนีมาถึงที่นี่ได้ก็จะพ้นทรมานจากความหนาวเย็น น่าเสียดายที่ภูเขาสือว่านแห่งซินเจียงตอนใต้อยู่ห่างจากอาณาเขตต้าฟ่งมากเกินไป ในยุคนี้การสัญจรก็ยังไม่พัฒนา ไม่มีทางที่ผู้ประสบภัยจะเดินเท้ามาถึงที่นี่ได้…

สวี่ชีอันคิดไปต่างๆ นานา แล้วเอ่ยด้วยความสะท้อนใจว่า “นี่คือภูเขาสือว่านที่ปีศาจทักษิณของพวกเจ้าอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุใช่หรือไม่”ช่างเป็นดินแดนแห่งขุมทรัพย์ที่มีทรัพยากรมากมายจนยากจะจินตนาการจริงๆ

หากต้าฟ่งสามารถพิชิตดินแดนผืนนี้ได้ แค่ทรัพยากรป่าไม้ก็เก็บกันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว

“ลอย…”

สวี่ชีอันหันหลังกลับและเหลือบมองไปยังมู่หนานจือซึ่งกำลังขอคำแนะนำวิชาพุทธะกับภิกษุชราถ่าหลิงอยู่ ก่อนกระซิบว่า

“รีบบอกมา เย่จีพี่สาวของเจ้าอยู่ที่ใด”

…………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง