ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 647

บทที่ 647 ภูเขาสือว่าน

สตรีทรงเสน่ห์ทางด้านขวาตอบกลับว่า

“เมื่อคืนผู้อาวุโสเย่จีไปสอดแนมที่วัดหนานฝ่าเพื่อทำการยืนยันครั้งสุดท้าย หารู้ไม่ว่าจะบาดเจ็บสาหัสกลับมา หลังจากหมดสติไปก็ยังไม่ฟื้นอีกเลย”

หญิงงามด้านซ้ายเอ่ยเสริมว่า

“อาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสเย่จีพิกลนัก พลังในร่างกายทำลายพลังชีวิตลงเรื่อยๆ โดยไร้หนทางกำจัดออกได้ พวกเราก็ไม่รู้ว่านางจะยืนหยัดได้ถึงพรุ่งนี้หรือไม่ ได้แต่รอให้ผู้พิทักษ์ชิงมู่มาแล้ว”

ปีศาจนกนามว่า ‘หงอิง’ ขมวดคิ้วมุ่น ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องของวานรสะเทือนทั่วสารทิศ เมื่อมองไปตามเสียงก็พบกับวานรขาวตัวหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาทางทิศใต้ พร้อมกับแหงนหน้ามองดวงจันทร์

“เหตุใดเจ้าลิงน่ารำคาญนี่ก็มาด้วย…”

หงอิงส่งเสียง ‘ชิชะ’ ด้วยความระอา ก่อนเติมรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยความรวดเร็ว พลางเฝ้ามองวานรกระโดดไปมาบนยอดไม้ ปิดท้ายด้วยเสียง ‘ตูม’ ขึ้นในหุบเขา

“ผู้พิทักษ์หยวน ข้าตั้งหน้าตั้งตารอท่านอยู่เลย”

หงอิงเผยรอยยิ้มอบอุ่น ในฐานะสามผู้พิทักษ์หลักภายใต้บังคับบัญชาของผู้อาวุโสเย่จี เขาให้ความสำคัญกับความสมานฉันท์ระหว่าง ‘เพื่อนร่วมงาน’ มากเสมอ

หลังจากที่วานรขาวตกสู่พื้นก็พลันกลายเป็นชายร่างผอมสูง หน้าผากโหนกนูนกว้าง ริมฝีปากหนา มองปราดแรกรูปลักษณ์ภายนอกจะอยู่ระหว่างมนุษย์กับลิง

เมื่อเทียบกับความอัปลักษณ์ภายนอกแล้ว วานรขาวมีดวงตาสีฟ้าครามคู่หนึ่งซึ่งใสกระจ่างราวกับจะสะท้อนทุกสิ่งบนโลกได้

วานรขาวเหลือบมองหงอิงซึ่งใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตาสีฟ้าครามประหนึ่งมองทะลุถึงหัวใจ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า

“หัวใจของเจ้าบอกข้าว่า โชคร้ายเสียจริง เหตุใดเจ้าลิงน่ารำคาญตัวนี้ถึงยังไม่ตายนะ”

หงอิงชะงัก ก่อนส่งเสียง ‘ฮ่าๆ’ ด้วยความประดักประเดิด ขณะไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี ต้นไม้ในหุบเขาก็พลันสั่นไหวอย่างรุนแรง

แมกไม้ในป่าเขียวชอุ่มสั่นไหวราวกับยักษ์ที่ฟื้นคืนชีพและแยกเขี้ยวพร้อมกับกางกรงเล็บ

ท่ามกลางต้นไม้ที่สั่นไหว จุดแสงสีเขียวใสทยอยกันลอยออกมา แล้วพวกมันก็ไปรวมตัวกันกลางท้องฟ้า ประหนึ่งหิ่งห้อยก่อตัวเป็นทางช้างเผือก

แล้วรวมตัวกันเป็นภาพมายาของต้นไม้สูงตระหง่านในท้ายที่สุด

กิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่นี้แผ่ขยายซ้อนทับกันเป็นชั้น ราวกับเมฆาปกคลุม

หุบเขาทั้งลูกถูกปกคลุมด้วยกิ่งก้านสาขาของมัน

ภาพมายาต้นไม้ยักษ์ทอดลำแสงสีเขียวลงมา แล้วควบรวมเป็นชายชราผู้มีผม เครา และคิ้วสีเขียว ในมือค้ำยันไว้ด้วยไม้เท้าที่ทำจากเถาวัลย์

“ผู้พิทักษ์ชิงมู่!”

ทั้งวานร วิหคแดง รวมถึงหญิงงามทั้งสองต่างทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง

ชายชราซึ่งปกคลุมด้วยแสงสีเขียวพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและผ่านร้อนผ่านหนาวมามากว่า

“ผู้อาวุโสเย่จีอยู่ด้านในหรือ”

หงอิงรีบเอ่ยว่า

“กำลังรอท่านอยู่ทีเดียว ตอนที่ผู้อาวุโสเย่จีสอดแนมวัดหนานฝ่าได้เกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง สถานการณ์อยู่ในภาวะวิกฤต”

ก่อนจะเริ่มถ่ายทอดคำพูดของปีศาจหญิงทั้งสองทันที

พลังที่ไร้หนทางกำจัด…หัวใจของผู้พิทักษ์ชิงมู่จมดิ่ง เขาเอ่ยว่า

“พาข้าเข้าไปดูที”

ปีศาจหญิงทางด้านซ้ายคำนับอย่างอ่อนช้อยพลางว่า “ท่านผู้พิทักษ์ทั้งหลาย เชิญด้านในเจ้าค่ะ!”

ผู้พิทักษ์ทั้งสามตามนางเข้าไปในถ้ำ ทางเดินกว้างขวาง คบไฟเสียบอยู่บนกำแพงหินทุกยี่สิบก้าว และมีสตรีรูปงามนางหนึ่งยืนรออยู่

สมแล้วที่เป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก แต่ละคนล้วนมีความงามระดับหัวแถว…หงอิงชื่นชมรูปลักษณ์อันงดงามของเหล่าปีศาจหญิง

“สมแล้วที่เป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก แต่ละคนล้วนมีความงามระดับหัวแถว” ผู้พิทักษ์วานรขาวเอ่ยเสียงเข้ม

หงอิงสีหน้าแข็งค้างก่อนยิ้มแล้วเอ่ยว่า

“ผู้พิทักษ์หยวนช่างเถรตรงเสียจริง”

วานรขาวเหลือบมองเขาแวบหนึ่งพลางว่า “ข้าแค่เอ่ยความในใจของเจ้า”

“…”

หลังผ่านทางเดินลึกกว่าสิบจั้ง ด้านหน้าเป็นถ้ำขนาดมหึมา พื้นปูด้วยหนังสัตว์ มีโต๊ะกลมพร้อมเก้าอี้ไร้พนัก ฉากกั้นบังลม กระถางต้นไม้และสิ่งของอื่นๆ วางอยู่ ไม่ต่างจากห้องส่วนตัวของสตรีที่เป็นมนุษย์

ที่สะดุดตาที่สุดคือเตียงหลังใหญ่พร้อมม่านแขวน แกะสลักเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกเสมือนจริง ฝีมือประณีตงดงาม

ปีศาจหญิงที่ยืนรออยู่ข้างเตียงเลิกม่านเตียงออกทันทีแล้วเอ่ยด้วยความร้อนใจว่า

“ผู้พิทักษ์ชิงมู่ ท่านรีบมาดูเถอะเจ้าค่ะ”

ผู้พิทักษ์ชิงมู่เป็นปรมาจารย์ด้านการแพทย์แห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ เชี่ยวชาญด้านการเล่นแร่แปรธาตุและการปลูกสมุนไพร เมื่อครั้งที่เขาอุทิศตนเพื่อศึกษาวิจัยด้านการแพทย์นั้น ระบบโหรยังไม่เป็นที่ปรากฏ

สตรีรูปร่างหน้าตางดงามผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง กำลังหลับลึกไม่ได้สติ

ใบหน้าของนางเฉียบคม คิ้วยาวตรง เครื่องหน้ามีเสน่ห์ชวนหลงใหล หากในยามนี้ ใบหน้าคมทรงเสน่ห์นี้กลับซีดเผือดจากการเสียเลือด คิ้วขมวดเล็กน้อยระหว่างที่ไม่ได้สติ ราวกับได้รับความทรมานแสนสาหัส

ผู้พิทักษ์ชิงมู่เดินไปยังข้างเตียง แล้วคว้าข้อมือขาวผ่องราวหิมะของหญิงผู้นั้นออกจากผ้าขนสัตว์อ่อนนุ่มมาจับไว้ เพื่อส่งผ่านพลังสีเขียวใส

‘ครืน…’

ลำแสงสีทองดีดตัวออกจากร่างของเย่จี กระแทกผู้พิทักษ์ชิงมู่ลอยขึ้นกลางอากาศ ร่างของเขาสลายไปอย่างรวดเร็วแล้วกลายเป็นจุดแสงสีเขียว

ฉับพลันนั้นเอง จุดแสงสีเขียวก็รวมตัวกันเป็นชายชราอีกครั้ง

“ระดับเต๋าแยกขันธ์!”

ผู้พิทักษ์ชิงมู่สีหน้าหนักอึ้ง

“อะไรนะ”

ปีศาจนกหงอิงหน้าถอดสีพร้อมกับส่งเสียงอุทาน ในที่สุดเขาก็เข้าใจสาเหตุของการ ‘กำจัดออกไม่ได้’ และ ‘พลังชีวิตที่ถดถอยลงเรื่อยๆ’

ในฐานะผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจรุ่นใหม่ เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในศึกใหญ่ระหว่างพระอรหันต์และปีศาจในครั้งนั้น ทว่าเขาเคยเข้าร่วมยุทธการด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีก่อน

ในบรรดาสามระดับเต๋าอรหันต์ ระดับเต๋าแยกขันธ์นับเป็นระดับเต๋าที่มีอานุภาพสูงสุด เรียกว่าเป็นวิธีการสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้พระโพธิสัตว์ของสำนักพุทธ

จุดเด่นสำคัญที่สุดของระดับเต๋าแยกขันธ์ก็คือ ไม่ตายไม่เลิกรา!

“ข้าเองก็จนปัญญา”

ผู้พิทักษ์ชิงมู่ส่ายหัวพลางว่า “ทำได้แต่เชิญให้ท่านจอมมารออกโรงแล้ว”

พลังของระดับเต๋าแยกขันธ์นั้นไม่สามารถรักษาได้ด้วยยา จำเป็นต้องรับมือด้วยพลังในระดับเดียวกัน

“แต่ท่านจอมมารได้ออกทะเลไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในจิ่วโจวแผ่นดินใหญ่…ตอนนี้สำนักพุทธมีเพียงตู้เอ้อร์คนเดียวเท่านั้นที่มีอรหันต์ระดับเต๋าแยกขันธ์ เขา เขามาซินเจียงตอนใต้เพราะเหตุใดกัน ข้อพิพาทระหว่างสำนักพุทธกับมหายานหินยานเสร็จสิ้นแล้วหรือ”

หงอิงเอ่ยด้วยสีหน้าย่ำแย่ว่า “หากท่านจอมมารกลับมาไม่ทัน ผู้อาวุโสเย่จีจะทำเช่นไร”

ทุกคนเงียบงันไปชั่วขณะ ผู้พิทักษ์วานรขาวและผู้พิทักษ์ชิงมู่มีท่าทีเคร่งขรึม

ผู้พิทักษ์ชิงมู่เอ่ยเสียงต่ำ

“นางเหลือเวลาอีกเพียงสองวัน หลังจากนั้น ระดับเต๋าแยกขันธ์จะทำลายธาตุและวิญญาณของนาง”

ในเวลานั้นเอง ก็มีเสียงพึมพำดังขึ้น หญิงงามบนเตียงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่และค่อยๆ ลืมตา

นัยน์ตาจิ้งจอกคู่นั้นงดงามน่าหลงใหล

“ผู้อาวุโสเย่จี”

หงอิงและคนอื่นๆ เข้าไปรายล้อม

สายตาของเย่จีเคลื่อนตัวกวาดมองฝูงชน น้ำเสียงราบเรียบเผยความอิดโรย

“พวกท่านมาแล้ว…”

ผู้อาวุโสชิงมู่พยักหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้มว่า “ผู้อาวุโสเย่จี ผู้ที่ทำร้ายท่านคือพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ใช่ไหม”

เย่จีส่ายหน้าเบาๆ “เป็นอาซูหลัว”

ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย

ผู้อาวุโสชิงมู่ซึ่งมีชีวิตมาเนิ่นนานจนยากจะนับพลันเปลี่ยนสีหน้าอย่างหนัก

“อาซูหลัว บุตรคนสุดท้องของราชันอสูรหรือ เขาไม่ได้วายชนม์ไปนานแล้วรึ”

เย่จีเองก็ฉงนสนเท่ห์ จนปัญญาที่จะตอบได้

หงอิงเอ่ยถาม “ผู้พิทักษ์ชิงมู่ อาซูหลัวคือใครหรือ”

สีหน้าของผู้อาวุโสชิงมู่เปลี่ยนแปลงอย่างยากคาดเดา หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงเอ่ยช้าๆ ว่า

“อาซูหลัวคืออีกชื่อหนึ่งของอาซิวหลัว เป็นชื่อเรียกซึ่งมีเพียงนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าอสูรเท่านั้นที่จะมีได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง