ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 648

บทที่ 648 อาสะใภ้เดือดดาลยิ่งนัก

เมืองหลวง!

อาสะใภ้ได้ยินข่าวร้ายว่าลูกชายสุดที่รักของตัวเองจะไปร่วมทัพอีกครั้ง

สำหรับอาสะใภ้ที่ด้อยการศึกษา สายตาตื้นเขินและคิดว่าตัวเองเป็นนางฟ้าตัวน้อย สงครามก็มีความหมายไม่ต่างจากความตาย ส่งสัญญาณว่าครอบครัวจะล่มสลายและเป็นสัญลักษณ์ว่าคนหัวหงอกส่งศพคนหัวดำ

ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ สวี่เอ้อร์หลางต้องเดินทางขึ้นเหนือพร้อมกองทัพเพื่อไปช่วยปีศาจ ทำเอาอาสะใภ้กินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นเดือนแล้ว จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นกลางดึกเพราะฝันว่าเอ้อร์หลางตายไปภายใต้กีบเหล็กของปีศาจจิ้งกั๋ว

ในตอนแรกสวี่ผิงจื้อดูแลนางอย่างดีและปลอบโยนภรรยาตัวเองด้วยคำพูดอ่อนโยน

หลังจากนั้นไม่นานก็แอบบ่นในใจให้นางเลิกสาปแช่งเขาเสียที เพราะทุกวันฝันถึงทีไรเอ้อร์หลางก็ตายทุกครั้ง!

ในห้องโถงแสนอบอุ่น แสงเทียนส่องสว่างไสว

ตอนเย็นครอบครัวมารวมตัวกันรอบโต๊ะเพื่อทานอาหาร สวี่เอ้อร์หลางก็พูดอย่างมั่นใจว่า “ท่านแม่ อย่ากังวลเลย ตอนนี้ข้าเป็นผู้กรุณาขั้นเจ็ดแล้ว”

อาสะใภ้ได้ยินดังนั้นก็ถามว่า “ผู้กรุณาขั้นเจ็ดมีพลังแค่ไหนล่ะ?”

สวี่เอ้อร์หลางครุ่นคิดพลางพูดว่า “ลัทธิขงจื๊อขั้นเจ็ดเข้าใจความเมตตากรุณาและความชอบธรรม สร้างคุณธรรมได้ ทว่าไร้พลังต่อสู้พิเศษใดๆ เอาล่ะ ถ้าข้าต้องพูดถึงการเติบโต ก็หมายความว่าหัวใจของข้ามั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ถูกล่อลวงด้วยทรัพย์ศฤงคาร การเสพสังวาสและสุราเมรัย”

อาสะใภ้ “ถุย”

“นั่นไม่ใช่บัณฑิตที่อ่อนแอรึ ข้าน่ะอยากให้เจ้าถูกล่อลวงด้วยสุราเมรัย สังวาสและความมั่งคั่ง ต้าหลางเคยเป็นคนซื่อสัตย์ทว่าไร้ค่า แต่หลังจากไปสำนักสังคีตทุกวัน เขาก็กลายเป็นฆ้องเงินสวี่ที่มีชื่อเสียงทั่วหล้า”

สวี่เอ้อร์หลางสำลักจนพูดไม่ออก

ในเวลานี้ ลี่น่ากลืนอาหารในปากนางและพูดว่า

“พี่เอ้อร์หลาง ท่านต่อสู้เมื่อใด ข้าจะลงใต้ไปกับท่าน”

เอ้อร์หลางมองไปที่นาง “ไปกับเจ้า?”

‘ข้าวข้าไม่หอมแล้วรึ’

ใบหน้าบอบบางของลี่น่าแสดงความสิ้นหวังออกมาให้เห็น

“สวี่หนิงเยี่ยนบอกข้ามาเมื่อวานนี้ บอกว่าเขากำลังจะไปทำงานทางชายแดนตอนใต้ บางทีเขาอาจไปที่เผ่าพันธุ์กู่ ข้าว่าข้าจะนำทางไปและให้คำแนะนำเขา อนิจจา ข้าไม่อยากทิ้งทุกคนไปจากเมืองหลวงเลย”

‘เจ้าลังเลที่จะเอาข้าวขาวๆ ของข้าไปหรือ?’… สวี่เอ้อร์หลางสาปแช่งอยู่ในใจ “โอ้” แต่เมื่อพิจารณาความอยากอาหารของลี่น่าจึงพูดว่า

“เจ้าจะไปเที่ยวก็ได้ แต่ต้องเอาเงินกับอาหารมาเอง”

ไม่อาจสูญเสียการปันส่วนทางทหารให้นางไปเปล่าๆ ได้

ดวงตาที่สวยงามของอาสะใภ้เป็นประกาย นางตบหน้าอกอวบอิ่มของนาง “ลี่น่าเป็นท่านอาจารย์ของหลิงอิน ปัญหาเฉพาะหน้าทั้งหมดพวกเราก็ควรแบกรับเอาไว้”

ในที่สุดคนงี่เง่าจากชายแดนตอนใต้ก็จะจากไป อาหารของนางคนเดียวก็พอๆ กับคนตระกูลสวี่สิบคนแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อลี่น่ากลับไปยังชายแดนตอนใต้แล้ว หลิงอินก็จะถูกส่งเข้าวังเพื่อศึกษาเล่าเรียนโดยไม่จำเป็นต้องฝึกฝนวรยุทธ์

ก่อนหน้านี้มหาราชครูคอยหาคนมาส่งข่าวว่าต้องการรับหลิงอินเป็นลูกศิษย์ แต่สวี่เอ้อร์หลางไล่พวกเขากลับเมื่อพิจารณาถึงชีวิตของมหาราชครู

ในความเห็นของอาสะใภ้ ผู้นำโลกวรรณกรรมอย่างมหาราชครูเป็นที่ปรึกษาบนเส้นทางสู่ ‘ความรู้และปัญญา’ ที่ขาดไม่ได้สำหรับหลิงอิน

ลี่น่าเปลี่ยนเรื่องและพูดว่า

“ข้าอยากพาหลิงอินกลับไปชายแดนตอนใต้ด้วย พลังลี่กู่ในตัวนางเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ขั้นที่หนึ่งแล้ว ข้าอยากให้นางดูดซับพลังของเทพกู่ก่อนที่นางจะเข้าสู่ขั้นที่สอง เรื่องนี้สำคัญมากและเกี่ยวข้องโดยตรงกับศักยภาพในอนาคตของหลิงอิน

“นอกจากนี้ ข้ายังยอมรับอัจฉริยะชั้นยอดมาเป็นศิษย์ ท่านพ่อกับคนในตระกูลต้องดีใจมากถ้าได้รู้”

นางอยากพาศิษย์ของนางกลับไปอวดที่เผ่าลี่กู่

“ไม่!” อาสะใภ้ของข้าตบตะเกียบบนโต๊ะและคัดค้านเสียงดัง

“ไม่ได้จริงๆ” อารองสวี่ออกความเห็นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“แต่สวี่หนิงเยี่ยนก็เห็นด้วยแล้ว เขาบอกว่าศักยภาพของหลิงอินนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ สมควรแล้วที่ต้องวางรากฐานไว้ตั้งแต่เยาว์วัย ด้วยพรสวรรค์ของหลิงอิน ในอนาคตนางจะกลายเป็นเจ้ายุทธจักรผู้มีเรี่ยวแรงมหาศาลดุจขุนเขาแน่นอน เช่นเดียวกับท่านพ่อของข้า ตามคำที่พวกเจ้าคนจากที่ราบลุ่มภาคกลางเคยพูดไว้ ในอนาคต ชื่อนี้จะต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์แน่” ลี่น่าพูดขึ้น

เรี่ยวแรงมหาศาลดุจขุนเขารึ? พออาสะใภ้ได้ยินเข้าก็หน้าเขียว

‘ไม่ ในเวลานั้น หนังสือประวัติศาสตร์จะเขียนไว้เพียงว่าสวี่หลิงอินมีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้ายุทธจักร แต่นางสิ้นชีพกลางคันขณะติดตามอาจารย์นางไปก่อนที่นางจะได้ลงมือทำสิ่งใด’…สวี่เอ้อร์หลางส่ายหัว

ลี่น่าตบหน้าอกเล็กๆ ของนางและพูดจาเกลี้ยกล่อมด้วยภาษาธรรมดาๆ ของนางเอง “ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าจะดูแลหลิงอินเป็นอย่างดี และพานางไปชายแดนตอนใต้อย่างราบรื่น”

‘สิ่งที่พวกเรากังวลที่สุดคือการที่เจ้าพานางไปด้วย เด็กสาวโง่ๆ คนหนึ่งกับเด็กผู้หญิงโง่ๆ อีกหนึ่งคน ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะเดินทางไกลกลับไปยังชายแดนตอนใต้’…อารองสวี่พึมพำในใจและพูดน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“ตอนนี้โลกกำลังสับสนวุ่นวาย หากเจ้าซึ่งเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ พาหลิงอินไปชายแดนตอนใต้ เจ้าต้องพบเจอเรื่องไม่คาดฝันระหว่างทางอย่างแน่นอน”

ลี่น่าตบหน้าอกนางทันที “ข้าอยู่ขั้นสี่แล้ว”

อารองสวี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและแสดงท่าทีลังเลทันที

หากลี่น่ามีพลังต่อสู้ขั้นสี่จริงๆ ก็ย่อมไม่มีปัญหา

“และข้ายังติดต่อสวี่หนิงเยี่ยนได้ตลอดเวลา ตอนนี้เขาอยู่ที่ชายแดนตอนใต้ด้วย ถ้าข้าเดือดร้อนเขาก็จะมาช่วยเหลือ” ลี่น่าบอก

เพื่อพิสูจน์ว่านางมิได้โกหก ลี่น่าจึงไม่สนใจคำแนะนำของนักบวชเต๋าจินเหลียนและนำเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาดูเต็มที่และติดต่อสวี่ชีอัน

นางส่งต่อจดหมายคัดค้านของครอบครัวให้สวี่ชีอัน

แต่ลี่น่าลืมบอกกล่าวเป็นการส่วนตัวและพูดคุยเรื่องนี้ในกลุ่มหนังสือปฐพีทันที

[หมายเลขสอง : อะไรนะ? ลี่น่ากำลังจะลงใต้กับหลิงอินรึ? พวกเขาไม่ได้ไปทางตะวันตกแล้ว]

[หมายเลขสี่ : จากประสบการณ์ที่น่าเศร้าของลี่น่า เมื่อนางมาถึงเมืองหลวง ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้นี้ออกไป]

[หมายเลขสอง : ใช่ ด้วยภูมิปัญญาของหลิงอินกับลี่น่า คำแนะนำของข้าคืออย่าหุนหันพลันแล่น และให้อยู่เมืองหลวง]

สวี่ฉือจิ้วแปลข้อความข้างต้นให้กับมารดาผู้ไม่รู้หนังสือของเขา ในขณะที่ลี่น่าอธิบายว่าหมายเลขสอง หมายเลขสี่ และหมายเลขสามเป็นใคร

[หมายเลขสาม : ไม่เป็นไร พวกเขาต้องไปชิงโจวกับเอ้อร์หลางก่อน จากนั้นก็ไปอวี่โจวทางตะวันตกเฉียงใต้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเดินเท้าประมาณหนึ่งพันลี้เพื่อไปยังชายแดนตอนใต้ พวกเราแค่ต้องมั่นใจว่าพวกเขาปลอดภัยตอนอยู่ในอวี่โจว]

[ฮ่า ฮ่า ความจริงแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของลี่น่าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก คู่ซ้อมที่สมน้ำสมเนื้อนั้นดีสำหรับพวกเขาแล้ว เช่นนั้นข้าจะให้ศิษย์พี่ซุนแอบดูแลพวกเขาให้ ลี่น่า โปรดส่งคำพูดของข้าไปยังอารองกับเอ้อร์หลางด้วย]

ลี่น่าอยากบอกว่าพวกเขาก็กำลังอ่านอยู่เช่นกัน สวี่ชีอันก็ส่งข้อความมาพอดี

[หมายเลขสาม : แต่ข้ายังอยากเตือนเจ้า อย่าไว้ใจใคร และอย่าโดนหลอก]

[หมายเลขสอง : อย่าโดนหลอก]

[หมายเลขสี่ : ระวัง อย่าโดนหลอก]

[หมายเลขหก : ระวัง อย่าโดนหลอก]

[หมายเลขหนึ่ง : ระวัง อย่าโดนหลอก]

เทพเซียนช่วย หมายเลขห้าช่างโง่เขลาเสียนี่กระไร…หลี่หลิงซู่ตกตะลึง

ลี่น่าหน้าแดงทันที นางทั้งอายทั้งโกรธ และในตอนที่นางกำลังจะเลิกส่งข้อความ นางก็เห็นข้อความต่อไปของสวี่ชีอันทันที

[หมายเลขสาม : พรสวรรค์ของหลิงอินนั้นดียิ่งนัก หากเจ้าไม่ฝึกฝนพลังลี่กู่ให้แข็งแกร่งเข้าไว้ เจ้าก็ประมาทเกินไปแล้ว อาสะใภ้ของข้าเป็นคนโง่ นางมีฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง นางคิดว่าหลิงอินสามารถศึกษาเล่าเรียนได้ ทั้งครอบครัวต่างหัวเราะเย้ยหยันนาง แต่แค่ไม่พูดออกมา]

พอหลี่เมี่ยวเจินเห็น นางก็หาเรื่องทะเลาะทันที

[หมายเลขสอง : อาสะใภ้ตระกูลสวี่ช่างไร้เดียงสาและโง่เง่ายิ่งนัก นางมักทำให้น้องสาวของเจ้าเป็นตัวตลก]

[หมายเลขสี่ : อาสะใภ้ตระกูลสวี่รักบุตรสาวของนางอย่างสุดซึ้ง]

สวี่เอ้อร์หลางตีความให้มารดาของเขาด้วยความคิดที่ว่า ‘หลังจากแปลความแล้ว พี่ชายคนโตย่อมย่ำแย่กว่าข้า’

ลี่น่ามองไปทางอาสะใภ้ที่ทั้งไร้เดียงสาและน่ากลัว ก่อนจะส่งต่อจดหมายด้วยความระมัดระวัง

[หมายเลขห้า : อะ…อาสะใภ้ตระกูลสวี่กำลังจ้องมองมาจากด้านข้าง…]

จากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอีก

อาสะใภ้กลอกดวงตากลมโตไปมา อันดับแรกก็จ้องมองไปยังลี่น่ากับเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี จากนั้นก็จ้องมองเชือดเฉือนสวี่เอ้อร์หลางกับอารองสวี่แล้วกัดฟันพูดว่า

“ล้อเล่นกันอยู่รึ?”

ในที่สุดก็จ้องสวี่หลิงเยวี่ยเขม็ง “เจ้าล้อเล่นกับข้ารึ?”

อารองสวี่กับสวี่เอ้อร์หลางส่ายหัวอย่างรวดเร็ว

สวี่หลิงเยวี่ยพูดเสียงค่อยด้วยความคับข้องใจเล็กน้อย

“ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักบวชเต๋าหลี่พูดเรื่องอะไรอยู่ เห็นนางตอบว่า ตอนข้าอยู่บ้าน ลูกสาวท่านก็ดีกับข้า”

อาสะใภ้เชื่อในตัวลูกสาวนางอย่างง่ายดาย อย่างไรเสีย นางก็เลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เชื่อมั่นว่าไม่มีลูกสาวคนไหนที่ไม่เหมือนแม่ นางจะกล้าล้อเล่นกับตนหรือ?

นางตะคอกใส่ “คราวหน้าข้าจะไม่ให้เขาเข้าบ้านแล้ว แต่เจ้าสารเลวสวี่หนิงเยี่ยนก็ยังพูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง”

นางหันกลับมาและแหวใส่ลูกและสามีตัวเอง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง