บทที่ 649 เทพยุทธ์ครึ่งก้าว (1)
“ผู้อาวุโสเย่จีสลบไปอีกแล้ว”
ยามรุ่งอรุณ หงอิงยืนบนยอดผาทิศใต้ของหุบเขา ดวงตาแนวตั้งสีอำพันก้มมองภูเขาอันไกลโพ้น
เขามีความสามารถในการมองเห็นในที่มืดระดับสูง แม้เป็นค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ ก็ค้นหาเป้าหมายที่ไกลโพ้นในป่าทึบจากบนท้องฟ้าได้
ผู้อาวุโสเย่จีปะทะกับอาซูหลัวที่วัดหนานฝ่า ไม่กล้ารับรองว่าอีกฝ่ายจะไม่สืบเสาะตามมา การรักษาไว้ซึ่งความระแวดระวังเป็นหลักการสำคัญ
วานรขาวปากยื่นยืนใต้ต้นไม้ ดวงตาสีครามกระจ่างมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า
“ใจเจ้าบอกข้า…”
“หยุดๆๆ!”
หงอิงรีบขัดจังหวะ เผยรอยยิ้มอ่อนโยน “สืบเสาะความคิดในใจผู้อื่น เป็นเรื่องไร้มารยาทนัก”
เขาฝืนสำรวมความคิด ไม่ให้ตนเองด่าสาดเสียเทเสียในใจ
วานรขาวพูดช้าๆ
“นับวันเจ้ายิ่งเหมือนขุนนางเผ่ามนุษย์ ชอบประจบประแจง ไม่ยอมล่วงเกินผู้ใด แต่เจ้าลืมว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์วิหคแดงอันหยิ่งผยอง เป็นราชันแห่งท้องนภา?”
หงอิงคล้อยตาม “เจ้าพูดถูก นี่เป็นจุดอ่อนของข้า ข้าจะต้องแก้ไข”
วานรขาวมองเขาแวบหนึ่ง “แต่ใจเจ้าบอกข้าว่า ‘ลูกไม้นั้นของขุนนางมนุษย์สั่งสมเส้นสายปีศาจได้อย่างรวดเร็ว อาศัยพวกพ้อง จึงได้รับผลดี แม้ไม่อาจได้รับผลดี ก็ย่อมไม่มีผลร้าย ลิงโง่เรียกตนว่าราชาได้แต่ในภูเขา กักขฬะ!’”
หงอิงมุมปากกระตุกอย่างแรง
เขาไม่ชอบผู้พิทักษ์หยวน เพราะลิงน่ารำคาญตัวนี้สามารถอ่านใจได้
โชคดีที่หงอิงไม่ใช่คนหน้าบาง ประสบการณ์ชีวิตปีศาจโชกโชน ตีหน้าตายเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา
“ผู้พิทักษ์ชิงมู่บอกว่า ผู้อาวุโสเย่จีอยู่ได้เพียงสองวัน”
วานรขาวไตร่ตรองชั่วครู่ ตอบว่า
“ยี่สิบปีก่อน ยุทธการด่านซานไห่ ผู้ที่เป็นพันธมิตรกับอาณาจักรหมื่นปีศาจของพวกเราคือสำนักพ่อมด เผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือ เผ่าอนารยชน และเผ่าพันธุ์กู่ แม้เผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือกับพวกเราไม่ได้สืบเชื้อสายเดียวกัน แต่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจเช่นเดียวกัน ความเป็นไปได้สูงนัก
“ยอดฝีมือสำนักพ่อมดกับเผ่าพันธุ์กู่ก็เป็นไปได้ อืม ท่านจอมมารบอกว่าคนผู้นั้นสามารถช่วยผู้อาวุโสเย่จี งั้นยอดฝีมือสำนักพ่อมดก็เป็นไปได้มากที่สุด วิชาวิญญาณโลหิตของพ่อมดอาจกำจัดพลังระดับเต๋าแยกขันธ์ได้”
ความสัมพันธ์ของผู้อาวุโสเย่จีกับสวี่ชีอัน รวมทั้งแผนการของจิ้งจอกเก้าหาง ผู้พิทักษ์เช่นพวกเขานี้ไม่มีสิทธิ์รู้
พวกเขาถึงขนาดไม่ค่อยรู้จักบุคคลเช่นฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่งนี้ ภูเขาสือว่านชายแดนใต้กับต้าฟ่งห่างไกลกัน ซ้ำยังไม่ได้ไปมาหาสู่ ไม่ค่อยได้ยินข่าวคราว
จู่ๆ หงอิงก็พูดเสียงขรึม “มีคนเข้าใกล้!”
เขาจ้องท้องฟ้ายามค่ำคืนไกลๆ เขม็ง
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็ร้อง ‘เอ๊ะ’ ขึ้นมา “ผู้อาวุโสไป๋จี?”
วานรขาวที่ลมหายใจเริ่มหอบถี่ ราวกับชะงักกะทันหัน หันหน้ามองเขาอย่างงงงวย
หงอิงอธิบายว่า “ผู้อาวุโสไป๋จีพาชายผู้หนึ่งกลับมา”
“ชาย?”
“อืม เหมือนจะไม่ใช่พ่อมด แต่เป็นจอมยุทธ์…” หงอิงจ้องที่ไกลๆ เขม็ง
“จอมยุทธ์?!” วานรขาวยิ่งงงงวย
หงอิงไม่ตอบอีก เพราะคนผู้นั้นเหินฟ้าด้วยความเร็วสูง ห่างจากยอดเขาที่ทั้งสองอยู่ไม่ถึงสามร้อยเมตร ด้วยระยะนี้ วานรขาวเองก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน
‘พลั่ก’…สวี่ชีอันเหินลงสู่ยอดเขา กวาดตามองเผ่าพันธุ์ปีศาจสองตนข้างหน้าแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร
“ผู้พิทักษ์หงอิง ผู้พิทักษ์หยวน”
ไป๋จีหมอบอยู่บนหัวสวี่ชีอัน โบกอุ้งเท้าหน้าสองข้างอย่างร่าเริง ใช้เสียงเด็กอ่อนหวานร้องเรียก
“ผู้อาวุโสไป๋จี ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ผู้พิทักษ์หงอิงพูดอย่างแปลกใจ
“ข้ารับบัญชาจากองค์หญิง กลับชายแดนใต้มาช่วยพี่หญิงเย่จี”
ไป๋จีพูดเสียงหวาน
“ท่านนี้คือ…”
หงอิงกับวานรขาวมองสวี่ชีอันพร้อมกัน ขอเพียงมีสมองหน่อยย่อมรู้ว่า ผู้ช่วยที่ท่านจอมมารพูดถึง ไม่ใช่ผู้อาวุโสไป๋จีอย่างแน่นอน
มันยังเป็นเพียงลูกจิ้งจอก
สวี่ชีอันยืนเอามือไพล่หลัง สีหน้าเรียบเฉย ทั้งไม่เย็นชาและไม่เร่าร้อน เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผย แสดงบุคลิกของยอดฝีมือ
ไป๋จีแนะนำเสียงหวาน “ท่านนี้คือฆ้องเงินสวี่ ฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่ง เคยได้ยินหรือไม่”
หงอิงกับวานรขาวมองกันแวบหนึ่ง คนแรกพูดทันที
“ท่านคือบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงจากปีแห่งการตรวจสอบข้าราชสำนักต้าฟ่ง เลื่องชื่อว่าผู้วิเศษไขคดีที่แม่นยำเที่ยงตรง?”
วานรขาวก็พูดว่า
“ฆ้องเงินสวี่ที่แม้ตัวอยู่ในคุก แต่สามารถไขคดีพิสดาร เผชิญหน้าทหารกบฏหลายหมื่นนายที่อวิ๋นโจว?”
…สวี่ชีอันคิดในใจว่า นี่มันนมนานกาเลแล้ว เจ้าสองคนในชนบทเพิ่งรู้ข่าวหรือ
ไป๋จีขยับเข้าใกล้ข้างหูเขา กระซิบว่า
“ผู้พิทักษ์สองท่านรับหน้าที่ดูแลชายแดนใต้ ไม่เคยออกนอกภูเขาสือว่าน ไม่สนใจเรื่องในต้าฟ่ง”
ยามนี้ วานรขาวปากยื่นขมวดคิ้วพูดว่า
“ฆ้องเงินสวี่ไขคดีพิสดาร เผชิญหน้าทหารกบฏที่อวิ๋นโจว เป็นเรื่องเมื่อปลายปีที่แล้ว ไม่นับว่านมนานกาเลกระมัง นอกจากนี้ ในชนบทเพิ่งรู้ข่าวคืออะไร”
สวี่ชีอันตกใจ “เจ้าอ่านใจข้าได้”
วานรขาวพยักหน้า “การอ่านใจเป็นพลังวิเศษพรสวรรค์ของเผ่าพันธุ์ข้า นอกจากนี้ วัยเด็กข้าเคยเป็นปีศาจทาสรับใช้ที่วัดเหลี่ยงฉาน ลักลอบเรียนวิชาอ่านใจแห่งสำนักพุทธ”
วิชาอ่านใจแห่งสำนักพุทธ พร้อมด้วยพลังวิเศษพรสวรรค์อ่านใจ? สวี่ชีอันพินิจวานรขาว สำรวมความคิดเงียบๆ
เรื่องเช่นฆ้องเงินสวี่เป็นพวกลามกนี้ ต้องปิดเป็นความลับอย่างเด็ดขาด
ด้วยพลังจิตขั้นสามของเขา การสำรวมความคิดไม่ให้คนนอกสืบเสาะยังสามารถทำได้
“พี่หญิงเย่จีล่ะ?”
จิ้งจอกขาวตัวน้อยถาม
หงอิงมีสีหน้ากลัดกลุ้ม
“เมื่อคืนก่อนผู้อาวุโสเย่จีไปสอดแนมที่วัดหนานฝ่า ถูกอาซูหลัวบุตรคนสุดท้องของราชันอสูรทำร้าย อาซูหลัวนั้นถึงระดับเต๋าแยกขันธ์ พลังแข็งแกร่งนัก ไร้ทางกำจัด ยามนี้ผู้อาวุโสเย่จีอยู่ได้อีกเพียงวันเดียว
“พระนางบอกว่า ไม่นานจะมียอดฝีมือมาช่วย…”
พูดจบ มองสวี่ชีอันแวบหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าเคารพเลื่อมใส “หรือจะเป็นฆ้องเงินสวี่?”
วานรขาวข้างๆ พูดเสียงเรียบ
“ใจหงอิงบอกข้า ‘คงไม่ใช่เจ้าเด็กผู้นี้กระมัง อย่างมากก็แค่ขั้นสี่ อย่าว่าแต่ช่วยผู้อาวุโสเย่จี อุดซอกฟันให้อาซูหลัวยังไม่พอเลย’”
หงอิงหน้าเจื่อนเล็กน้อย เผยรอยยิ้มอึดอัดแต่ไม่เสียมารยาท
“ผู้พิทักษ์หยวนดีไปเสียทุกอย่าง แต่เพราะอยู่วัดนานหลายปี จึงติดนิสัยเถรตรงมาด้วย”
ฝ่ายหนึ่งคือปีศาจวิหคที่คบค้าสมาคมเก่งนัก อีกฝ่ายคือวานรที่อ่านความคิดในใจผู้อื่นได้ แต่เถรตรงเกินควร…สวี่ชีอันแปะป้ายให้ผู้พิทักษ์ทั้งสองในใจ
“ข้ากับผู้อาวุโสเย่จีเป็นสหายเก่า พาข้าไปเจอนาง นอกจากนี้ ผู้ติดตามของข้ายังอยู่ข้างหลัง รบกวนผู้พิทักษ์หงอิงไปรับหน่อย เขาชื่อเหมียวโหย่วฟาง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง