ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 651

สรุปบท บทที่ 651 กระจกเทพฮุ่นเทียน ‘ข้านี่ช่างลำบากจริงๆ’: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 651 กระจกเทพฮุ่นเทียน ‘ข้านี่ช่างลำบากจริงๆ’ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 651 กระจกเทพฮุ่นเทียน ‘ข้านี่ช่างลำบากจริงๆ’ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 651 กระจกเทพฮุ่นเทียน ‘ข้านี่ช่างลำบากจริงๆ’

“เป็นสหายของพี่หญ่ายนั่นเอง…สวัสดีท่านลุง ท่านลุงแซ่อะไรหรือ”

เมื่อเสี่ยวโต้วติงได้ยินว่าเป็นสหายของพี่ใหญ่ รอยยิ้มไร้เดียงสาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทึมทื่อนั่น

“เจ้าเรียกข้าว่าลุงเฉินก็ได้”

เฉินเซียวก็เผยรอยยิ้มซื่อๆ ออกมาเช่นกัน “ได้ยินมานานแล้วว่าฆ้องเงินสวี่มีน้องสาวสองคน”

เขาคลำหากระเป๋าโดยไม่รู้ตัว และพบว่าตนสวมชุดเครื่องแบบอยู่ จึงไม่มีของอะไรที่พอจะมอบให้เด็กได้เลย

“มีเรื่องอะไรหรือ”

ลี่น่าใช้มือเดียวจับศีรษะของลูกศิษย์แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย เด็กก็คือเด็ก ไม่มีไหวพริบเอาซะเลย

บุรุษที่เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อนเช่นนี้นี่แหละที่อันตรายที่สุด และส่วนใหญ่มักไม่มีเจตนาดีอะไร

เรื่องนี้ นางเคยมีประสบการณ์สมัยเดินทางจากซินเจียงตอนใต้มายังต้าฟ่งแล้ว

แต่ตอนนี้นางยังคิดไม่ออกว่าคนที่ชื่อเฉินเซียวผู้นี้เข้าหานางด้วยเป้าหมายอะไร

“ทั้งสองท่านเดินทางมาในครั้งนี้ จะไปที่ใดกันหรือ”

เฉินเซียวเอ่ยถาม

ลี่น่าเอ่ยเสียงดัง “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

ระดับเสียงที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เฉินเซียวตกใจ คนที่ไม่รู้จะคิดว่าเขาจะทำอะไรอีกฝ่ายเอาได้น่ะสิ หลังจากมองไปรอบๆ แล้ว เขาก็เอ่ยอย่างจนใจว่า

“หากมีเรื่องอะไรก็มาหาข้าได้ แต่แน่นอนว่าใต้เท้าสวี่สามารถจัดการปัญหาส่วนใหญ่ได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว”

เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงท่าทางระแวดระวังและไม่รับแขกของสาวน้อยจากซินเจียงตอนใต้ผู้นี้ จึงหันไปยิ้มให้กับเสี่ยวโต้วติงแล้วหันกายเดินกลับไปในห้องโดยสาร

“อะไรนะ?”

น้ำเสียงของหงอิงเปลี่ยนไป แทบจะกลายเป็นการตะโกนร้อง “ฆ้องเงินสวี่สังหารระดับเพชรสองคนจริงๆ อย่างนั้นหรือ”

พูดตามตรง เมื่อครู่ที่ได้ฟังจากเหมียวโหย่วฟางว่าสังหารระดับเพชรสองคน เขายังคิดว่าอีกฝ่ายพูดโม้ขึ้นมาอย่างนั้นเสียอีก

แต่การเปิดโปงอีกฝ่ายตรงๆ นั้นเป็นวิธีการของพวกคนโง่เง่าหรือพวกปีศาจที่จะกระทำกัน ไม่สอดคล้องกับวิธีการจัดการผู้คนของเขา ดังนั้นจึงแสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นและชื่นชมเลื่อมใสออกมาเป็นฉากหน้า

แต่เขาไม่คิดเลยสักนิดว่า เรื่องนี้ฟังแล้วกับคล้ายจะเป็นความจริง

ถ้าพูดโกหก ก็ไม่มีทางจะเล่าได้ละเอียดลออเช่นนี้ การต่อสู้ที่เหนือสามัญอย่างนั้นเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจคิดจินตนาการได้เลย หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็ไม่มีทางบรรยายออกมาได้แน่นอน

ปีศาจสาวทั้งสองต่างพากันยกมือปิดปาก

“ใช่แล้ว แต่ถึงจะเป็นฆ้องเงินสวี่ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีจากระดับเพชรและเจ้าแห่งวัสสานของสำนักพ่อมด เขาก็สะบักสะบอมมากเหมือนกัน แต่โชคดีที่ข้างกายเขายังมีข้า”

เหมียวโหย่วฟางย่างนกในมืออย่างเป็นสุข เขาไม่สนใจคำพูดก่อนหน้านี้ การโม้ยังคงสำคัญกว่า

“พูดไปแล้วก็เร็วอย่างเหลือเชื่อ ข้าขี่กระบี่บินขึ้นมาแล้วหยิบกระจกเทพฮุ่นเทียนส่องไป ทำให้ศัตรูสั่นสะเทือนจนชะงัก ฆ้องเงินสวี่จึงได้โอกาสแสดงพลังโจมตีอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามออกมา แล้วจัดการพวกศัตรูจนพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า…”

ปีศาจสาวที่อยู่ด้านซ้ายพลันเอ่ยขึ้นมา

“แต่เจ้าเป็นจอมยุทธ์นะ เหตุใดถึงขี่กระบี่บินได้เล่า”

‘เอ่อ เรื่องนี้’…เหมียวโหย่วฟางพลันกระอักกระอ่วนทันใด และคิดหาคำอธิบายในเวลากระชั้นเช่นนี้ไม่ได้ แต่หงอิงออกตัวตำหนิปีศาจสาวอย่างไม่พอใจได้ทันเวลา

“เจ้าจะไปรู้อะไร ด้วยความสามารถของพี่เหมียว เขาย่อมต้องมีอาวุธเวทมนตร์กระบี่บินดีๆ อยู่แล้ว ปีศาจตัวเล็กๆ แบบเจ้าอย่าได้มาขัดจังหวะ”

ปีศาจสาวรีบก้มหน้าลง รู้สึกละอายที่ไปเอ่ยถามใต้เท้าเหมียวเพราะความรู้อันตื้นเขินของตน

‘รู้จักพูดจริงๆ’…เหมียวโหย่วฟางรีบเอ่ยเสริม “ใช่ๆๆ แบบนี้นี่แหละ พี่หงอิง ท่านมาอยู่ที่ซินเจียงตอนใต้อันทุรกันดารเช่นนี้ออกจะเสียพรสวรรค์ไปเปล่าๆ นะ ไม่สู้ตามพวกเราไปท่องยุทธภพภาคกลางมิดีกว่าหรือ”

ผู้พิทักษ์หงอิงได้โอกาสตอบรับ “เช่นนั้นก็ขอร่วมมือกับจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคกลางอย่างพี่เหมียวแล้ว”

‘จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่…จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคกลาง’…เหมียวโหย่วฟางรู้สึกเหมือนกระแทกโดนใจ กำลังใจจึงพลันท่วมท้นไปทั้งตัว “พี่หงอิง เราพบกันช้าเกินไปแล้ว “

ทั้งสองคนหัวเราะร่า บรรยากาศสมัครสมานกลมเกลียวยิ่ง

ในถ้ำ

เย่จีหยิบกระถางเครื่องหอมสำริดที่หล่อเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกออกมา ก่อนปักธูปหอมสีดำลงไปแล้วจุดไฟ จากนั้นกลิ่นไม้จันทน์ก็ลอยขึ้น

ต่อมาเย่จีก็สูดหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นไม้จันทน์ลอยเข้าไปในรูจมูก ต่อมา ดวงตาข้างซ้ายของนางก็บังเกิดแสงเจิดจรัสดั่งหมอกควันที่เอ่อล้นลงมาจากดวงตา

เจตจำนงอันแข็งแกร่งมาเยือนแล้ว

“จิ๊ๆ คนรักเก่าพบหน้า แต่กลับไม่คว้าโอกาสนี้พลอดรักกัน ดันมาเรียกหาข้าเนี่ยนะ?”

จิ้งจอกเก้าหางหัวเราะเยาะอย่างไม่จริงจังนัก ‘เย่จี’ ก็พลันกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มไปด้วย

“คงมิใช่อยากให้ข้ามารับชมอยู่ข้างๆ หรอกนะ แบบนี้ไม่ได้ๆ ข้าเป็นหญิงสาวในห้องหอที่ยังไม่ออกเรือนนะจะบอกให้”

คำพูดคำจาของเจ้าไม่ได้เหมือนกับหญิงสาวในห้องหอเลยสักนิด อย่าแก่แดดแก่ลมมากเกินไปสิ…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจอย่างไร้เสียง

เย่จีเอ่ยอย่างเคารพ

“องค์หญิง ข้าน้อยรู้ความลับใหญ่หลวงมาจากฆ้องเงินสวี่ เรื่องนี้ใหญ่นัก ไม่รู้ว่าท่านทราบหรือยัง จึงได้ติดต่อท่านมากะทันหันเช่นนี้ ขออภัยด้วย”

ขณะที่พูด ‘เย่จี’ ก็หันไปมองหน้าสวี่ชีอันแล้วแย้มยิ้มทรงเสน่ห์

“ข้อมูลลับหรือ? เจ้าฝึกตนได้แค่ปีกว่าๆ เอง แล้วจะมีข้อมูลลับอะไรเยอะแยะ”

สวี่ชีอันไม่พูดอะไร เขาเหลือบมองตาขวาของเย่จี

เย่จีรีบเอ่ยบอก “พระพุทธเจ้าถูกปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกไว้เมื่อหนึ่งพันกว่าปีก่อนแล้วเจ้าค่ะ”

แสงสว่างในตาซ้ายของเย่จีพลันสั่นไหวรุนแรง ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ดังออกมาจากปากนาง เป็นน้ำเสียงเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“ไม่ เป็นไปไม่ได้ เมื่อห้าร้อยปีก่อนพระพุทธเจ้าเป็นผู้ลงมือ ข้าเห็นสงครามนั้นมากับตา ไม่ผิดแน่”

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เจ้าสำนักจ้าวโส่วแห่งสำนักอวิ๋นลู่เป็นคนบอกกับข้าเอง ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกผู้อยู่เหนือระดับทุกตนที่อยู่ในสมัยนั้น เว้นก็แต่ปรมาจารย์เต๋าที่หายตัวไปนานแล้ว”

‘ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกผู้อยู่เหนือระดับทุกตนนอกจากองค์เทพ’…หัวใจของเย่จีเต้นรัวดุจกลองรบ รู้สึกว่านี่เป็นความลับที่ยากจะขบให้แตกนัก

ข้อมูลสองอย่างขัดแย้งกัน

สวี่ชีอันเล่าการคาดการณ์สามอย่างของตนก่อนหน้านี้ออกมา

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร”

น้ำเสียงของนางเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คำพูดจาที่เรื่อยเปื่อยเขินอายแบบก่อนหน้านี้ไม่มีอีกแล้ว

สวี่ชีอันส่ายหน้า

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“รวมร่างธรรมทั้งเก้าให้เป็นหนึ่ง ก็คือตำแหน่งแห่งพระพุทธเจ้า ปีนั้นข้าได้เห็นกับตาว่าร่างธรรมทั้งเก้าปรากฏขึ้นบนโลก นั่นจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย บนโลกนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าตนที่สองแล้ว เสินซูเดินอยู่บนสายฉานซือ ระดับเพชร และจอมยุทธ์ แต่สุดท้ายเขาก็เชี่ยวชาญเพียงร่างธรรมระดับเพชร”

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ลงมือในปีนั้นก็ไม่มีทางเป็นผู้อยู่เหนือระดับคนอื่นแล้ว ทั้งยังมิใช่เสินซู ดังนั้นก็สามารถล้มล้างการคาดเดาทั้งสองอย่างหลังของข้าไปได้เลย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ลงมือก็คือพระพุทธเจ้า…สวี่ชีอันสูดปากอย่างหนักใจ

“ห้าร้อยปีก่อน พระพุทธเจ้าหลุดออกจากผนึกได้อย่างสมบูรณ์แล้วหรือ”

“อย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยดีกว่า หากต้องการรู้เรื่องทั้งหมดอย่างชัดเจน ก็ต้องปลดผนึกทั้งหมดของเสินซูออกก่อน อืม ร่างกายแต่ละส่วนของเสินซูล้วนแฝงไปด้วยวิญญาณร้ายของเขา เสินซูที่อยู่ในเจดีย์พุทธะมีความทรงจำมากน้อยเพียงใดหรือ?” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าว

“เจ้าเตือนสติข้าได้พอดี…”

สวี่ชีอันลูบคาง “มันเคยหลุดพูดออกมาประโยคนึงอย่างลืมตัวว่า ‘พระพุทธเจ้า เจ้ามันคนไร้สัจจะ’”

‘นี่มัน…’ เย่จีใจตกไปที่ตาตุ่ม และคล้ายคว้าอะไรบางอย่างได้รางๆ

ผ่านไปพักหนึ่ง จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ค่อยๆ เอ่ยพูด “เห็นได้ชัดว่าเสินซูเคยทำข้อตกลงกับพระพุทธเจ้ามาก่อน และเป็นข้อตกลงที่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้”

“เบาะแสน้อยเกินไป พวกเราไม่อาจคาดเดาความจริงได้เลย”

สวี่ชีอันสรุปปิดท้าย จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “ไม่มีเงื่อนขำ ปรึกษาแล้วไม่ได้อะไร ข้าบอกความลับนี้กับท่าน ก็มิใช่ว่าไม่ต้องการสิ่งตอบแทนนะ”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตอบกลับด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบทันที นางควบคุมเย่จีให้เลียริมฝีปากด้วยสีหน้าเย้ายวน

“สวี่หลาง เช่นนั้นคืนนี้เจ้าอยากได้กี่ครั้งล่ะ”

คืนนี้ไม่ต้องนอนแล้ว…สวี่ชีอันยังคงไว้ซึ่งท่าทางจริงจัง

“องค์หญิง ฆ้องเงินเช่นข้านั้นเป็นคนซื่อตรง ไม่มีทางลุ่มหลงไปกับความงามของท่านหรอก ส่วนค่าตอบแทนจะคิดรวมกันทีหลัง ข้าขอพูดเรื่องจริงจังก่อน บุตรของราชันอสูร อาซูหลัว ได้กลับคืนสู่ตำแหน่งแล้ว ตอนนี้อยู่ที่วัดหนานฝ่า ด้วยพลังต่อสู้ของข้ามิอาจเอาชนะเขาได้เลย”

สองบวกหนึ่ง เทียบเท่ากับอรหันต์หนึ่งคนร่วมมือกับระดับเพชรหนึ่งคน สวี่ชีอันยังพอคิดคำนวณอยู่ในใจได้

“ดังนั้น ข้าต้องการให้ท่านทำตามสัญญาล่วงหน้า โดยการถอดตะปูตอกวิญญาณสองดอกออก เช่นนี้ข้าจึงพอจะชนะได้”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนิ่งคิดไป “ถอดตะปูตอกวิญญาณ ก็จะชนะได้หรือ?”

สวี่ชีอันยิ้ม “ข้าย่อมหาคนช่วยอยู่แล้ว”

“ได้ ข้าจะให้เย่จีพาเจ้าไปพบชิ้นส่วนอื่นๆ ของเสินซู”

จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยถามอย่างแจ่มใส “ยังมีเรื่องใดอีก”

“เอ่อ เรื่องนี้…เรื่องนี้…”

เสียงของกระจกเทพฮุ่นเทียนพลันเปลี่ยนไป เกิดการปะทะทางความคิดอย่างรุนแรงภายในใจ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา

“ได้เจอองค์หญิงเช่นนี้เป็นโชคดีของบ่าวจริงๆ ต่อให้ตายก็ไม่เสียดาย แต่หม่อมฉันขอเลือกอยู่กับเจ้าคนแซ่สวี่พ่ะย่ะค่ะ”

รอยยิ้มที่เพิ่งประดับขึ้นมาบนใบหน้าของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพลันแข็งค้าง

นางจ้องกระจกเทพฮุ่นเทียนเขม็งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายจะยืนยัน “เจ้าว่าอะไรนะ?”

“เอ่อ เรื่องนี้…ได้เจอองค์หญิงเช่นนี้เป็นโชคดีของบ่าวจริงๆ ต่อให้ตายก็ไม่เสียดาย” กระจกเทพฮุ่นเทียนกล่าว

“แต่มันเลือกอยู่ข้างกายข้า” สวี่ชีอันยิ้มตาหยี

กระจกเทพฮุ่นเทียนเอ่ยเสียงอ่อนแรง “ใช่…”

มุมปากของ ‘เย่จี’ กระตุกขึ้นเบาๆ แล้วกล่าวอย่างเศร้าเสียใจ

“เจ้ากระจก เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงตามหาเจ้า ทั้งยังต้องดั้นด้นเดินทางขึ้นเขาลงห้วยทั่วทั้งจิ่วโจว การตามหาเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่งนัก แต่เจ้ากลับทิ้งข้าไป เพราะผู้ชายที่เพิ่งจะรู้จักอย่างนั้นหรือ?”

“ลำบากองค์หญิงแล้ว ขอบพระทัยองค์หญิงที่คิดถึงบ่าวเฒ่าผู้นี้”

กระจกเทพฮุ่นเทียนตะโกนร้องบอกทันที

“แต่มันเลือกอยู่ข้างกายข้า” สวี่ชีอันเอ่ยย้ำอีกครั้งพร้อมยิ้มตาปิก

“ชะ…ใช่แล้ว…” กระจกเทพฮุ่นเทียนเอ่ยเสียงอ่อนแรง

มันรีบแสดงความภักดีออกมาทันที “แต่องค์หญิงไม่ต้องเป็นห่วง จิตใจของบ่าวอยู่ที่พระองค์ หม่อมฉันเพียงแฝงตัวอยู่กับเจ้าคนแซ่สวี่เท่านั้น”

‘พลั่ก!’

จิ้งจอกเก้าหางกระแทกกระจกเทพฮุ่นเทียนอย่างแรง เส้นเลือดเขียวปรากฏชัดบนหน้าผากของนาง นางเหลือบตาสวี่ชีอันด้วยสายตาเย็นชา ปราณใสในตาซ้ายค่อยๆ สลายหายไป

เย่จีกลับมาควบคุมร่างกายตัวเองได้อีกครั้ง นางเอ่ยอย่างระมัดระวัง

“องค์หญิงโกรธแล้ว ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ข้ายังไม่เคยเห็นนางโกรธมาก่อนเลย”

ความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวนั้นไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์…สวี่ชีอันแค่นเสียงออกมา ไม่รู้สึกว่าเหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด

กระจกเทพฮุ่นเทียนไม่สมบูรณ์ทางจิตและสติปัญญา จึงจำเป็นต้องได้รับการหล่อเลี้ยงจากปราณมังกรเพื่อทำให้ตนกลับมาสมบูรณ์

นี่เป็นความปรารถนาขั้นพื้นฐานที่สุดของสิ่งมีชีวิต

“ยังไม่รีบพาข้ากลับไปอีก ชิ ช่างหาเรื่องให้ข้าเสียจริง”

กระจกเทพฮุ่นเทียนโมโหสวี่ชีอัน จึงบินขึ้นมาทำท่าจะตีใบหน้าเขา

สวี่ชีอันยกมือจับมันไว้ก่อนแล้วเอ่ยบอก

“เดี๋ยวข้ามีเรื่องจะให้เจ้าไปทำ เวลาที่ใช้อาจจะนานนิดหน่อย เรื่องวุ่นวายก็จะมากขึ้นไปอีกนิดด้วย”

“อย่าแม้แต่จะคิด!”

มันเอ่ยปฏิเสธ

“พอจิตวิญญาณของเจ้าสมบูรณ์แล้ว ข้าจะให้ท่านโหราจารย์เสริมร่างกายอีกครึ่งที่ขาดไปของเจ้าให้สมบูรณ์” สวี่ชีอันกล่าว

เสริมร่างกายขึ้นมา ไม่ใช่จิตอาวุธ เรื่องนี้ท่านโหราจารย์ที่มีชื่อเสียงในด้านหลอมอาวุธโดยเฉพาะจะต้องสามารถทำได้แน่นอน

“ฆ้องเงินสวี่มีเรื่องอันใดก็สั่งมาได้เลย”

กระจกเทพฮุ่นเทียนกล่าวด้วยความจริงใจ

เรื่องต่างๆ เพิ่งจะเสร็จสมบูรณ์ในขั้นต้น สวี่ชีอันเลียริมฝีปากแล้วยิ้มออกมา

“ได้เวลาทำเรื่องจริงจังแล้ว”

ฝูเซียงที่เคยผ่านการ ‘พูดคุยแลกเปลี่ยน’ มานับครั้งไม่ถ้วนเข้าใจความหมายของเขาทันที ใบหน้าจึงแดงก่ำขึ้นมา

ที่ชายแดนอวิ๋นโจว กองทัพติดอาวุธแหลมคมหกหมื่นนายมารวมตัวกัน

พวกเขาจัดรูปกระบวนเป็นแบบหกเหลี่ยมอย่างเป็นระเบียบ หนึ่งหมื่นคนต่อหนึ่งเหลี่ยม และแต่ละเหลี่ยมจะมีทหารม้าหนักหนึ่งพันนาย ทหารปืนไฟหนึ่งพันนาย ทหารม้าเบาสองพันนาย ทหารราบห้าพันนาย กองทหารปืนใหญ่ห้าร้อยนาย กองคันศรหน้าไม้ห้าร้อยนาย

และด้านหลังของกองทัพหกเหลี่ยมยังมีทหารอาสาที่ประกอบด้วยผู้ลี้ภัยอีกสามหมื่นนาย

ตอนที่กำลังเสริมจากต้าฟ่งยังมาไม่ถึง กองทัพกบฏอวิ๋นโจวก็รวมพลเสร็จสิ้นแล้ว และกำลังเตรียมจะบุกโจมตีชิงโจว

………………………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง