บทที่ 651 กระจกเทพฮุ่นเทียน ‘ข้านี่ช่างลำบากจริงๆ’
“เป็นสหายของพี่หญ่ายนั่นเอง…สวัสดีท่านลุง ท่านลุงแซ่อะไรหรือ”
เมื่อเสี่ยวโต้วติงได้ยินว่าเป็นสหายของพี่ใหญ่ รอยยิ้มไร้เดียงสาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทึมทื่อนั่น
“เจ้าเรียกข้าว่าลุงเฉินก็ได้”
เฉินเซียวก็เผยรอยยิ้มซื่อๆ ออกมาเช่นกัน “ได้ยินมานานแล้วว่าฆ้องเงินสวี่มีน้องสาวสองคน”
เขาคลำหากระเป๋าโดยไม่รู้ตัว และพบว่าตนสวมชุดเครื่องแบบอยู่ จึงไม่มีของอะไรที่พอจะมอบให้เด็กได้เลย
“มีเรื่องอะไรหรือ”
ลี่น่าใช้มือเดียวจับศีรษะของลูกศิษย์แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย เด็กก็คือเด็ก ไม่มีไหวพริบเอาซะเลย
บุรุษที่เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อนเช่นนี้นี่แหละที่อันตรายที่สุด และส่วนใหญ่มักไม่มีเจตนาดีอะไร
เรื่องนี้ นางเคยมีประสบการณ์สมัยเดินทางจากซินเจียงตอนใต้มายังต้าฟ่งแล้ว
แต่ตอนนี้นางยังคิดไม่ออกว่าคนที่ชื่อเฉินเซียวผู้นี้เข้าหานางด้วยเป้าหมายอะไร
“ทั้งสองท่านเดินทางมาในครั้งนี้ จะไปที่ใดกันหรือ”
เฉินเซียวเอ่ยถาม
ลี่น่าเอ่ยเสียงดัง “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
ระดับเสียงที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เฉินเซียวตกใจ คนที่ไม่รู้จะคิดว่าเขาจะทำอะไรอีกฝ่ายเอาได้น่ะสิ หลังจากมองไปรอบๆ แล้ว เขาก็เอ่ยอย่างจนใจว่า
“หากมีเรื่องอะไรก็มาหาข้าได้ แต่แน่นอนว่าใต้เท้าสวี่สามารถจัดการปัญหาส่วนใหญ่ได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว”
เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงท่าทางระแวดระวังและไม่รับแขกของสาวน้อยจากซินเจียงตอนใต้ผู้นี้ จึงหันไปยิ้มให้กับเสี่ยวโต้วติงแล้วหันกายเดินกลับไปในห้องโดยสาร
…
“อะไรนะ?”
น้ำเสียงของหงอิงเปลี่ยนไป แทบจะกลายเป็นการตะโกนร้อง “ฆ้องเงินสวี่สังหารระดับเพชรสองคนจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
พูดตามตรง เมื่อครู่ที่ได้ฟังจากเหมียวโหย่วฟางว่าสังหารระดับเพชรสองคน เขายังคิดว่าอีกฝ่ายพูดโม้ขึ้นมาอย่างนั้นเสียอีก
แต่การเปิดโปงอีกฝ่ายตรงๆ นั้นเป็นวิธีการของพวกคนโง่เง่าหรือพวกปีศาจที่จะกระทำกัน ไม่สอดคล้องกับวิธีการจัดการผู้คนของเขา ดังนั้นจึงแสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นและชื่นชมเลื่อมใสออกมาเป็นฉากหน้า
แต่เขาไม่คิดเลยสักนิดว่า เรื่องนี้ฟังแล้วกับคล้ายจะเป็นความจริง
ถ้าพูดโกหก ก็ไม่มีทางจะเล่าได้ละเอียดลออเช่นนี้ การต่อสู้ที่เหนือสามัญอย่างนั้นเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจคิดจินตนาการได้เลย หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็ไม่มีทางบรรยายออกมาได้แน่นอน
ปีศาจสาวทั้งสองต่างพากันยกมือปิดปาก
“ใช่แล้ว แต่ถึงจะเป็นฆ้องเงินสวี่ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีจากระดับเพชรและเจ้าแห่งวัสสานของสำนักพ่อมด เขาก็สะบักสะบอมมากเหมือนกัน แต่โชคดีที่ข้างกายเขายังมีข้า”
เหมียวโหย่วฟางย่างนกในมืออย่างเป็นสุข เขาไม่สนใจคำพูดก่อนหน้านี้ การโม้ยังคงสำคัญกว่า
“พูดไปแล้วก็เร็วอย่างเหลือเชื่อ ข้าขี่กระบี่บินขึ้นมาแล้วหยิบกระจกเทพฮุ่นเทียนส่องไป ทำให้ศัตรูสั่นสะเทือนจนชะงัก ฆ้องเงินสวี่จึงได้โอกาสแสดงพลังโจมตีอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามออกมา แล้วจัดการพวกศัตรูจนพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า…”
ปีศาจสาวที่อยู่ด้านซ้ายพลันเอ่ยขึ้นมา
“แต่เจ้าเป็นจอมยุทธ์นะ เหตุใดถึงขี่กระบี่บินได้เล่า”
‘เอ่อ เรื่องนี้’…เหมียวโหย่วฟางพลันกระอักกระอ่วนทันใด และคิดหาคำอธิบายในเวลากระชั้นเช่นนี้ไม่ได้ แต่หงอิงออกตัวตำหนิปีศาจสาวอย่างไม่พอใจได้ทันเวลา
“เจ้าจะไปรู้อะไร ด้วยความสามารถของพี่เหมียว เขาย่อมต้องมีอาวุธเวทมนตร์กระบี่บินดีๆ อยู่แล้ว ปีศาจตัวเล็กๆ แบบเจ้าอย่าได้มาขัดจังหวะ”
ปีศาจสาวรีบก้มหน้าลง รู้สึกละอายที่ไปเอ่ยถามใต้เท้าเหมียวเพราะความรู้อันตื้นเขินของตน
‘รู้จักพูดจริงๆ’…เหมียวโหย่วฟางรีบเอ่ยเสริม “ใช่ๆๆ แบบนี้นี่แหละ พี่หงอิง ท่านมาอยู่ที่ซินเจียงตอนใต้อันทุรกันดารเช่นนี้ออกจะเสียพรสวรรค์ไปเปล่าๆ นะ ไม่สู้ตามพวกเราไปท่องยุทธภพภาคกลางมิดีกว่าหรือ”
ผู้พิทักษ์หงอิงได้โอกาสตอบรับ “เช่นนั้นก็ขอร่วมมือกับจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคกลางอย่างพี่เหมียวแล้ว”
‘จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่…จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคกลาง’…เหมียวโหย่วฟางรู้สึกเหมือนกระแทกโดนใจ กำลังใจจึงพลันท่วมท้นไปทั้งตัว “พี่หงอิง เราพบกันช้าเกินไปแล้ว “
ทั้งสองคนหัวเราะร่า บรรยากาศสมัครสมานกลมเกลียวยิ่ง
…
ในถ้ำ
เย่จีหยิบกระถางเครื่องหอมสำริดที่หล่อเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกออกมา ก่อนปักธูปหอมสีดำลงไปแล้วจุดไฟ จากนั้นกลิ่นไม้จันทน์ก็ลอยขึ้น
ต่อมาเย่จีก็สูดหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นไม้จันทน์ลอยเข้าไปในรูจมูก ต่อมา ดวงตาข้างซ้ายของนางก็บังเกิดแสงเจิดจรัสดั่งหมอกควันที่เอ่อล้นลงมาจากดวงตา
เจตจำนงอันแข็งแกร่งมาเยือนแล้ว
“จิ๊ๆ คนรักเก่าพบหน้า แต่กลับไม่คว้าโอกาสนี้พลอดรักกัน ดันมาเรียกหาข้าเนี่ยนะ?”
จิ้งจอกเก้าหางหัวเราะเยาะอย่างไม่จริงจังนัก ‘เย่จี’ ก็พลันกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มไปด้วย
“คงมิใช่อยากให้ข้ามารับชมอยู่ข้างๆ หรอกนะ แบบนี้ไม่ได้ๆ ข้าเป็นหญิงสาวในห้องหอที่ยังไม่ออกเรือนนะจะบอกให้”
คำพูดคำจาของเจ้าไม่ได้เหมือนกับหญิงสาวในห้องหอเลยสักนิด อย่าแก่แดดแก่ลมมากเกินไปสิ…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจอย่างไร้เสียง
เย่จีเอ่ยอย่างเคารพ
“องค์หญิง ข้าน้อยรู้ความลับใหญ่หลวงมาจากฆ้องเงินสวี่ เรื่องนี้ใหญ่นัก ไม่รู้ว่าท่านทราบหรือยัง จึงได้ติดต่อท่านมากะทันหันเช่นนี้ ขออภัยด้วย”
ขณะที่พูด ‘เย่จี’ ก็หันไปมองหน้าสวี่ชีอันแล้วแย้มยิ้มทรงเสน่ห์
“ข้อมูลลับหรือ? เจ้าฝึกตนได้แค่ปีกว่าๆ เอง แล้วจะมีข้อมูลลับอะไรเยอะแยะ”
สวี่ชีอันไม่พูดอะไร เขาเหลือบมองตาขวาของเย่จี
เย่จีรีบเอ่ยบอก “พระพุทธเจ้าถูกปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกไว้เมื่อหนึ่งพันกว่าปีก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
แสงสว่างในตาซ้ายของเย่จีพลันสั่นไหวรุนแรง ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ดังออกมาจากปากนาง เป็นน้ำเสียงเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ เมื่อห้าร้อยปีก่อนพระพุทธเจ้าเป็นผู้ลงมือ ข้าเห็นสงครามนั้นมากับตา ไม่ผิดแน่”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เจ้าสำนักจ้าวโส่วแห่งสำนักอวิ๋นลู่เป็นคนบอกกับข้าเอง ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกผู้อยู่เหนือระดับทุกตนที่อยู่ในสมัยนั้น เว้นก็แต่ปรมาจารย์เต๋าที่หายตัวไปนานแล้ว”
‘ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกผู้อยู่เหนือระดับทุกตนนอกจากองค์เทพ’…หัวใจของเย่จีเต้นรัวดุจกลองรบ รู้สึกว่านี่เป็นความลับที่ยากจะขบให้แตกนัก
ข้อมูลสองอย่างขัดแย้งกัน
สวี่ชีอันเล่าการคาดการณ์สามอย่างของตนก่อนหน้านี้ออกมา
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร”
น้ำเสียงของนางเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คำพูดจาที่เรื่อยเปื่อยเขินอายแบบก่อนหน้านี้ไม่มีอีกแล้ว
สวี่ชีอันส่ายหน้า
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“รวมร่างธรรมทั้งเก้าให้เป็นหนึ่ง ก็คือตำแหน่งแห่งพระพุทธเจ้า ปีนั้นข้าได้เห็นกับตาว่าร่างธรรมทั้งเก้าปรากฏขึ้นบนโลก นั่นจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย บนโลกนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าตนที่สองแล้ว เสินซูเดินอยู่บนสายฉานซือ ระดับเพชร และจอมยุทธ์ แต่สุดท้ายเขาก็เชี่ยวชาญเพียงร่างธรรมระดับเพชร”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ลงมือในปีนั้นก็ไม่มีทางเป็นผู้อยู่เหนือระดับคนอื่นแล้ว ทั้งยังมิใช่เสินซู ดังนั้นก็สามารถล้มล้างการคาดเดาทั้งสองอย่างหลังของข้าไปได้เลย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ลงมือก็คือพระพุทธเจ้า…สวี่ชีอันสูดปากอย่างหนักใจ
“ห้าร้อยปีก่อน พระพุทธเจ้าหลุดออกจากผนึกได้อย่างสมบูรณ์แล้วหรือ”
“อย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยดีกว่า หากต้องการรู้เรื่องทั้งหมดอย่างชัดเจน ก็ต้องปลดผนึกทั้งหมดของเสินซูออกก่อน อืม ร่างกายแต่ละส่วนของเสินซูล้วนแฝงไปด้วยวิญญาณร้ายของเขา เสินซูที่อยู่ในเจดีย์พุทธะมีความทรงจำมากน้อยเพียงใดหรือ?” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าว
“เจ้าเตือนสติข้าได้พอดี…”
สวี่ชีอันลูบคาง “มันเคยหลุดพูดออกมาประโยคนึงอย่างลืมตัวว่า ‘พระพุทธเจ้า เจ้ามันคนไร้สัจจะ’”
‘นี่มัน…’ เย่จีใจตกไปที่ตาตุ่ม และคล้ายคว้าอะไรบางอย่างได้รางๆ
ผ่านไปพักหนึ่ง จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ค่อยๆ เอ่ยพูด “เห็นได้ชัดว่าเสินซูเคยทำข้อตกลงกับพระพุทธเจ้ามาก่อน และเป็นข้อตกลงที่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้”
“เบาะแสน้อยเกินไป พวกเราไม่อาจคาดเดาความจริงได้เลย”
สวี่ชีอันสรุปปิดท้าย จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “ไม่มีเงื่อนขำ ปรึกษาแล้วไม่ได้อะไร ข้าบอกความลับนี้กับท่าน ก็มิใช่ว่าไม่ต้องการสิ่งตอบแทนนะ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตอบกลับด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบทันที นางควบคุมเย่จีให้เลียริมฝีปากด้วยสีหน้าเย้ายวน
“สวี่หลาง เช่นนั้นคืนนี้เจ้าอยากได้กี่ครั้งล่ะ”
คืนนี้ไม่ต้องนอนแล้ว…สวี่ชีอันยังคงไว้ซึ่งท่าทางจริงจัง
“องค์หญิง ฆ้องเงินเช่นข้านั้นเป็นคนซื่อตรง ไม่มีทางลุ่มหลงไปกับความงามของท่านหรอก ส่วนค่าตอบแทนจะคิดรวมกันทีหลัง ข้าขอพูดเรื่องจริงจังก่อน บุตรของราชันอสูร อาซูหลัว ได้กลับคืนสู่ตำแหน่งแล้ว ตอนนี้อยู่ที่วัดหนานฝ่า ด้วยพลังต่อสู้ของข้ามิอาจเอาชนะเขาได้เลย”
สองบวกหนึ่ง เทียบเท่ากับอรหันต์หนึ่งคนร่วมมือกับระดับเพชรหนึ่งคน สวี่ชีอันยังพอคิดคำนวณอยู่ในใจได้
“ดังนั้น ข้าต้องการให้ท่านทำตามสัญญาล่วงหน้า โดยการถอดตะปูตอกวิญญาณสองดอกออก เช่นนี้ข้าจึงพอจะชนะได้”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนิ่งคิดไป “ถอดตะปูตอกวิญญาณ ก็จะชนะได้หรือ?”
สวี่ชีอันยิ้ม “ข้าย่อมหาคนช่วยอยู่แล้ว”
“ได้ ข้าจะให้เย่จีพาเจ้าไปพบชิ้นส่วนอื่นๆ ของเสินซู”
จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยถามอย่างแจ่มใส “ยังมีเรื่องใดอีก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง