ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 652

บทที่ 652 แสนชุ่มฉ่ำ

กองกำลังทหารขนาดใหญ่ได้หยุดอยู่ที่เขตแดนระหว่างอวิ๋นโจวและชิงโจว โดยมีศิลาจารึกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่เส้นทางเบื้องหน้า ซึ่งบนนั้นถูกสลักว่า ‘ชิงโจว’ สองคำเอาไว้

จีเสวียนควบม้าตัวหนึ่งออกจากสนามรบ พลางเกิดเสียงเกือกม้ากุบกับดังกึกก้อง ครั้นเขามาถึงจุดศูนย์กลางทัพแถวหน้า ก็เอียงศีรษะเหลือบมองคนที่อยู่ใต้ธงของผู้นำทัพ ซึ่งเป็นผู้นำทัพที่นั่งอยู่บนหลังม้าอันดูโดดเด่น ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้นำทัพชี ท่านคิดว่ากองทัพหกหมื่นนายของพวกเรา และทหารอาสาอีกสามหมื่นนาย พอที่จะสังหารท่านโหราจารย์ได้หรือไม่?”

ชีก่วงป๋อผู้นำทัพกบฏแห่งอวิ๋นโจว กลับเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วตอบอย่างราบเรียบว่า

“เดิมทีศัตรูของพวกเราหาใช่ท่านโหราจารย์ไม่”

ตรงบริเวณหว่างคิ้วบนดวงหน้ารูปงามของเขามีอักษร 川[1] สลักฝังลึกอยู่

จีเสวียนแหงนหน้ามองท้องนภาปราดหนึ่ง ก่อนจะถอนสายตากลับ เอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “ท่านอาจารย์ซ่อนตัวในเมืองเฉียนหลงมาสิบห้าปี ทั้งยังไม่เคยเปิดเผยความสามารถอย่างชัดเจน ก็เปรียบดั่งเสือซ่อนเล็บ และชุดอาภรณ์เรียบง่ายแต่ซ่อนทอง[2] ทว่าอีกไม่นาน จงหยวนรวมถึงจิ่วโจวทั้งหมด ก็จะรู้ถึงนามอันยิ่งใหญ่ของท่านแล้ว”

ชีก่วงป๋อเป็นอาจารย์ระดับก่อปัญญาของจีเสวียน แม้ชื่อเสียงของคนผู้นี้จะไม่โดดเด่น แต่กลับมีความสามารถด้านการปกครองใต้หล้าสูงส่ง

พื้นเพของชีก่วงป๋อนั้นเขาเกิดในตระกูลใหญ่ที่โด่งดังแห่งอวิ๋นโจว ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เล็ก และมีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม เมื่ออายุสิบเจ็ดปีก็อยู่ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงแล้ว ทว่าไม่รู้ว่าเหตุใด กลับวิจารณ์วิทยายุทธอย่างน่าผิดหวังว่า ‘หยาบช้า!’

เขาจึงเลิกฝึกศิลปะการต่อสู้แล้วหันมาร่ำเรียนแทน แต่พอครั้นอายุยี่สิบสามก็สอบขุนนางระดับจวี่เหรินผ่าน กลับส่ายหัววิจารณ์เรื่องร่ำเรียนว่า ‘ข้าไม่ได้ชอบสิ่งนี้!’

จากนั้นเขาก็ใช้ชีวิตให้ใจสำราญนานถึงเจ็ดปี ทั้งกินดื่มเที่ยวเล่นสนุกสนาน เมามายในหอนางโลม เรื่องใดที่ผู้คนทำกันเขาก็เคยทำมาแล้วทั้งนั้น หรือเรื่องใดที่คนเขาไม่ทำกัน เขาก็เคยทำมาแล้ว

คนในครอบครัวทนดูต่อไปไม่ไหว คิดจะขัดเกลานิสัย เพื่ออยากให้เขาทำตัวดีกว่านี้ จึงส่งเขาเข้าร่วมกองทัพ

แต่ใครจะไปรู้ว่าชีก่วงป๋อที่เข้าร่วมกองทัพเพียงวันแรก ก็หลงรักชีวิตการเป็นทหารทันใด และวิจารณ์ออกมาว่า ‘น่าสนใจ!’

หลังจากได้เข้าร่วมการปราบปรามกองโจรอยู่หลายครั้ง จนสร้างความดีความชอบจากการสู้รบ จึงถูกผู้บัญชาการแห่งอวิ๋นโจวเลื่อนขั้น ซึ่งเพียงภายในหนึ่งปีก็โดนเลื่อนขั้นไปสองระดับแล้ว

ในเวลานั้นสวี่ผิงเฟิงเพิ่งจะบรรลุเป้าหมายชีวิตเล็กๆ อย่างหนึ่งเท่านั้น นั่นก็คือช่วงชิงชะตาบ้านเมืองของต้าฟ่ง!

ทั้งยังสานต่อเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ ลำดับต่อมา ด้วยการเสาะหาผู้มีพรสวรรค์ และปลูกฝังให้เชื่อฟัง

ไม่นานนักสวี่ผิงเฟิงก็สนใจในตัวเขา และไปหาเขาถึงหน้าประตู ทว่าไม่ได้แสดงท่าทีชักชวนอีกฝ่ายในทันใด กลับประลองแผนการรบบนโต๊ะทรายกับเขา

ส่วนแผนการรบที่ประลองก็คือเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจของจิ่วโจวเมื่อห้าปีก่อน ก็ย่อมเป็นเหตุการณ์ที่เหลือร่องรอยในประวัติศาสตร์อย่างสงครามซานไห่

โดยสวี่ผิงเฟิงเลือกคุมกองกำลังใหญ่ของต้าฟ่งและดินแดนพุทธสองฝั่ง ด้านชีก่วงป๋อคุมสำนักพ่อมด เผ่าพันธุ์ปีศาจจากทิศเหนือใต้ เผ่าอนารยชนฝั่งเหนือ รวมถึงเผ่าพันธุ์กู่

รอบแรก ชีก่วงป๋อยืนหยัดอยู่ได้เพียงแค่ครึ่งชั่วยาม ก็ถูกบีบจนกลายเป็นฝ่ายแพ้ที่หมดสิ้นทั้งเสบียงและอาวุธ

จากนั้นทั้งสองก็นัดหมายไว้ว่าหลังครึ่งเดือนจะมาประลองกันอีกครา

ส่วนในรอบที่สอง ชีก่วงป๋อยืนหยัดอยู่ได้เพียงสองชั่วยามเท่านั้น

แล้วทั้งสองก็ทำการนัดหมายอีกครั้งว่าสามเดือนจากนี้จะมาประลองกันใหม่

หลังผ่านไปหนึ่งปี ชีก่วงป๋อก็สามารถยืนหยัดจนถึงจุดตัดสินแพ้ชนะของศึกสงครามซานไห่ได้ แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงพ่ายแพ้สวี่ผิงเฟิงอยู่ดี

ตอนนั้นเองสวี่ผิงเฟิงก็ถึงค่อยกล่าวว่า

“ผู้ที่ชนะเจ้าหาใช่ตัวข้า แต่เป็นเว่ยเยวียน

“ตามข้าไปที่เมืองเฉียนหลงเถิด ในยี่สิบปีนี้ ข้าจะให้เจ้าได้ประลองยุทธวิธีกับเขา”

ชีก่วงป๋อก็เข้าร่วมและติดตามไปยังเมืองเฉียนหลงอย่างไม่ลังเล แล้วเริ่มทุ่มเทฝึกฝนถึงสิบห้าปี

เขาแทบจะเป็นคนจัดตั้งกองกำลังแห่งเมืองเฉียนหลงในปัจจุบันนี้ด้วยตัวคนเดียว ทั้งยังคิดค้นกลยุทธ์สิบอย่าง ส่วนในด้านปฏิรูปของเขานั้น เรียกว่าเป็นการกวาดล้างโรคร้ายกองกำลังเมืองเฉียนหลงเลยทีเดียว ปรับเปลี่ยนจนให้กลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งดุจพยัคฆ์ดั่งหมาป่า

ทันใดนั้นเองชีก่วงป๋อพลันดึงบังเหียนหันไปทางทิศเหนือ ก่อนพึมพำว่า “ราชครู ท่านโกหกข้าสินะ”

ในเมื่อเว่ยเยวียนได้ตายไปแล้ว ฉะนั้นอำนาจของผู้นำทัพที่มอบให้เขา จะยังมีประโยชน์อันใด?

จีเสวียนไม่ทราบถึงคำสัญญาระหว่างชีก่วงป๋อและสวี่ผิงเฟิงในครั้งนั้น

ชีก่วงป๋อจึงเพียงส่ายหน้าเบาๆ มองลูกศิษย์ของตนพลางพูดว่า “ลูกศิษย์เอ๋ย ตอนนี้อยู่ระดับเหนือมนุษย์แล้ว ในจิ่วโจวอันกว้างใหญ่ คนอายุเท่านี้ที่อยู่ระดับเหนือมนุษย์มีน้อยนัก การก่อจลาจลในยามนี้ เหตุใดถึงมิใช่ช่วงเวลาแห่งการสร้างชื่อเสียงของเจ้าล่ะ”

“เช่นนั้นท่านอาจารย์คิดว่าหากเปรียบเทียบระหว่างข้าและสวี่หนิงเยี่ยน เป็นอย่างไร?” จีเสวียนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ชีก่วงป๋อก็ตอบอย่างราบเรียบว่า “เสมือนคนที่ใช้ความขยันมาชดเชยความโง่เขลา”

จีเสวียนอึ้งอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “ท่านอาจารย์เป็นคนที่พูดตรงไปตรงมาเสียจริง ไม่ไว้หน้ากันบ้างเลย”

ชีก่วงป๋อก็ถามกลับต่อ “แล้วเจ้าคิดว่าระหว่างข้ากับเว่ยเยวียนเป็นอย่างไรล่ะ?”

จีเสวียนไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด

ชีก่วงป๋อไม่ได้ใส่ใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ตามคำกล่าวในตำราพิชัยสงคราม รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เจ้าลูกศิษย์เอ๋ย การเผชิญหน้ากับตัวเอง ถึงจะสามารถมองสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง

“สวี่ชีอันแข็งแกร่งกว่าเจ้า ไม่ว่าจะด้านสติปัญญา การสู้รบ หรือกลยุทธ์ล้วนชนะเจ้าในทุกด้าน หากเจอเขาตัวต่อตัว ก็ย่อมแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ทว่าเดิมทีบนโลกนี้ก็ไม่เคยมีความยุติธรรม เจ้ายังมีโอกาสนะ เพราะเจ้าได้ก้าวเข้าสู่ระดับขอบเขตเหนือมนุษย์แล้ว แม้จะไม่ดีเท่าอีกฝ่าย แต่ก็อยู่ในระดับขอบเขตเดียวกัน ซึ่งหมายความว่ายังมีโอกาสอยู่”

จีเสวียนพยักหน้าเบาๆ “ศิษย์เข้าใจแล้ว”

ทว่าชีก่วงป๋อไม่ได้ขานตอบอีกฝ่าย กลับมองไปทางรองแม่ทัพที่อยู่ด้านข้างพร้อมกล่าวว่า “สั่งให้กองกำลังทั้งหมดเดินไปด้านหน้า!”

ผู้ช่วยจึงถ่ายทอดคำสั่งผ่านธงบัญชาการแก่มือกลอง จากนั้นเสียงกลอง ‘ตึงตึง’ ก็ดังสนั่นไปทั่วทันใด กองกำลังทั้งเก้าหมื่นนายเคลื่อนจึงตัวไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียง และก้าวเข้าสู่เขตแดนของชิงโจว

เวลานั้นเอง ในท้องนภาพลันเกิดกระแสลมพัดโหมกระหน่ำ ชั้นเมฆรวมตัวกลายเป็นมือใหญ่ยักษ์ด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองเห็นจากตาเปล่า แล้วฟาดลงใส่กองกำลังกบฏที่อยู่เบื้องล่าง

หลังจากฝ่ามือนี้ฟาดใส่ ก็เสมือนว่าพลังของทั่วฟ้าดินถูกทำให้สั่นคลอนลง

ม้าศึกแตกตื่น เหล่าทหารหวาดหวั่น รูปแบบจัดกองกำลังก็เกิดโกลาหลไร้ซึ่งความเป็นระเบียบทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทหารอาสาที่อยู่ด้านหลัง วุ่นวายราวกับฝูงอีการวมตัว เมื่อพวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างก็พากันตระหนกจนขาอ่อนแรง

ในเวลานั้นเอง กองกำลังเก้าหมื่นนายก็เกาะตัวกันเป็นกลุ่ม เพื่อสร้างค่ายกลกลางอากาศชั้นแล้วชั้นเล่า โดยค่ายกลที่มีขนาดใหญ่จะครอบคลุมค่ายกลที่มีขนาดเล็กกว่า และค่ายกลที่มีขนาดเล็กก็รวมตัวกันกลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่

ปัง! ปัง! ปัง!

ทว่าค่ายกลซึ่งอยู่ใต้เมฆที่รวมตัวจนกลายเป็นฝ่ามือยักษ์เริ่มพังทลายลงทีละชั้นๆ และแสงที่ระเบิดเหนือศีรษะเหล่ากองทหารดูดุจดอกไม้ไฟ

ชั่วขณะที่ค่ายกลแตกทลายทีละชั้นนั้น ลำแสงสีทองหนึ่งก็พุ่งออกมาจากกองกำลัง ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเทวรูปร่างทองสิบสองกร โดยมือกุมอาวุธเวทมนตร์หลากหลายประเภท ทั้งยังมีวงแหวนไฟกำลังลุกโชนอยู่ด้านหลังศีรษะ และรอยตราเปลวเพลิงสีแดงประทับหว่างคิ้ว

เทวรูปร่างทององค์นี้เสมือนมนุษย์ยักษ์แบกโลกาในยุคดึกดำบรรพ์ เพราะแขนทั้งสิบสองกำลังแบกรับฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ ฟาดลงมาอยู่

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันและกันนั้น จู่ๆ มือยักษ์ที่เกิดจากหมู่เมฆเรี่ยวแรงก็พลันถดถอย พร้อมเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ราวกับว่าการปะทะกันครั้งนี้จะพ่ายแพ้เทวรูปร่างทองเสียแล้ว

จากนั้นบนทะเลเมฆก็ปรากฏสองเงาร่างกำลังลงมาจากฟากฟ้า โดยร่างหนึ่งสีขาวอีกร่างสีทอง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง

ซึ่งนั่นก็คือสวี่ผิงเฟิงที่กำลังนุ่งห่มกาสาวพัสตร์ และพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่เผยหน้าอกครึ่งหนึ่ง

สวี่ผิงเฟิงดูงามสง่าโดดเด่น ยิ่งยามเขาที่อยู่ในชุดขาวเหาะเหินไปอยู่เหนือทะเลเมฆก็ดูดุจดั่งเทพเซียน

ส่วนด้านพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มีรูปโฉมที่น่าเคารพนับถือมาก รอยสักที่อยู่ตามกล้ามเนื้อยิ่งขับเน้นความแข็งแกร่งของเจ้าตัว ซ้ำด้านหลังศีรษะของเขายังมีวงแหวนไฟกำลังลุกโชน ซึ่งร้อนจนแผดเผารอบข้าง

ทั้งที่เขายืนอยู่ตรงนั้น แต่กลิ่นอายกลับยิ่งใหญ่ดั่งภูผาและกว้างดั่งทะเล ซึ่งนั่นแสดงถึงความแข็งแกร่งของเขา

ยามทั้งสองเผชิญหน้ากัน ท่านโหราจารย์ที่ผมเผ้าและเคราเป็นสีขาว ในมือก็ดึงแผ่นทองแดงแปดทิศออกมา ซึ่งแผ่นทองแดงนี้สลักรูปดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ภูเขาแม่น้ำไว้บริเวณด้านหลัง ส่วนด้านหน้าก็สลักแผนภูมิสวรรค์

“หากเทียบกับรุ่นที่หนึ่งเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว พลังของเจ้ายังห่างไกลนัก”

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่จดจ้องไปยังท่านโหราจารย์ พลางกล่าววิจารณ์ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“มันก็แน่อยู่แล้ว!”

สวี่ผิงเฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยน “แม้ช่วงรุ่นที่หนึ่งจะมีความโกลาหลจากกษัตริย์กับขุนนางกังฉิน แต่รากฐานของต้าฟ่งก็ยังมั่นคงอยู่ และอยู่ในจุดสูงสุดอีกด้วย ทว่าต้าฟ่งในตอนนี้ ประการแรกสูญเสียชะตาบ้านเมืองไปถึงครึ่งหนึ่งแล้ว ประการต่อมาหลังผ่านเหตุการณ์เว่ยเยวียนออกปราบปรามแดนทิศบูรพา ก็มาเจอภัยหนาวที่ปกคลุมไปทั่วจงหยวนอีก

“พลังของท่านอาจารย์โหราจารย์ในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่ถึงครึ่งในช่วงยามที่เคยอยู่ในจุดสูงสุดด้วยซ้ำ”

ท่านโหราจารย์ปัดเคลื่อนย้ายแผ่นความลับสวรรค์ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ และค่อยๆ กล่าวว่า “ไม่ได้เอาจริงมาห้าร้อยปีแล้ว ขอสนุกกับพวกเจ้าหน่อยแล้วกัน”

เฉินเซียวเจอผู้เป็นน้องสาวของฆ้องเงินสวี่ดาดฟ้าเรืออีกครั้ง นางกำลังฝึกฝนกระบวนท่าอาชา และดวงหน้าเล็กนั้นไม่มีความเอาจริงเอาจังแต่อย่างใด

แต่เมื่อมองไปมองมาก็ดูน่ารักอยู่บ้าง

เฉินเซียวที่ไม่มีอะไรทำ จึงยืนกอดอกพิงห้องโดยสารและมองจากข้างๆ

ซึ่งนางก็มองดูอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

‘สามารถทำได้ถึงขนาดนี้เชียว…’ เฉินเซียวตกตะลึงไปชั่วขณะ เนื่องจากยามที่เขามานั้น เด็กคนนี้กำลังฝึกฝนกระบวนท่าอาชา และน่าจะเกินสิบห้านาทีไปแล้วแน่ๆ นางอายุน้อยเพียงเท่านี้กลับสามารถฝึกฝนกระบวนท่าอาชาเกินสิบห้านาทีได้ ช่างเป็นวรยุทธ์ที่มีรากฐานวิทยายุทธแข็งแกร่งยิ่ง

เฉินเซียวก็พูดในใจว่าสมแล้วที่เป็นน้องสาวของฆ้องเงินสวี่

หลังจากนั้นก็เปิดปากเอ่ยว่า “หนูน้อยคนนี้อยู่ระดับหลอมจิตแล้วหรือ?”

เขาถามหญิงสาวซินเจียงตอนใต้ที่อยู่ด้านข้างกำลังกินขนมวัววัวโถว[3]

ลี่น่าหันไปมองเขาปราดหนึ่ง “ระดับหลอมปราณต่างหาก”

จากนั้นนางก็ชี้ไปที่พลังต่อสู้ ซึ่งก่อนหน้านี้ลี่กู่ไร้ซึ่งพลังปราณ มีเพียงพละกำลังที่ดุร้ายเท่านั้น

ขี้โม้โกหกแล้ว! เฉินเซียวที่เป็นคนตรงไปตรงมา จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เด็กหกเจ็ดปีอยู่ระดับหลอมปราณ ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน ฆ้องเงินสวี่ที่อยู่ระดับหลอมจิตอย่างมั่งคง ก็ตั้งตอนเขาอายุสิบเก้าถึงจะสามารถทะลวงระดับหลอมปราณได้เชียวนะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง