เมืองหลวงมีมณฑลสองแห่งผนวกเข้าด้วยกันคือไท่กังและฉางเล่อ
ซ่งถิงเฟิงกางสำนวนคดีอ่าน สวี่ชีอันและจูกว่างเสี้ยวยืนขนาบข้างซ้ายขวา และจดจ้องไปที่สำนวนคดี
สำนวนคดีมีเนื้อหาดังนี้
ทางเหนือของมณฑลไท่กังมีภูเขาต้าหวง ยอดเขาหลักสูงหนึ่งพันกว่าเมตร เทือกเขาทอดยาวสิบกว่าลี้[1] ข้างในเต็มไปด้วยปูนขาว[2]ที่หล่อเลี้ยงตระกูลฮุยหลายพันคนในบริเวณรอบๆ ตระกูลฮุยก็คือช่างฝีมือที่เก็บและผลิตปูนขาว ตั้งแต่กลางปี แม่น้ำในเขตภูเขาต้าหวงมีปีศาจตัวหนึ่งโผล่ออกมา มันมักจะขึ้นฝั่งมากินคนเป็นๆ มีคนตระกูลฮุยไม่น้อยที่ถูกปีศาจกิน
“ขาดรายละเอียด…” เมื่อสวี่ชีอันมือฉมังด้านการสืบสวนอ่านสำนวนคดีจบ เขาก็ตัดสินออกมา
นี่น่าจะเป็นคดีที่เพิ่งได้รับรายงานมา ดังนั้นจึงต้องการให้พวกเราไปตรวจสอบ และเกลาสำนวนคดี
หลี่อวี้ชุนมองทั้งสามคน และพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สวี่หนิงเยี่ยน กระชับดาบพกขึ้นสองนิ้ว ตำแหน่งที่ติดฆ้องทองแดงไม่ตรง เบี้ยวไปทางซ้ายหนึ่งนิ้ว”
…บ้าไปแล้ว เจ้าเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำระยะสุดท้ายหรือไง สวี่ชีอันคิด แต่พูดว่า “ขอรับ!”
เมื่อเดินออกจากห้องชุงเฟิง เพิ่งจะข้ามธรณีประตู สวี่ชีอันก็รู้สึกว่าฝ่าเท้าเหยียบโดนก้อนบางอย่างกะทันหัน เขาก้มลงไปเก็บขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่จู่ๆ ก็แข็งทื่อไป
ตำลึงเงิน…หนักมาก
“ไปกันเถอะ” ซ่งถิงเฟิงหันไปเร่ง
“โอ้ ได้” สวี่ชีอันเก็บเศษเงินเข้าไปในอกเสื้อ และก้าวตามไป
…
ภายในห้อง หลี่อวี้ชุนหยิบถุงเงินที่ใส่ไว้ในกล่องออกมา และห้อยไว้ที่เอว เขากำลังจะออกประตูไป ก็ขมวดคิ้วอย่างหนัก
เปิดถุงเงินเทเศษเงินกองหนึ่งออกมา นับอย่างละเอียด และขมวดคิ้วเป็นปม “ข้าทำหายสามตำลึงเงิน…”
ในฐานะคนที่ถูกสหายร่วมงานเยาะเย้ยว่า ‘หน้าเงิน’ เงินสามตำลึงก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวดจนถึงฟ้ามืด
ทั้งสามคนอยู่ด้านนอกที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เห็นมือปราบของเมืองจิงจ้าว ซึ่งมีสามคนเช่นกัน คนที่เป็นผู้นำคือผู้หญิง และอีกสองคนที่เหลือก็ดูหนุ่มกว่าเล็กน้อย
เมืองจิงจ้าวเรียกกันทั่วไปว่าที่ว่าการเมือง
เครื่องแบบของมือปราบทั้งสามคนแตกต่างกับเครื่องแบบมือปราบของสวี่ชีอันไม่มาก สีดำจรดเท้า ตรงขอบปกเสื้อกับแขนเสื้อเป็นสีแดง
สิ่งที่ปักตรงหน้าอกไม่ใช่คำว่า ‘จับ’ แต่เป็นสัตว์รูปร่างคล้ายเสือในตำนานที่น่าเกรงขาม
ระดับหลอมปราณหนึ่งคน ระดับหลอมจิตสองคน…สวี่ชีอันสังเกตทั้งสามคนอย่างเงียบๆ
หญิงสาวที่เป็นผู้นำประสานมือคำนับ และพูดว่า “ใต้เท้าทั้งสาม ข้าน้อยหลี่ว์ชิง ข้าสั่งให้คนนำม้าไปที่ประตูเมืองแล้ว พวกเราขึ้นรถม้าแล้วค่อยคุยกันเถิด”
การขี่ม้าคือการรีบเดินทาง การนั่งรถม้าคือการให้พื้นที่ทุกคนพูดคุยเรื่องต่างๆ โดยไม่เสียเวลา
สถานะของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนั้นสูง เมื่อเจ้าหน้าที่จับกุมของที่ทำการปกครองอื่นเห็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็จะยอมก้มหัวให้เป็นปกติ ทว่าถึงแม้หญิงสาวระดับหลอมปราณคนนี้จะเรียกใต้เท้า แต่กิริยาท่าทางก็ไม่ได้ถ่อมตนหรือดื้อดึง
รถม้าขนาดใหญ่จอดอยู่ริมถนน เข้าไปนั่งหกคนก็ยังไม่แออัดเกินไป
สามคนจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน และอีกสามคนจากที่ว่าการเมืองก็นั่งอีกฝั่งหนึ่ง แยกกันอย่างชัดเจน
ซ่งถิงเฟิงแนะนำตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วก็แนะนำจูกว่างเสี้ยวกับสวี่ชีอัน
“คนนี้พวกเจ้าน่าจะไม่คุ้นเคย ตอนคดีเงินภาษีเขาถูกขังอยู่ที่ที่ว่าการเมือง”
มือปราบสามคนของเมืองจิงจ้าวพินิจสวี่ชีอันอย่างถี่ถ้วน
หัวหน้ามือปราบหญิงที่เรียกตัวเองว่าหลี่ว์ชิงประสานมือคำนับ “ได้ยินชื่อเสียงมานาน”
คดีเงินภาษีเป็นคดีที่ที่ว่าการเมืองจัดการ ในฐานะหัวหน้ามือปราบของที่ว่าการเมือง นางจำสวี่ชีอันได้
ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าคนคนนี้ค่อนข้างมีความสามารถ จึงโน้มน้าวท่านผู้ว่าราชการเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ดึงเขาเข้ารับราชการที่ที่ว่าการเมือง…
เมื่อหลี่ว์ชิงเห็นสวี่ชีอันกลายเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล นางก็ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
สวี่ชีอันพูดคำที่ถ่อมตัวสองสามคำด้วยรอยยิ้ม และลอบมองหัวหน้ามือปราบสาว
ผู้หญิงเป็นหัวหน้ามือปราบหายากมาก
ผู้หญิงในราชวงศ์ต้าฟ่งไม่ได้ถูกเลี้ยงดูในห้องทุกคน สำหรับหญิงสาวที่มีพรสวรรค์สูงมาก ที่ทำการปกครองแต่ละแห่งจะให้การอบรมอย่างแน่นอน
หัวหน้ามือปราบสาวคนนี้หน้าตางดงาม อายุประมาณสามสิบต้นๆ คิ้วหนากว่าผู้หญิงทั่วๆ ไป มาดเท่ดุดัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง