‘เงา’ พัดม้วนผู้นำทั้งสามแล้วใช้การกระโดดข้ามเงากลับไปอยู่ข้างกายแม่ย่าเทียนกู่ เขาไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในเงาเหมือนเคย แต่กลับเอ่ยพูดด้วยสีหน้าซีดขาว
“แม่ย่า พวกเราแพ้แล้ว”
น้ำเสียงนั้นมีทั้งความไม่ยินยอมและความสงสัย
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่อาจยอมรับความจริงเรื่องที่รบพ่ายได้
พลังของพวกเขาทั้งห้าสามารถสังหารขั้นสามในสายการฝึกตนใดๆ ได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว แม้ว่าจอมยุทธ์จะเนื้อหยาบและหนังหนา แต่อย่างมากสุดก็แค่ยืดเวลาไปได้นิดหน่อยเท่านั้น
อีกทั้งเมื่อผู้นำเผ่าทั้งเจ็ดร่วมมือกัน แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นสองก็ต้องทรมาน
ทว่าความจริงคือพวกเขาถูกจอมยุทธ์ขั้นสองวัยเยาว์ผู้หนึ่งเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ง่ายดายมากจริงๆ เพราะชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใดๆ เลย
อาการบาดเจ็บที่พวกเขาสร้างให้กับชายหนุ่มผู้นั้น สำหรับจอมยุทธ์เหนือสามัญแล้ว ไม่นานก็จะฟื้นฟูได้
“จะจัดการอย่างไรต่อ”
เงาพูดพลางมองไปยังหลงถูที่อยู่ไม่ไกล
หลงถูนึกถึงมิตรภาพผู้ร่วมนิ่งเฉยอยู่ข้างสนามกับอีกฝ่าย ตอนนี้ต้องระงับความโกรธของสวี่ชีอันก่อน แล้วทำให้เขายอมล้มเลิกการสังหาร ทั้งยังทำได้เพียงพึ่งพาเผ่าลี่กู่เท่านั้น
แม่ย่าเทียนกู่ไม่ได้ตอบเขา แต่เดินไปหาป๋าจี้แล้วหยิบเอากระบอกไม้ไผ่ออกมาจากถุงหนังที่อยู่กับตัว จากนั้นเปิดฝาไม้ที่ปิดปากกระบอกออก แล้วป้อนยาพิษสีม่วงที่อยู่ในนั้นใส่เข้าไปในปากของป๋าจี้
ป๋าจี้กลืนยาพิษอย่างตะกละตะกลาม จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม คนทั้งคนราวกับมันม่วงหัวหนึ่ง
จากนั้นภาพอันน่าอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เลือดเนื้อสีม่วงเริ่มดิ้นพล่านและเติบโตออกมาจากบาดแผลที่แขนและต้นขาที่ถูกสวี่ชีอันฉีกทึ้งไป ไม่นาน สองมือและสองขาของเขาก็กลับมาเป็นดังเดิม
แต่สีผิวของป๋าจี้ยังคงเป็นสีม่วงเข้มอยู่
ปรมาจารย์ตู๋กู่ที่ฝึกฝนร่างพิษล้วนแต่มีร่างกายคงกระพันเหมือนกับจอมยุทธ์ แต่คุณภาพนั้นต่างกัน
การซ่อมแซมร่างกายที่เสียหายจะต้องใช้ยาพิษจำนวนมหาศาล หลังจากนั้นพิษในร่างพิษจะเปลี่ยนเป็นหนึ่งเดียว ตอนที่ซ่อมแซมร่างกายใช้พิษอะไร ร่างพิษก็จะกลายเป็นพิษชนิดนั้น
สำหรับปรมาจารย์ตู๋กู่แล้ว นี่เท่ากับทำให้พลังลดลงอย่างรวดเร็วและจำเป็นต้องใช้เวลาอีกนานในการกลืนกินพิษตัวอื่นๆ ถึงจะฟื้นฟูได้
“ดึงพิษออกมาจากร่างของหลวนอวี้เสีย”
แม่ย่าเทียนกู่สั่ง
ป๋าจี้พยักหน้า ถึงขั้นน้อมรับด้วยความยินดี ตอนนี้เขาต้องรีบเติมพิษอย่างเร่งด่วน
เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าหลวนอวี้ที่งดงามดุจปีศาจ จากนั้นป๋าจี้ก็สูดลมเข้าปากอย่างแรง ทันใดนั้น ควันพิษสีดำเขียวก็ลอยออกมาจากจมูกของหลวนอวี้แล้วถูกป๋าจี้ดูดกลืนเจ้าไป
ป๋าจี้ดวงตาสว่างไสว พลันเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า
“พิษศพบริสุทธิ์ บริสุทธิ์เสียยิ่งว่าพิษศพทั้งหมดของเผ่าซือกู่เสียอีก”
หลวนอวี้ฟื้นขึ้นมาพร้อมเสียงครางเบาๆ สีหน้าซีดขาว ทั้งซี่โครง กระดูกแขน กระดูกอก และกระดูกอีกสิบกว่าท่อนกลับหักร้าว แม้ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งเหนือสามัญและพลังชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ แต่ย่อมไม่อาจฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับลี่กู่หรือจอมยุทธ์แน่นอนการตอบสนองแรกของนางคือความเจ็บปวดรุนแรง เมื่อมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้นที่อยู่ไกลๆ ในดวงตาก็เปี่ยมไปด้วยความหวาดผวา
แม่ย่าเทียนกู่เอ่ยต่อ
“หลวนอวี้ ดึงฉิงกู่ในตัวฉุนเยียนออกมา”
หลวนอวี้พยักหน้าแล้วถอนสายตากลับมา นางสูดริมฝีปากต่อต้านความเจ็บปวดแล้วมายังข้างกายปรมาจารย์ซินกู่ที่มีอาการแก้มแดงและพึมพำบางอย่างเป็นพักๆ
‘ที่แท้ตอนที่เจ้าลุ่มหลงก็ไม่ได้สูงส่งไปกว่าสตรีคนอื่นๆ สักเท่าไหร่นี่…’ หลวนอวี้ถ่มน้ำลายเงียบๆ แล้ววางฝ่ามือลงไปบนหัวใจของฉุนเยียน ไม่นานนัก ปรมาจารย์ซินกู่ที่ตกอยู่ในภวังค์ลุ่มหลงก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาแล้วลืมตาขึ้น
นางขมวดคิ้วทันใด จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดเหมือนกระดูกหัก
แต่ผู้อยู่เหนือสามัญอย่างไรก็ยังอยู่เหนือสามัญ แม้จะไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่อาการบาดเจ็บเล็กๆ นี้กลับไม่หนักเท่าใด
การตอบสนองของฉุนเยียนนั้นเหมือนกับหลวนอวี้ นางตกใจจนยืดตัวตรงแล้วกวาดมองไปรอบๆ จากนั้นสายตาก็ตกอยู่บนร่างของเทพระดับเพชรที่อยู่ไม่ไกลคนนั้น
“เขาเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงมีวิชากู่อยู่ในตัวมากมายขนาดนั้น”
ฉุนเยียนกัดริมฝีปาก แววตางุนงงสงสัย
นางได้เอ่ยถามถึงข้อสงสัยของผู้นำทั้งหลายไปแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้น่าผิดหวังยิ่งนัก วิชาที่พวกเขาภาคภูมิใจกลับไม่ได้ส่งผลอะไรต่อชายหนุ่มผู้นี้เลย
เพราะเขาก็เป็นปรมาจารย์ตู๋กู่ ปรมาจารย์ซินกู่ ปรมาจารย์อั้นกู่ ปรมาจารย์ลี่กู่ และเป็นปรมาจารย์ฉิงกู่ด้วยเหมือนกัน ตอนนี้มีเพียงเทียนกู่และซือกู่เท่านั้นที่เหมือนเขาจะยังไม่ได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง
ในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์กู่ ไม่เคยมีใครผสานหนอนกู่ได้มากมายขนาดนี้มาก่อน กู่สองชนิดก็ถือว่าถึงขีดสุดแล้ว ผู้ใดก็ตามที่พยายามผสานวิชากู่ได้ให้สามชนิดหรือสี่ชนิด ผลสุดท้ายก็มีแต่จะร่างกายแหลกสลายไม่มีข้อยกเว้น
ตอนนี้ พวกเขามองดูสวี่ชีอันนั่งยองๆ อยู่ข้างศพเดินได้ขั้นสามตนนั้น แล้วยกเจดีย์ทองคำเล็กๆ ขึ้นมา
ยอดเจดีย์นี้มีร่างธรรมเลือนรางร่างหนึ่งสถิตอยู่ รูปร่างอ้วนท้วน เนตรขนงคล้ายจะใจดีมีเมตตา และในมือถือขวดหยกหนึ่งใบ
ประกายแสงสีทองลอยออกมาจากในขวดแล้วสาดลงบนร่างของศพเดินได้ราวกับฝนฤดูวสันต์
ศีรษะที่หักของศพเดินได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในแบบที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
จากนั้นศพเดินได้ขั้นสามก็ยืนขึ้นแล้วคำนับแบบทหารให้กับสวี่ชีอันด้วยความเคารพ ก่อนเอ่ยเสียงดังว่า
“คารวะท่านเซอร์สวี่!”
สวี่ชีอันที่เสพติดการเป็นผู้นำพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
มนุษย์ศพมีอยู่สองประเภท หนึ่งคือเป็นหุ่นเชิดล้วนๆ ที่มีพลังของกายเนื้อเท่านั้น
ส่วนอีกประเภทคือพวกที่เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นานและถูกนำมาหลอมเป็นมนุษย์ศพ แบบนี้ก็จะสามารถรักษาทักษะและวรยุทธ์ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไว้ได้
เขาใช้กำปั้นชกไปที่ศีรษะของมนุษย์ศพ หากเป็นมนุษย์ศพประเภทที่สอง เสี้ยววิญญาณภายในก็จะสูญสลาย และเสียทักษะกับวรยุทธ์บางส่วนที่เคยมีมาก่อนไป
แต่นี่คือมนุษย์ศพขั้นสาม ตัวของมันเป็นประเภทที่วิญญาณแตกซ่านจนถึงขีดสุดแล้ว จึงไม่มีความสามารถเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ทั้งนั้น
ดังนั้น เมื่อร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถซ่อมแซมมนุษย์ศพจนหายดี มันก็แทบจะไม่มีความเสียหายใดๆ
หลวนอวี้ ฉุนเยียน และพวกหลงถูทั้งหลายมองดูภาพนี้อย่างตกตะลึง ความรู้สึกในใจรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
“แม้แต่วิชาซือกู่ก็ยัง…”
ฉุนเยียนพึมพำ
งูตัวเรียวบางสองตัวที่ติ่งหูของนางส่งเสียงขู่ ‘ฟ่อ’ อย่างโกรธเกรี้ยวและพยายามยืดขยายลำตัวออกไป ราวกับจะพุ่งออกจากนายท่านแล้วไปจัดการศัตรูน่ารังเกียจคนนั้นแทน
เหงื่อเย็นๆ หลั่งอยู่บนหลังของผู้นำทั้งหลาย พวกเขาราวกับกำลังเผชิญศัตรูสุดแกร่ง ทั้งยังรู้สึกหดหู่และสิ้นหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้
“นอกจากเทพเจ้ากู่ ก็ไม่มีใครควบคุมวิชากู่ได้เยอะขนาดนี้แล้ว”
ป๋าจี้ที่ร่างกายมีแต่สีม่วงเอ่ยพึมพำเสียงแหบแห้งเบาๆ
‘เทพเจ้ากู่…’ พวกหลวนอวี้มองหน้ากัน ต่างก็มองเห็นความตกตะลึงที่เข้าใจกันดี
ตอนนี้เอง หลวนอวี้ก็เห็นชายหนุ่มที่มี ‘ตัวตนลึกลับ’ คนนั้นค่อยๆ หันหน้ามา เขายิ้มยกชั่วร้ายมาให้แล้วค่อยๆ เดินเข้ามาหา
‘ฟ่อ ฟ่อ’
งูน้อยสองตัวที่ติ่งหูของฉุนเยียนเก็บความดุร้ายกลับมาทันที แล้วขดตัวอย่างสั่นเทา
“หลงถู!”
หลวนอวี้ร้องอย่างตกใจ “เจ้ายังจะนิ่งดูดายอีกหรือ”
‘เงา’ และป๋าจี้ซึ่งเป็นผู้นำที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์เดินมาขวางอยู่ด้านหน้าพวกนาง พร้อมรับมือศัตรูตัวฉกาจ
หลงถูนิ่งเงียบไปแล้วเดินไปหาเพื่อนร่วมเผ่าเหล่านั้น
‘ถุยๆๆ’…
สวี่หลิงอินที่อยู่บนบ่าถ่มน้ำลายใส่พวกป๋าจี้อย่างแรง
แม่ย่าเทียนกู่ถือไม้เท้าแล้วเดินอ้อมทุกคนไปหาสวี่ชีอัน
“แม่ย่า?”
สีหน้าของเงาแปรเปลี่ยนไป
เทียนกู่นั้นเหมือนกับซินกู่ที่ไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องพลังต่อสู้ แต่ความสามารถนั้นเอนไปในทิศทางอื่น
แม่ย่าเทียนกู่อาจจะถูกโจมตีในพริบตาต่อหน้าทุกคน แม้ช่วยก็ไม่อาจช่วยได้ทัน
“ไม่เป็นไร”
แม่ย่าเทียนกู่ยิ้มแล้วเดินตรงไปหาสวี่ชีอัน ภาพต่อจากนั้นทำให้พวกหลวนอวี้ทุกคนต่างสงสัยว่าตนตาฝาดหรือหูฝาดไปหรือไม่
“แม่ย่า ที่ข้าทำ พอจะใช้ได้หรือไม่”
สวี่ชีอันโค้งกายคำนับแล้วเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“ยามลงมือยังถือว่ารู้หนักเบา”
แม่ย่าเทียนกู่พยักหน้าเอ่ย “ไปคุยกับพวกเขาเถิด เจ้ารู้ว่าควรทำอย่างไร”
สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วเดินผ่านแม่ย่าเทียนกู่มายังเบื้องหน้าของเหล่าผู้นำ จากนั้นพยักหน้าทักทายให้หลงถู ก่อนกวาดตามองเหล่าผู้นำที่ยังคงงุนงงและหวาดระแวงอยู่ แล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าตอนนี้ข้าจะฆ่าพวกเจ้า พวกเจ้าคิดว่าอาศัยแค่หลงถูคนเดียว จะหยุดข้าได้ไหม”
หลงถูจากเผ่าลี่กู่เลิกคิ้วขึ้น ทั้งไม่พอใจและอยากจะลิ้มลอง
หลวนอวี้ ฉุนเยียน ป๋าจี้และเงา ต่างก็พากันเงียบงันไม่พูดจา
มาพูดเช่นนี้ในตอนนี้มีประโยชน์อะไรกัน พวกเขาย่อมไม่ยอมแน่นอน แต่ด้วยสภาพตอนนี้ย่อมทำไม่ได้ และไม่อาจร่วมมือกับหลงถูเพื่อล้อมโจมตี ตอนนี้การทำเป็นปากดีย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร ผู้เข้าใจสถานการณ์คือผู้เฉลียวฉลาด ดังนั้นพวกเขาจึงนิ่งเงียบ
“พวกเจ้าอย่าไม่พอใจไปเลย ‘จิต’ ของข้าก็ยังไม่ถูกใช้ออกมา ของวิเศษและของข้าก็ยังไม่ได้ใช้ด้วย แม้ว่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ทั้งเจ็ดคนจะร่วมมือกัน ก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้”
สวี่ชีอันยื่นมือออกมาแล้ววางเจดีย์พุทธะไว้กลางฝ่ามือก่อนเอ่ยว่า
“เจดีย์พุทธะของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้แห่งสำนักพุทธ พวกเจ้าไม่เคยเห็นและน่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อนสินะ”
สีหน้าของพวกฉุนเยียนเปลี่ยนไป ความไม่ยินยอมในใจหายไปกับสายลม
“ดังนั้น พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นหนี้ข้าหนึ่งชีวิต”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง