บทที่ 676 พันธมิตร – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 676 พันธมิตร จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
‘เงา’ พัดม้วนผู้นำทั้งสามแล้วใช้การกระโดดข้ามเงากลับไปอยู่ข้างกายแม่ย่าเทียนกู่ เขาไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในเงาเหมือนเคย แต่กลับเอ่ยพูดด้วยสีหน้าซีดขาว
“แม่ย่า พวกเราแพ้แล้ว”
น้ำเสียงนั้นมีทั้งความไม่ยินยอมและความสงสัย
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่อาจยอมรับความจริงเรื่องที่รบพ่ายได้
พลังของพวกเขาทั้งห้าสามารถสังหารขั้นสามในสายการฝึกตนใดๆ ได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว แม้ว่าจอมยุทธ์จะเนื้อหยาบและหนังหนา แต่อย่างมากสุดก็แค่ยืดเวลาไปได้นิดหน่อยเท่านั้น
อีกทั้งเมื่อผู้นำเผ่าทั้งเจ็ดร่วมมือกัน แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นสองก็ต้องทรมาน
ทว่าความจริงคือพวกเขาถูกจอมยุทธ์ขั้นสองวัยเยาว์ผู้หนึ่งเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ง่ายดายมากจริงๆ เพราะชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใดๆ เลย
อาการบาดเจ็บที่พวกเขาสร้างให้กับชายหนุ่มผู้นั้น สำหรับจอมยุทธ์เหนือสามัญแล้ว ไม่นานก็จะฟื้นฟูได้
“จะจัดการอย่างไรต่อ”
เงาพูดพลางมองไปยังหลงถูที่อยู่ไม่ไกล
หลงถูนึกถึงมิตรภาพผู้ร่วมนิ่งเฉยอยู่ข้างสนามกับอีกฝ่าย ตอนนี้ต้องระงับความโกรธของสวี่ชีอันก่อน แล้วทำให้เขายอมล้มเลิกการสังหาร ทั้งยังทำได้เพียงพึ่งพาเผ่าลี่กู่เท่านั้น
แม่ย่าเทียนกู่ไม่ได้ตอบเขา แต่เดินไปหาป๋าจี้แล้วหยิบเอากระบอกไม้ไผ่ออกมาจากถุงหนังที่อยู่กับตัว จากนั้นเปิดฝาไม้ที่ปิดปากกระบอกออก แล้วป้อนยาพิษสีม่วงที่อยู่ในนั้นใส่เข้าไปในปากของป๋าจี้
ป๋าจี้กลืนยาพิษอย่างตะกละตะกลาม จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม คนทั้งคนราวกับมันม่วงหัวหนึ่ง
จากนั้นภาพอันน่าอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เลือดเนื้อสีม่วงเริ่มดิ้นพล่านและเติบโตออกมาจากบาดแผลที่แขนและต้นขาที่ถูกสวี่ชีอันฉีกทึ้งไป ไม่นาน สองมือและสองขาของเขาก็กลับมาเป็นดังเดิม
แต่สีผิวของป๋าจี้ยังคงเป็นสีม่วงเข้มอยู่
ปรมาจารย์ตู๋กู่ที่ฝึกฝนร่างพิษล้วนแต่มีร่างกายคงกระพันเหมือนกับจอมยุทธ์ แต่คุณภาพนั้นต่างกัน
การซ่อมแซมร่างกายที่เสียหายจะต้องใช้ยาพิษจำนวนมหาศาล หลังจากนั้นพิษในร่างพิษจะเปลี่ยนเป็นหนึ่งเดียว ตอนที่ซ่อมแซมร่างกายใช้พิษอะไร ร่างพิษก็จะกลายเป็นพิษชนิดนั้น
สำหรับปรมาจารย์ตู๋กู่แล้ว นี่เท่ากับทำให้พลังลดลงอย่างรวดเร็วและจำเป็นต้องใช้เวลาอีกนานในการกลืนกินพิษตัวอื่นๆ ถึงจะฟื้นฟูได้
“ดึงพิษออกมาจากร่างของหลวนอวี้เสีย”
แม่ย่าเทียนกู่สั่ง
ป๋าจี้พยักหน้า ถึงขั้นน้อมรับด้วยความยินดี ตอนนี้เขาต้องรีบเติมพิษอย่างเร่งด่วน
เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าหลวนอวี้ที่งดงามดุจปีศาจ จากนั้นป๋าจี้ก็สูดลมเข้าปากอย่างแรง ทันใดนั้น ควันพิษสีดำเขียวก็ลอยออกมาจากจมูกของหลวนอวี้แล้วถูกป๋าจี้ดูดกลืนเจ้าไป
ป๋าจี้ดวงตาสว่างไสว พลันเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า
“พิษศพบริสุทธิ์ บริสุทธิ์เสียยิ่งว่าพิษศพทั้งหมดของเผ่าซือกู่เสียอีก”
หลวนอวี้ฟื้นขึ้นมาพร้อมเสียงครางเบาๆ สีหน้าซีดขาว ทั้งซี่โครง กระดูกแขน กระดูกอก และกระดูกอีกสิบกว่าท่อนกลับหักร้าว แม้ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งเหนือสามัญและพลังชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ แต่ย่อมไม่อาจฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับลี่กู่หรือจอมยุทธ์แน่นอนการตอบสนองแรกของนางคือความเจ็บปวดรุนแรง เมื่อมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้นที่อยู่ไกลๆ ในดวงตาก็เปี่ยมไปด้วยความหวาดผวา
แม่ย่าเทียนกู่เอ่ยต่อ
“หลวนอวี้ ดึงฉิงกู่ในตัวฉุนเยียนออกมา”
หลวนอวี้พยักหน้าแล้วถอนสายตากลับมา นางสูดริมฝีปากต่อต้านความเจ็บปวดแล้วมายังข้างกายปรมาจารย์ซินกู่ที่มีอาการแก้มแดงและพึมพำบางอย่างเป็นพักๆ
‘ที่แท้ตอนที่เจ้าลุ่มหลงก็ไม่ได้สูงส่งไปกว่าสตรีคนอื่นๆ สักเท่าไหร่นี่…’ หลวนอวี้ถ่มน้ำลายเงียบๆ แล้ววางฝ่ามือลงไปบนหัวใจของฉุนเยียน ไม่นานนัก ปรมาจารย์ซินกู่ที่ตกอยู่ในภวังค์ลุ่มหลงก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาแล้วลืมตาขึ้น
นางขมวดคิ้วทันใด จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดเหมือนกระดูกหัก
แต่ผู้อยู่เหนือสามัญอย่างไรก็ยังอยู่เหนือสามัญ แม้จะไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่อาการบาดเจ็บเล็กๆ นี้กลับไม่หนักเท่าใด
การตอบสนองของฉุนเยียนนั้นเหมือนกับหลวนอวี้ นางตกใจจนยืดตัวตรงแล้วกวาดมองไปรอบๆ จากนั้นสายตาก็ตกอยู่บนร่างของเทพระดับเพชรที่อยู่ไม่ไกลคนนั้น
“เขาเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงมีวิชากู่อยู่ในตัวมากมายขนาดนั้น”
ฉุนเยียนกัดริมฝีปาก แววตางุนงงสงสัย
นางได้เอ่ยถามถึงข้อสงสัยของผู้นำทั้งหลายไปแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้น่าผิดหวังยิ่งนัก วิชาที่พวกเขาภาคภูมิใจกลับไม่ได้ส่งผลอะไรต่อชายหนุ่มผู้นี้เลย
เพราะเขาก็เป็นปรมาจารย์ตู๋กู่ ปรมาจารย์ซินกู่ ปรมาจารย์อั้นกู่ ปรมาจารย์ลี่กู่ และเป็นปรมาจารย์ฉิงกู่ด้วยเหมือนกัน ตอนนี้มีเพียงเทียนกู่และซือกู่เท่านั้นที่เหมือนเขาจะยังไม่ได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง
ในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์กู่ ไม่เคยมีใครผสานหนอนกู่ได้มากมายขนาดนี้มาก่อน กู่สองชนิดก็ถือว่าถึงขีดสุดแล้ว ผู้ใดก็ตามที่พยายามผสานวิชากู่ได้ให้สามชนิดหรือสี่ชนิด ผลสุดท้ายก็มีแต่จะร่างกายแหลกสลายไม่มีข้อยกเว้น
ตอนนี้ พวกเขามองดูสวี่ชีอันนั่งยองๆ อยู่ข้างศพเดินได้ขั้นสามตนนั้น แล้วยกเจดีย์ทองคำเล็กๆ ขึ้นมา
ยอดเจดีย์นี้มีร่างธรรมเลือนรางร่างหนึ่งสถิตอยู่ รูปร่างอ้วนท้วน เนตรขนงคล้ายจะใจดีมีเมตตา และในมือถือขวดหยกหนึ่งใบ
ประกายแสงสีทองลอยออกมาจากในขวดแล้วสาดลงบนร่างของศพเดินได้ราวกับฝนฤดูวสันต์
ศีรษะที่หักของศพเดินได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในแบบที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
จากนั้นศพเดินได้ขั้นสามก็ยืนขึ้นแล้วคำนับแบบทหารให้กับสวี่ชีอันด้วยความเคารพ ก่อนเอ่ยเสียงดังว่า
“คารวะท่านเซอร์สวี่!”
สวี่ชีอันที่เสพติดการเป็นผู้นำพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
มนุษย์ศพมีอยู่สองประเภท หนึ่งคือเป็นหุ่นเชิดล้วนๆ ที่มีพลังของกายเนื้อเท่านั้น
ส่วนอีกประเภทคือพวกที่เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นานและถูกนำมาหลอมเป็นมนุษย์ศพ แบบนี้ก็จะสามารถรักษาทักษะและวรยุทธ์ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไว้ได้
เขาใช้กำปั้นชกไปที่ศีรษะของมนุษย์ศพ หากเป็นมนุษย์ศพประเภทที่สอง เสี้ยววิญญาณภายในก็จะสูญสลาย และเสียทักษะกับวรยุทธ์บางส่วนที่เคยมีมาก่อนไป
แต่นี่คือมนุษย์ศพขั้นสาม ตัวของมันเป็นประเภทที่วิญญาณแตกซ่านจนถึงขีดสุดแล้ว จึงไม่มีความสามารถเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ทั้งนั้น
ดังนั้น เมื่อร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถซ่อมแซมมนุษย์ศพจนหายดี มันก็แทบจะไม่มีความเสียหายใดๆ
หลวนอวี้ ฉุนเยียน และพวกหลงถูทั้งหลายมองดูภาพนี้อย่างตกตะลึง ความรู้สึกในใจรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
“แม้แต่วิชาซือกู่ก็ยัง…”
ฉุนเยียนพึมพำ
งูตัวเรียวบางสองตัวที่ติ่งหูของนางส่งเสียงขู่ ‘ฟ่อ’ อย่างโกรธเกรี้ยวและพยายามยืดขยายลำตัวออกไป ราวกับจะพุ่งออกจากนายท่านแล้วไปจัดการศัตรูน่ารังเกียจคนนั้นแทน
เหงื่อเย็นๆ หลั่งอยู่บนหลังของผู้นำทั้งหลาย พวกเขาราวกับกำลังเผชิญศัตรูสุดแกร่ง ทั้งยังรู้สึกหดหู่และสิ้นหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้
“นอกจากเทพเจ้ากู่ ก็ไม่มีใครควบคุมวิชากู่ได้เยอะขนาดนี้แล้ว”
ป๋าจี้ที่ร่างกายมีแต่สีม่วงเอ่ยพึมพำเสียงแหบแห้งเบาๆ
‘เทพเจ้ากู่…’ พวกหลวนอวี้มองหน้ากัน ต่างก็มองเห็นความตกตะลึงที่เข้าใจกันดี
ตอนนี้เอง หลวนอวี้ก็เห็นชายหนุ่มที่มี ‘ตัวตนลึกลับ’ คนนั้นค่อยๆ หันหน้ามา เขายิ้มยกชั่วร้ายมาให้แล้วค่อยๆ เดินเข้ามาหา
‘ฟ่อ ฟ่อ’
งูน้อยสองตัวที่ติ่งหูของฉุนเยียนเก็บความดุร้ายกลับมาทันที แล้วขดตัวอย่างสั่นเทา
“หลงถู!”
หลวนอวี้ร้องอย่างตกใจ “เจ้ายังจะนิ่งดูดายอีกหรือ”
‘เงา’ และป๋าจี้ซึ่งเป็นผู้นำที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์เดินมาขวางอยู่ด้านหน้าพวกนาง พร้อมรับมือศัตรูตัวฉกาจ
หลงถูนิ่งเงียบไปแล้วเดินไปหาเพื่อนร่วมเผ่าเหล่านั้น
‘ถุยๆๆ’…
สวี่หลิงอินที่อยู่บนบ่าถ่มน้ำลายใส่พวกป๋าจี้อย่างแรง
แม่ย่าเทียนกู่ถือไม้เท้าแล้วเดินอ้อมทุกคนไปหาสวี่ชีอัน
“แม่ย่า?”
สีหน้าของเงาแปรเปลี่ยนไป
เทียนกู่นั้นเหมือนกับซินกู่ที่ไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องพลังต่อสู้ แต่ความสามารถนั้นเอนไปในทิศทางอื่น
แม่ย่าเทียนกู่อาจจะถูกโจมตีในพริบตาต่อหน้าทุกคน แม้ช่วยก็ไม่อาจช่วยได้ทัน
“ไม่เป็นไร”
แม่ย่าเทียนกู่ยิ้มแล้วเดินตรงไปหาสวี่ชีอัน ภาพต่อจากนั้นทำให้พวกหลวนอวี้ทุกคนต่างสงสัยว่าตนตาฝาดหรือหูฝาดไปหรือไม่
“แม่ย่า ที่ข้าทำ พอจะใช้ได้หรือไม่”
สวี่ชีอันโค้งกายคำนับแล้วเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“ยามลงมือยังถือว่ารู้หนักเบา”
แม่ย่าเทียนกู่พยักหน้าเอ่ย “ไปคุยกับพวกเขาเถิด เจ้ารู้ว่าควรทำอย่างไร”
สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วเดินผ่านแม่ย่าเทียนกู่มายังเบื้องหน้าของเหล่าผู้นำ จากนั้นพยักหน้าทักทายให้หลงถู ก่อนกวาดตามองเหล่าผู้นำที่ยังคงงุนงงและหวาดระแวงอยู่ แล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าตอนนี้ข้าจะฆ่าพวกเจ้า พวกเจ้าคิดว่าอาศัยแค่หลงถูคนเดียว จะหยุดข้าได้ไหม”
หลงถูจากเผ่าลี่กู่เลิกคิ้วขึ้น ทั้งไม่พอใจและอยากจะลิ้มลอง
หลวนอวี้ ฉุนเยียน ป๋าจี้และเงา ต่างก็พากันเงียบงันไม่พูดจา
มาพูดเช่นนี้ในตอนนี้มีประโยชน์อะไรกัน พวกเขาย่อมไม่ยอมแน่นอน แต่ด้วยสภาพตอนนี้ย่อมทำไม่ได้ และไม่อาจร่วมมือกับหลงถูเพื่อล้อมโจมตี ตอนนี้การทำเป็นปากดีย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร ผู้เข้าใจสถานการณ์คือผู้เฉลียวฉลาด ดังนั้นพวกเขาจึงนิ่งเงียบ
“พวกเจ้าอย่าไม่พอใจไปเลย ‘จิต’ ของข้าก็ยังไม่ถูกใช้ออกมา ของวิเศษและของข้าก็ยังไม่ได้ใช้ด้วย แม้ว่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ทั้งเจ็ดคนจะร่วมมือกัน ก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้”
สวี่ชีอันยื่นมือออกมาแล้ววางเจดีย์พุทธะไว้กลางฝ่ามือก่อนเอ่ยว่า
“เจดีย์พุทธะของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้แห่งสำนักพุทธ พวกเจ้าไม่เคยเห็นและน่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อนสินะ”
สีหน้าของพวกฉุนเยียนเปลี่ยนไป ความไม่ยินยอมในใจหายไปกับสายลม
“ดังนั้น พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นหนี้ข้าหนึ่งชีวิต”
แม่ย่าเทียนกู่ส่ายหน้า
“พวกเจ้ากลัวว่าจะโดนตี จึงบ่นว่าข้าไม่บอกพวกเจ้าก่อนสินะ ถ้าหากข้าบอกพวกเจ้าก่อน พวกเจ้าก็จะใช้วิธีอื่น อย่างเช่น ใช้เจ้าเด็กคนนี้เป็นร่างต้น เช่นนั้นวิวาทกันสักหน่อยก็ดีมิใช่หรือ จะได้สลายความเกลียดชังและความโกรธของพวกเจ้า จิได้นั่งลงคุยกันดีๆ”
ทุกคนต่างไม่มีอะไรจะพูด
แบบนี้เรียกว่าตบหัวแล้วลูบหลัง ทำลายความฮึกเหิมของพวกเจ้าก่อน จากนั้นค่อยพูดคุยร่วมมือเรื่องผลประโยชน์…เมื่อเห็นว่าปูเรื่องไปไม่น้อยแล้ว สวี่ชีอันก็พูดเสริมต่อ
“ข้าจะไม่สังหารพวกเจ้า และหวังว่าพวกเจ้าจะพิจารณาการร่วมมือกับต้าฟ่งใหม่อีกครั้ง”
“เป็นไปไม่ได้!”
“คนในเผ่าไม่ตอบรับ ข้าก็ไม่ตอบรับด้วย”
ผู้ที่บอกว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ คือป๋าจี้ ส่วนคนที่พูดอีกประโยคคือหลวนอวี้
นอกจากเผ่าซือกู่แล้ว คนในเผ่าเผ่าตู๋กู่และเผ่าฉิงกู่นั้นมีความเคียดแค้นล้ำลึกต่อต้าป่งเป็นอย่างมาก
“พวกเจ้าฟังเงื่อนไขของข้าก่อน”
ใบหน้าของสวี่ชีอันแต้มด้วยรอยยิ้ม “อันดับแรก ข้าจะไม่ช่วยเผ่าพันธุ์กู่ของพวกเจ้าผนึกเทพเจ้ากู่ ถึงแม้ข้าจะไม่รู้วิธีการผนึกเขา แต่พวกเจ้าก็ควรจะเชื่อใจผู้อาวุโสเทียนกู่นะ”
หลวนอวี้เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าดูดซับเจ็ดยอดกู่เข้าไปแล้ว เดิมก็ควรจะรับเหตุต้นผลกรรมไว้ด้วย”
สวี่ชีอันเหลือบมองนาง “ที่เจ้าอุตส่าห์มีชีวิตมาถึงตอนนี้ได้ ก็เพราะว่าเป็นเบี้ยต่อรองของข้า”
หลวนอวี้นิ่งเงียบไม่พูดจา
ป๋าจี้เอ่ยเสียงเรียบ “พวกเราสามารถปฏิเสธการเป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว และไม่เข้าโจมตีต้าฟ่งได้ นี่คือขีดสุดที่พวกเราทำได้แล้ว”
สวี่ชีอันไม่สนใจ เขามองไปที่หลงถู
“ข้าสามารถให้สัญญาในนามของต้าฟ่งได้ หลังจากกำจัดพวกกบฏและฟื้นฟูที่นาทาไร่ สิบปีต่อจากนี้ แต่ละปีจะมอบธัญพืชที่พอให้อิ่มท้อง”
จากนั้นเขาก้มองไปที่ป๋าจี้ “ส่วนเผ่าตู๋กู่ แต่ละปีจะมอบสมุนไพรพิษและผลไม้พิษระดับสูงจำนวนมากอย่างแน่นอน ส่วนจำนวนแบบละเอียดๆ นั้น พวกเราค่อยมาคุยกันอีกทีตอนจบเรื่อง”
ป๋าจี้อ้าปาก เขาอยากจะปฏิเสธ แต่ปากไม่ยอมให้ทำ
จากนั้น เขาก็หันไปหาหลวนอวี้แล้วเงียบไป ก่อนเอ่ยถาม
“เจ้าอยากได้อะไร?”
ในหมู่เผ่าพันธุ์กู่ทั้งเจ็ด เผ่าฉิงกู่ เผ่าตู๋กู่ และเผ่าซือกู่ล้วนเคียดแค้นต่อต้าฟ่งอย่างล้ำลึก
มนุษย์ศพข้างกายเขาที่เขา ‘รักษาจนหายดี’ นี้ จะเอามาใช้เพื่อเป็นเบี้ยต่อรองกับซือกู่ ไม่หวังว่าเผ่าซือกู่จะสามารถวางความแค้นในอดีต เพียงขอให้อย่าร่วมเป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจวก็พอ
แต่ทางเผ่าฉิงกู่นั้น ตอนนี้สวี่ชีอันยังไม่มีเบี้ยใดให้ใช้
หลวนอวี้ยิ้มเย็น “อยู่ที่ซินเจียงตอนใต้กับข้าสามปี นอกจากเจ้าจะได้ทั้งวิชาฉิงกู่แล้ว ก็น่าจะเข้าใจนะว่าข้าหมายถึงอะไร”
สวี่ชีอันหันไปมองรอบๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่ามู่หนานจือผู้ขี้ขลาดยังคงขดตัวอยู่ไกลๆ ไม่ได้เข้ามาก็โล่งอก จากนั้นหันไปพินิจดูร่างกายบอบบางที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งของหลวนอวี้ทีหนึ่งแล้วพยักหน้า
“สามปีไม่ได้ มากที่สุดคือสามเดือน”
…หลวนอวี้นิ่งไป นางไม่คิดว่าจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของต้าฟ่งจะตอบรับคำขอประเภทนี้ด้วย ทั้งยังตอบรับแบบมีความสุขเช่นนี้เลย
ทันใดนั้น นางก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธหรือตอบรับดี
หากตอบรับ คนในเผ่าก็จะมีความเห็นไม่ตรงกันและเกิดความวุ่นวายได้ แต่ถ้าปฏิเสธ…หลวนอวี้เหลือบมองร่างกายแข็งแรงกำยำของสวี่ชีอัน ริมฝีปากก็ราวกับถูกปิดเอาไว้ ไม่อาจเอ่ยคำปฏิเสธได้เลย
สวี่ชีอันมองไปยังฉุนเยียนและเงาต่อ ก่อนเอ่ยว่า
“ข้าจะรีบส่งทูตจากต้าฟ่งมาที่นี่โดยเร็วที่สุด เพื่อปรึกษากับเผ่าพันธุ์กู่เรื่องผูกพันธมิตร ต้องการอะไร พวกเจ้าก็เอ่ยเสนอได้”
คำสัญญาข้างต้นของเขาแค่เรียกน้ำย่อยเท่านั้น หากอยากให้เผ่าพันธุ์กู่ส่งกำลังช่วยเหลือต้าฟ่ง ย่อมไม่มีทางจบแค่เรื่องเด็กเล่นเช่นนี้หรอก
เช่นเดียวกับเมื่อยามกลุ่มปีศาจส่งคนไปช่วยเหลือ ในสัญญาพันธมิตรที่ลงนามไว้นั้น เผ่าปีศาจจะส่งมอบปศุสัตว์ ขนแกะ และอื่นๆ มาให้เป็นจำนวนมหาศาล
ต้าฟ่งคิดอยากจะได้ความช่วยเหลือจากเผ่าพันธุ์กู่ ก็ต้องมอบของตอบแทนที่มีคุณค่าพอๆ กันไปด้วย
เงาขมวดคิ้ว
“โหยวซือไม่มีทางเห็นด้วย เขามีความแค้นล้ำลึกต่อต้าฟ่ง”
“หากพวกเจ้าล้วนตอบรับ แม้เผ่าซือกู่ไม่เห็นด้วย แล้วอย่างไรเล่า” สวี่ชีอันเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้ทหารของเขา และย่อมมีวิธีให้เขาเลือกอยู่ตรงกลางแน่”
เมื่อเอ่ยออกไป นกยักษ์ก็กระพือปีกบินเข้ามาแล้วบินวนรอบๆ ช่องเขา
นี่คือหุ่นเชิดศพนก โหยวซือมาแล้ว
………………………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...