มาเร็วจริงๆ…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว เขายังไม่ทันได้พูดโน้มน้าวผู้นำหลวนอวี้และป๋าจี้ให้ยินยอมอย่างสมบูรณ์เลย เดิมทีคิดว่าจะโน้วน้าวคนเหล่านี้ก่อน แล้วค่อยให้พวกเขาไปช่วยโน้มน้าวเผ่าซือกู่ เป็นการใช้กำลังส่วนใหญ่ของเผ่าพันธุ์กู่มากดดันคน
ไม่คิดเลยว่าโหยวซือจะมาเร็วขนาดนี้ แถมยังมาในรูปแบบของศพนกตรงๆ ด้วย
ศพนกบินวนอยู่กลางอากาศพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เบื้องล่างสงบลงแล้ว อีกทั้งผู้นำร่วมเผ่าแต่ละคนก็ปลอดภัยไร้อันตรายใดๆ มันจึงบินลงมายังเบื้องล่างแต่ไม่ได้เข้าใกล้นัก ทว่ามองดูพวกแม่ย่าเทียนกู่จากที่ไกลๆ แทน
“พวกเจ้าถูกจับตัวแล้วสินะ”
ศพนกบินอยู่กลางอากาศแล้วพูดภาษามนุษย์ออกมา เสียงของมันแหบพร่าและทุ้มต่ำ นั่นก็คือโหยวซือ
หลังจากจื่อกู่ที่เป็นกาฝากเข้าไปอยู่ในร่างของมนุษย์ศพถูกฆ่า มันก็กลายเป็นนกศพเพื่อมาตรวจสอบสถานการณ์ทันที
ซึ่งสถานการณ์ตรงหน้าก็ทำให้มันโล่งอก
ปรมาจารย์ซือกู่มีข้อดีที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องของความอยู่รอดปลอดภัย ขอเพียงหาสถานที่ซ่อนร่างกายไม่เจอ ไม่ว่าหุ่นเชิดจะตายไปสักเท่าไหร่ ร่างจริงก็ยังสามารถปลอดภัยไร้อันตรายได้เสมอ
สวี่ชีอันมองพิจารณาเขา นกยักษ์ของโหยวซือก็มองตอบมานิ่งๆ
“พวกเราบรรลุข้อตกลงกันแล้ว” สวี่ชีอันบอก
โหยวซือไม่สนใจเขา ดวงตาว่างเปล่าตายด้านนั้นหันไปมองแม่ย่าเทียนกู่แทน ซึ่งนางก็ได้เล่าเรื่องที่พูดกับผู้นำทั้งหลายให้โหยวซือฟังจนหมดเปลือก
นกยักษ์เอนศีรษะมองไปยังพวกหลวนอวี้ หลังจากได้รับคำตอบยืนยันแล้ว มันก็นิ่งคิดไปพักหนึ่ง
“ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต่อต้าน พวกเจ้าและต้าฟ่งผูกพันธมิตรกัน นั่นเป็นเรื่องของพวกเจ้า แต่เผ่าซือกู่เป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว นี่ก็เป็นเรื่องของเผ่าซือกู่ พวกเราไม่ยุ่งเกี่ยวกัน”
พวกหลวนอวี้ขมวดคิ้ว แต่ไหนแต่ไรเผ่าพันธุ์กู่จะโจมตีและล่าถอยไปพร้อมกันเสมอ จึงไม่มีเหตุผลให้มาพบเจอกันในสนามรบ
สวี่ชีอันชี้ไปที่หุ่นเชิดมนุษย์ศพข้างกาย แล้วเอ่ยช้าๆ ไม่รีบร้อน
“ข้าไม่ต้องการกองกำลังจากเจ้า ขอแค่เจ้าไม่เป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว หุ่นเชิดตัวนี้ก็มอบให้เจ้าได้ หุ่นเชิดที่มีร่างวิญญาณขั้นสาม เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนที่พอแล้วหรือไม่”
โหยวซือไม่แม้แต่จะเหลือบมองหุ่นเชิด เขายิ้มเยาะ
“เจ้าดูแคลนเผ่าซือกู่ของข้ามากเกินไปแล้ว หุ่นเชิดที่อยู่ในขั้นเดียวกัน เผ่าของข้าก็มีอยู่ตัวหนึ่ง”
เขาคือปรมาจารย์ซือกู่ขั้นสามที่ถูกจำกัดในด้านระดับขั้น ในหนึ่งครั้งจึงควบคุมมนุษย์ศพระดับนี้ได้แค่หนึ่งตัว พร้อมกับขั้นสี่อีกสองสามตัว
หากมิใช่เพราะแบบนี้ ผู้ที่มาเยือนเมื่อครู่คงไม่ใช่ ‘เทพหกดารา’ แต่เป็นหุ่นเชิดขั้นสามอีกตัวแล้ว
เผ่าซือกู่ที่มีชื่อในด้านการฝึกฝนและเลี้ยงศพนั้นมีประวัติยาวนานเป็นพันปี แล้วเหตุใดจึงจะมีมนุษย์ศพเหนือสามัญเพียงตัวเดียวกันเล่า มนุษย์ศพขั้นสามที่ทิ้งไว้ในเผ่านั้นไม่ใช่สายจอมยุทธ์ แต่เป็นศพของผู้แข็งแกร่งในเผ่าพันธุ์ปีศาจ
เป็นเช่นดังว่า เมื่อดูจากความโกรธแค้นของเผ่าซือกู่ที่มีต่อต้าฟ่งแล้ว หากคิดจะทำให้เขาละทิ้งความเกลียดชังในอดีต คงเป็นเรื่องยากมาก...สวี่ชีอันเตรียมใจในเรื่องนี้มานานแล้ว
หลงถูขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเสียงขรึม
“เว่ยเยวียนตายไปแล้ว ความแค้นสังหารบิดาของเจ้าจบสิ้นไปตั้งนานแล้ว โหยวซือ อย่าให้ความคิดหมกมุ่นของเจ้าเพียงคนเดียวมาทำให้เผ่าซือกู่เอาใจออกห่างจากเผ่าพันธุ์กู่เลย”
“ความแค้นสังหารบิดา มิใช่พูดว่าลืมก็ลืมได้ หรือบอกว่าจบก็จะจบได้หรอก” โหยวซือแค่นยิ้ม ดวงตาว่างเปล่ากวาดมองทุกคน
“ผู้ที่เอาใจออกห่างจากเผ่าพันธุ์กู่คือพวกเจ้า หลวนอวี้ เจ้าลืมเรื่องที่ถูกกองทัพต้าฟ่งจับไปเป็นเชลยและผู้คนในเผ่าที่ถูกส่งเข้าสำนักสังคีตแล้วหรือ ป๋าจี้ คนในเผ่าห้าพันคนถูกสังหาร เผ่าตู๋กู่ของเจ้า จนถึงบัดนี้ล้วนเป็นเผ่าที่มีคนน้อยที่สุดแล้ว เจ้าอยากเป็นพันธมิตรกับต้าฟ่ง แล้วเคยคิดว่าคนในเผ่าจะเห็นด้วยหรือไม่ และยังมีลี่กู่ อั้นกู่ ซินกู่ เทียนกู่ ปีนั้นเผ่าของพวกเจ้าตายอยู่ที่ยุทธการด่านซานไห่ไปก็ไม่น้อย ใครกันแน่ที่กำลังเป็นปฏิปักษ์กับเจตจำนงของเผ่าพันธุ์กู่?”
หลวนอวี้และป๋าจี้มีสีหน้าลำบากใจทันที พวกเขาคนหนึ่งโลภในร่างกายของสวี่ชีอัน ส่วนอีกคนโลภในสมุนไพรพิษขั้นสูง ภายในใจพลันบังเกิดความขัดแย้งและลังเลขึ้นมา
คำพูดของโหยวซือเหมือนกับมีดกรีดใจพวกเขา มันทำให้พวกเขาทั้งกังวลและต่อต้าน
เมื่อเทียบกับกองกำลังหลักแล้ว ประชากรของเผ่าพันธุ์กู่น้อยจนน่าสงสาร แต่ทุกคนในเผ่าพันธุ์กู่ล้วนเป็นนักรบ คนในเผ่าแต่ละคนล้วนแต่ฝึกวิชากู่ กำลังต่อสู้ของแต่ละเผ่าก็แข็งแกร่งจนน่ากลัว
สิ่งนี้หมายความว่าพวกผู้นำนั้นไม่เหมือนกับจักรพรรดิของภาคกลางที่สามารถฆ่าคนยึดทรัพย์ตามอำเภอใจกับคนธรรมดาได้
เพราะคนในเผ่าไม่ใช่ลูกแกะ หากผู้นำทรยศคนในเผ่า พวกเขาก็จะไปขอความช่วยเหลือเผ่าอื่นๆ เพื่อล้มล้างผู้นำคนนั้นได้ หรือไม่ก็ขับไล่ออกจากซินเจียงตอนใต้แล้วให้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่น
“การผนึกเทพเจ้ากู่เป็นเรื่องใหญ่ของเผ่าพันธุ์กู่ อยู่เหนือบุญคุณความแค้นของคนเพียงคนเดียว”
ปรมาจารย์ซินกู่ฉุนเยียนเอ่ยเสียงเรียบ
เพียงประโยคนี้ก็หยุดความแข็งกร้าวของโหยวซือไปได้ และทำให้เขาเงียบไปชั่วขณะ
ผู้หญิงคนนี้เฉลียวฉลาด สมกับเป็นปรมาจารย์ซินกู่…สวี่ชีอันเหลือบมองนางแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
โหยวซือเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“ได้ ละทิ้งบุญคุณความแค้นไป พูดถึงแค่เรื่องการผนึกเทพเจ้ากู่ การเป็นพันธมิตรกับเทพเจ้ากู่ก็สามารถผนึกเทพเจ้ากู่ได้เช่นกัน อีกทั้งสถานการณ์ของต้าฟ่ง ทุกคนคงจะเข้าใจกันแล้ว เช่นนั้นเหตุใดจึงเดิมพันทางฝั่งผู้ที่อ่อนแออย่างเห็นได้ชัดเล่า อีกอย่าง หากเลือกเป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว คนในเผ่ามีแต่จะยินดีปรีดา ตื่นเต้นจนเลือดร้อน และก็มีแต่จะลับมีดให้คมยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่หากเป็นพันธมิตรกับต้าฟ่งก็ต้องเจอกับการเอาใจออกห่างของคนในเผ่าด้วย”
นอกจากหลงถูแห่งเผ่าลี่กู่แล้ว ผู้นำแต่ละคนก็พากันขมวดคิ้วและเงียบงันไม่พูดจา
ความหวั่นไหวและความลังเลของพวกเขาแทบจะเขียนชัดอยู่บนใบหน้า คำพูดของโหยวซือทั้งเอ่ยถึงเรื่องความเกลียดชังของเผ่าพันธุ์กู่ต่อต้าฟ่ง และชี้ชัดถึงสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยซึ่งพวกเขาต้องเผชิญหากช่วยเหลือต้าฟ่ง
พูดตามตรง แม้จะสลัดความเกลียดชังทิ้งไป แต่เพียงแค่ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียดู หากสถานการณ์ในต้าฟ่งเลวร้ายแบบที่เก่อเหวินเซวียนบอกมาจริงๆ การที่เจ้าแห่งอวิ๋นโจวซึ่งมีสำนักพุทธคอยช่วยเหลือจะล้มล้างราชสำนักต้าฟ่ง ก็มีความเป็นไปได้มากขึ้น
ยิ่งบวกกับความเห็นที่เอนเอียงไปส่วนใหญ่ เช่นนั้นก็แทบจะแน่นอนได้เลย
หลงถูเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยเตือนพวกเขา
“พวกเจ้าอย่าลืมสถานการณ์ของตัวเอง หากมิใช่เพราะสวี่ชีอันออมมือ พวกเจ้าก็คงตายไปนานแล้ว”
โหยวซือเหลือบมองสวี่ชีอันแล้วยิ้มเย็น
“อ้อ ข้าลืมไป ตอนนี้พวกเจ้าเป็นเชลยของเขา ทำได้แค่ตอบรับ ไม่อาจปฏิเสธ”
ผู้นำแต่ละคนมองไปยังสวี่ชีอันแล้วพากันขมวดคิ้ว
สมองของเผ่าลี่กู่นี่ไม่มีให้ใช้จริงๆ…สวี่ชีอันถอนหายใจอยู่ในใจ
ที่เขาออมมือและยอมนั่งลงพูดคุยกับผู้นำทุกคนไม่ใช่เพราะต้องการตอบแทนความแค้นด้วยความดีจริงๆ หรอก แต่เพราะต้องการให้พวกเขายกเลิกการเป็นพันธมิตรกับกองทัพกบฏอวิ๋นโจว ดังนั้น ‘น้ำใจ’ นี้จึงเป็นบันไดขั้นหนึ่ง
เพื่อทำให้เหล่าผู้นำยินดีนั่งลงพูดคุยต่อรองกันเท่านั้น
และในฉากสุดท้าย เขาก็จะหยิบยกผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกันออกมา เผ่าพันธุ์กู่รับปากว่าจะไม่เป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว และส่งกำลังมาช่วยเหลือต้าฟ่ง ไม่ใช่เพราะว่าสวี่ชีอันไม่สังหารพวกเขา
หากนี่เป็นการขู่กรรโชก ก็สามารถใช้เหตุผลที่ว่า ‘ชีวิตของพวกเจ้าอยู่ในกำมือข้าออกมาได้’
หากอยากให้เผ่าพันธุ์กู่ผูกพันธมิตรกับต้าฟ่งด้วยความจริงใจ เหตุผลนี้ก็จะหยิบยกออกมาไม่ได้ การข่มขู่เช่นนี้ใช้ได้กับงานที่ทำเพียงครั้งเดียวจบเท่านั้น หากนำมาใช้กับการผูกพันธมิตร ไม่แน่คนอื่นเขาอาจจะไปร่วมมือกับอวิ๋นโจวแบบลับๆ แล้วหันกลับมาแทงข้างหลังเจ้าก็เป็นได้
โหยวซือเหลือบมองหลงถู ดวงตาว่างเปล่าตายด้านไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ตัวจริงของเขาย่อมมีความเย้ยหยันและยิ้มเยาะอยู่เต็มหน้าแน่นอน
แค่ชี้นำธรรมดาๆ ก็ทำให้เผ่าลี่กู่จอมโง่เขลาติดกับแล้ว
สวี่ชีอันสมองแล่นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็คิดถึงความเป็นไปได้หลายแบบ ซึ่งรวมถึงการกำจัดปัญหาให้สิ้นซาก
ด้วยสภาพในตอนนี้ อั้นกู่เขาสังหารไม่ได้แน่ หนีเร็วเกินไป ซินกู่ ตู๋กู่ ฉิงกู่ ผู้นำของสามเผ่านี้พอจะสังหารได้อยู่ แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ เผ่าลี่กู่คงจะสู้ตายกับข้าแน่…เช่นเดียวกัน ข้าก็ไม่อยากเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่หรอก ถ้าเป็นเช่นนั้น เผ่าพันธุ์กู่คงถูกผลักไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามโดยสมบูรณ์ อีกอย่าง แม่ย่าเทียนกู่ก็ไม่ได้เอ่ยปากอะไรมาโดยตลอด จะสงบเกินไปแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง