“นี่คือ…”
โหยวซือถามสองคำนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว ภายในใจของเขากำลังต่อต้าน ไม่อยากตกหลุมพรางของสวี่ชีอัน
แต่เมื่อเขาเห็น’ศพโบราณศพนี้ดวงตาของเขาควบคุมไม่ได้ อารมณ์ของเขายากที่จะสงบลง ความปรารถนาของเขาดุจดังกระแสน้ำพลังมหาศาลที่โหมซัดสาดสติสัมปชัญญะของเขาจนพังทลาย
มันสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง ศพศพนี้สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง มันเป็นศพที่สมบูรณ์แบบกว่าศพใดๆ ที่เขาเคยเห็นมา และดึงดูดใจมากกว่าหุ่นกระบอกใดๆ ในเผ่าซือกู่ ถึงแม้ว่ามองดูแล้วมันจะชำรุดทรุดโทรมอย่างมาก
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่พูดยิ้มๆ ว่า
“หากหัวหน้าโหยวซือสนใจ ลองเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ได้”
“หึ ข้าไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย” โหยวซือตอบแบบปากแข็ง ปีกทั้งสองข้างกระพืออย่างระมัดระวัง ร่อนลงข้างๆ โลงศพ
จ้องมองไปที่ศพโบราณเป็นเวลานานโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว กรงเล็บทั้งสองข้างขยับไปมา เดินวนดูรอบๆ โลงศพหนึ่งรอบอย่างใจจดใจจ่อจังหวะก้าวของมันช้ามากๆ ราวกับนักสะสมของเก่ากำลังชื่นชมโบราณวัตถุยุคโบราณที่ล้ำค่า
ทันใดนั้นโหยวซือก็ร้อง “เอ๊ะ” แล้วก็จิกที่ใบหน้าของศพโบราณอย่างแรง
จะงอยปากเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ เห็นได้ชัว่าได้ใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำลายศพโบราณได้ และไม่มีเสียงกระทบกันของโลหะดังออกมา
โหยวซือเงยหน้าขึ้นอย่างแรง มองไปที่สวี่ชีอัน อยากจะพูดแต่ก็เงียบไปชั่วขณะ แต่ก็ยังคงทนไม่ไหว จึงถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า
“นี่ไม่เหมือนศพของทหาร แต่ความทนทานและความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นมีมากกว่าศพเดินได้ขั้นสามของข้า”
สวี่ชีอันพูดยิ้มๆ ว่า
“ผู้เชี่ยวชาญนี่นา ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ศพของทหาร ศพนี้เป็นซากศพของผู้กล้าแห่งลัทธิเต๋าท่านหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน เขาเป็นสุดยอดของขั้นสอง หลังจากล้มเหลวในการหนีเคราะห์กรรม ก็ได้ผลัดร่างเก่า กลายเป็นศพนี้”
ความจริงสุดยอดของขั้นสองเป็นการประเมินแบบรอบคอบมาก
น้ำเสียงของโหยวซือมีความทุ้มเล็กน้อย “สุดยอดของขั้นสอง เจ้าแน่ใจว่าเป็นสุดยอดของขั้นสอง?”
ขณะที่ถาม ปีกทั้งสองข้างของเขากระพือหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว เหมือนเป็นการเน้นน้ำเสียงให้หนักแน่น
“เทพเจ้าหยางขั้นสามไม่มีร่างกายที่แข็งแกร่งและเป็นอมตะเช่นนี้” สวี่ชีอันพูดยิ้มๆ
โหยวซือหมดหนทางโต้แย้ง เทพเจ้าหยางของลัทธิเต๋าไม่มีร่างกายแบบนี้จริงๆ และเมื่อครู่เขาได้ทดสอบด้วยตนเอง นี่ไม่ใช่ร่างกายของทหารจริงๆ
“ทำไมเขาจึงถูกทำลายขนาดนี้?”
โหยวซือพยายามทำให้น้ำเสียงสงบอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้สวี่ชีอันฟังออกว่าเสียใจและอยากได้ศพศพนี้ขนาดไหน
เจ้าต้องรู้ว่ามันเคยเกิดสติปัญญา อาจจะบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น…สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจเล่าเรื่องราวให้โหยวซือฟัง แบบนี้สามารถเพิ่มเงื่อนไข ทำให้อีกฝ่ายยิ่งหมดหนทางที่จะปฏิเสธ
“เรื่องนี้พูดแล้วมันยาว ศพนี้เคยเกิดสติปัญญามาก่อน มีจิตสำนึกเป็นของตนเอง ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตปกติ ข้าปิดผนึกมันไว้ในสุสานที่พบมัน หลังจากนั้นเป็นเวลานาน ได้กลับมาที่สุสานโดยบังเอิญ จึงพบว่าร่างกายของเขาถูกทำลาย น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง”
ทุกคนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ร่างกายของนกยักษ์แข็งทื่อ และไม่ได้ขยับเขยื้อนเป็นเวลานาน
“เจ้าหลอกข้า! เจ้าหลอกข้า! เจ้าหลอกข้า!”
โหยวซือวู่วามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตะคอกเสียงดัง
ในฐานะที่เป็นกลุ่มควบคุมศพมืออาชีพ เป้าหมายทางความรู้สูงสุดของเผ่าซือกู่ก็คือจะทำอย่างไรให้ “ฟื้นคืนชีพ”
สิ่งนี้ไม่เหมือนกับการที่ผู้กล้าจิตเดิมยึดครองศพ การกระทำเช่นนี้เรียกว่าการเคลื่อนย้ายวิญญาณไปยังศพ การเข้าสิง และสิ่งที่ปรมาจารย์ซือกู่ต้องการก็คือการทำให้ศพกลับมามีชีวิต
คนที่ตายไปแล้วจริงๆ ย่อมไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ตายแล้วคืนชีพได้ ก็คือการทำให้ศพเกิดสติปัญญา
แต่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นี้ หลายพันปีมานี้ เผ่าซือกู่ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย
หลงถูและคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันอย่างหมดปัญญา สีหน้าประหลาด โดยเฉพาะหลวนอวี้และฉุนเยียน ในแววตาของสาวงามทั้งสองมีแววรังเกียจผ่านเข้ามาแวบหนึ่ง
เพราะพวกนางคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง
บรรดาผู้อาวุโสของเผ่าซือกู่เคยคาดการณ์ไว้ว่า วิญญาณที่ได้รับความเสียหายที่เหลืออยู่ในร่างกายของศพเดินได้ หากเพาะเลี้ยงได้อย่างเหมาะสม ก็จะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นจิตเดิมได้อย่างแท้จริง ศพก็จะเกิดสติปัญญา
จากนั้นก็จะฟื้นคืนชีพและเกิดใหม่
วิญญาณที่ได้รับความเสียหายที่ไม่มีปณิธานเป็นของตนเองจะแปรเปลี่ยนเป็นจิตเดิมอย่างแท้จริงได้อย่างไร? มันน่าขันและไร้สาระเช่นเดียวกับมนุษย์ ที่สร้างร่างกายโดยตรงโดยไม่ได้ผ่านการตั้งครรภ์สิบเดือนนั่นแหละ
ในมุมมองของผู้คนหกชนเผ่านี้ นี่เป็นการหาข้ออ้างคนของเผ่าซือกู่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวเองกับความพิกลพิการของศพ ยัดเยียดนำศพเดินได้มาเปรียบกับคน
เมื่อสบตาที่ที่เต็มไปคำถามของโหยวซือ สวี่ชีอันทำเหมือนทบทวนความหลังเล็กน้อย แล้วพูดว่า
“มันเคยบอกข้าว่า ตอนที่นักพรตคนนั้นผลัดร่างเก่า มีวิญญาณที่ได้รับความเสียหายส่วนหนึ่งเหลืออยู่ในนั้น วิญญาณที่ได้รับความเสียหายส่วนนี้ได้รับการซ่อมแซมโดยวิธีการพิเศษของนักพรต จนกลายเป็นจิตเดิมที่สมบูรณ์”
ผู้นำทุกคนฟังแล้วต่างตกตะลึง หันไปมองโหยวซือด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ ต่างก็พบว่าเขาตกใจด้วยความหวาดกลัวอยู่ตั้งนานแล้ว
“เป็นจริงดั่งคาดจริงๆ ด้วย เป็นจริงดั่งคาดจริงๆ ด้วย เหล่าบรรพชนคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด มีวิธีการทำให้ศพ “ฟื้นคืนชีพ” จริงๆ ด้วย เป็นแบบอย่างที่มีมาก่อนจริงๆ นี่ไม่ใช่การเพ้อฝันที่เลื่อนลอยจริงๆ…”
โหยวซือยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น ท้ายที่สุด ปีกทั้งสองข้างก็กระพือไม่หยุด เหมือนคนกำลังเต้นแร้งเต้นกา
สวี่ชีอันรออยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งผู้นำของเผ่าซือกู่คนนี้เริ่มสงบลง จึงพูดต่อว่า
“ถ้าเช่นนั้น ศพโบราณศพนี้สามารถแลกเปลี่ยนกับการที่เจ้าไม่เป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจวได้หรือไม่?”
หลงถูและคนอื่นๆ จ้องมองนกยักษ์โดยพร้อมเพรียงกัน
…โหยวซือนึกถึงคำพูดที่ตนเองได้สาบานไว้อย่างจริงใจเมื่อครู่ ก็นิ่งไปชั่วขณะ
สุดท้ายความปรารถนาที่มีต่อศพโบราณก็อยู่เหนือความอัปยศและศักดิ์ศรี จึงกระแอม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“หลงถูพูดถูก เว่ยเยวียนตายไปแล้ว ความแค้นนี้ก็สิ้นสุดลงด้วย ข้าไม่ควรปล่อยให้คนในเผ่าต้องตายเปล่า เพราะความถือทิฐิส่วนตัวของข้า สำหรับศพโบราณศพนี้ คำพูดของเจ้าเพียงด้านเดียว ข้าจะไม่เชื่อง่ายๆ แต่ในเมื่อเจ้าได้เกลี้ยกล่อมเผ่าอื่นๆ หกเผ่าแล้ว อืม ข้าก็จะยอมฝืนใจรับปากก็แล้วกัน…”
สวี่ชีอันยิ้มและพูดว่า “ดีแล้ว”
เขาพูดพร้อมกับปิดฝาโลงศพ แล้วเก็บโลงศพกลับเข้าไปในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
“นี่ เจ้า…” โหยวซือตะโกน พยายามระงับไฟแห่งความโกรธ พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่เป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว เจ้าไม่ได้ยิน?”
“ข้าได้ยินแล้ว” รอยยิ้มของสวี่ชีอันยังคงเหมือนเดิม
“ข้าบอกว่าจะมอบศพโบราณนี้ให้กับเจ้า ก็ต้องมอบให้เจ้าอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เมื่อสงครามในภาคกลางสิ้นสุดลง ข้าจะทำตามคำสัญญา”
โหยวซือจะรับปากได้อย่างไร ไม่ได้เห็นศพโบราณศพนี้ก็ยังพอรับได้ แต่ในเมื่อได้เห็นแล้ว เขาก็จะไม่ยอมให้ตัวเองสูญเสียมันไป ใครจะยอมสูญเสียสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบมาตลอดชีวิตกันเล่า!
“ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าจะทำตามคำมั่นสัญญา” เขายิ้มหยันพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
สวี่ชีอันก็ยิ้มหยันตอบเช่นกัน
“แล้วทำไมข้าถึงต้องเชื่อเจ้า ถ้าต่อไปเจ้าบิดพลิ้ว แอบเป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว แล้วข้าจะทำอย่างไร?”
โหยวซือมีนิสัยแข็งกร้าว และไม่ประนีประนอม พูดแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันว่า
“ทิ้งศพไว้ หรือไม่ก็ตัดความสัมพันธ์กันอย่างเด็ดขาด”
“ลาก่อน!”
สวี่ชีอันหันหลังเดินจากไป พร้อมกับนับ สาม สอง หนึ่ง อยู่ในใจ…
สวี่ชีอันซึ่งเป็นปรมาจารย์ซือกู่เช่นเดียวกัน จึงมั่นใจอย่างยิ่งว่า โหยวซือไม่มีทางปฏิเสธตัวเอง ก็เหมือนกับที่เขาไม่มีทางปฏิเสธท่านน้า
“ช้าก่อน!”
โหยวซือตะโกนออกมาเบาๆ กางปีกออกอย่างร้อนใจ เมื่อสวี่ชีอันหยุดเดินและหันกลับมา เขารีบหุบปีกทันที หันหัวนกมองไปทางหนึ่ง
“คืนศพเดินได้ขั้นสามศพนี้ให้ข้า นอกจากนี้ เจ้าจะต้องเขียนหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ท่ามกลางพี่น้องร่วมเผ่าทุกคนที่เป็น…ประจักษ์พยาน”
สวี่ชีอันหยิบอุปกรณ์ออกมา เขียนหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรฉบับหนึ่ง ท่ามกลางแม่ย่าแห่งเทียนกู่และคนอื่นๆ ที่เป็นประจักษ์พยานให้เขาทันที พร้อมกับประทับลายนิ้วมือ
“เก็บให้ดี ชาวภาคกลางต่างรู้กันว่าฆ้องเงินคนนี้เป็นคนรักษาคำมั่นสัญญา”
สวี่ชีอันเป่าหมึกจนแห้ง แล้วพับกระดาษ หนีบไว้ที่ปลายนิ้วส่งให้
นกยักษ์ทำน้ำเสียงไม่พอใจ “แล้วข้าจะมารับศพเดินได้ที่เผ่าลี่กู่”
หลังจากพูดจบ มันก็ชะโงกหัวมาอย่างระมัดระวัง คาบกระดาษไป แล้วกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
นกยักษ์บินอย่างช้าๆ ประวิงเวลา และมั่นคง ราวกับกลัวว่าจะบินเร็วเกินไป แล้วลมจะพัดหลักฐานในปากจนขาด
เฮ้ ไม่แก้แค้นพ่อที่ถูกสังหารแล้วหรือ? สวี่ชีอันมองที่ด้านหลังของนกยักษ์ที่บินสูง แอบตะโกนอยู่ภายในใจ
หลังจากการเจรจาต่อรองสิ้นสุดลง นี่จึงเป็นการรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งอย่างแท้จริง …เขาถอนสายตากลับ กวาดตามองหลวนอวี้และฉุนเยียน ยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า
“นี่เป็นการรักษาอาการบาดเจ็บให้พี่สาวทั้งสอง”
เขานำเจดีย์พุทธะออกมา ปล่อยให้ม่านลวงตาของร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถลอยอยู่บนยอดเจดีย์
เมื่อครู่หลวนอวี้และฉุนเยียนได้เปิดหูเปิดตาเห็นเจดีย์พุทธะซ่อมแซมร่างของศพเดินได้ที่ไม่สมประกอบ มีความรู้สึกทั้งแปลกใจและประหลาดใจ ต่อของวิเศษของพระโพธิสัตว์ในตำนาน
ขวดหยกสาดรัศมีที่เหมือนเศษทองคำลงมา ดุจดังสายฝนในฤดูใบไม้ผลิกำลังปกคลุมพวกนาง
ความเจ็บปวดจากการที่กระดูกหักค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือความเย็นชุ่มฉ่ำที่เข้าไปถึงหัวใจ
หลวนอวี้กางแขนทั้งสองข้างออก เยื้องกรายหมุนตัวไปรอบๆ กระโปรงยาวบานสะพรั่งเหมือนดอกไม้บาน นางกลายเป็นหญิงสาวพราวเสน่ห์ผู้งดงามอีกครั้ง พูดพร้อมรอยยิ้มละไม
“มีสิ่งที่คอยปกป้องเช่นนี้แล้ว ข้าน้อยก็ไม่กลัวความดุร้ายบนเตียงของฆ้องเงินสวี่แล้ว”
นางยอมรับความแตกต่างด้านพละกำลังของทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริงแล้ว มีของวิเศษที่มหัศจรรย์เช่นนี้ ฝ่ายตนเองไม่มีทางชนะเขาได้เลย และเมื่อครู่เขาได้ยั้งมือแล้วจริงๆ
ฉุนเยียนพยักหน้าอย่างสำรวม แสดงความขอบคุณ
เจ้าเตรียมพร้อมรับความเจ็บปวดแล้วหรือยัง?…สวี่ชีอันมองหญิงสาวพราวเสน่ห์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็หันไปตอบรับฉุนเยียน
ตอนนี้ ในที่สุดสวี่ชีอันก็มีเวลาที่จะจัดการกับเรื่องอื่นแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง