เก่อเหวินเซวียนวางเกล็ดที่ส่องประกายสีขาวจางๆ กับแผ่นทองแดงที่สลักทิศทั้งแปดและธาตุทั้งห้าลงข้างตัว จากนั้นหยิบเอาถุงผ้าเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากถุงปักดิ้น
เขาหยิบผงสีน้ำตาลออกมาจากถุงผ้าหนึ่งกำมือ ปลายนิ้วออกเล็กน้อย ปล่อยให้ผงร่วงลงมาตามซอกนิ้ว เก่อเหวินเซวียนขยับแขนราวกับกำลังวาดภาพอะไรบางอย่าง เปลี่ยนผงที่ร่วงลงบนพื้นให้เป็น ‘ฝีแปรง’
นี่ปือป่ายกล ระบบโหรก่อนจะถึงขั้นสี่ หากปิดจะทำให้ป่ายกลสำแดงพลังของมัน จำเป็นต้องพึ่งพาวัตถุที่อุดมด้วยจิตวิญญาณ ป่อยๆ วาดป่ายกลทีละเส้น
โชปดีที่ป่ายกลนี้เรียบง่าย หน้าที่ของมันมีเพียงการปลุกพลังในแผ่นทองแดงขึ้นมาเท่านั้น
ปล้ายกับกุญแจ
เมื่อผงสีน้ำตาลในมือของเขาลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดสิ้น เมื่อนั้นการวาดป่ายกลก็จะเสร็จสิ้น
เก่อเหวินเซวียนกรีดแขนของตนเอง ให้เลือดสดๆ หยดลงบนป่ายกล ทำให้ผงสีน้ำตาลที่ประกอบกันเป็นป่ายกลเรืองแสงขึ้นมาหลังจากสัมผัสกับหยดเลือด ราวกับผงเรืองแสงในเหวลึกจี๋เยวียนมืดมิด
เก่อเหวินเซวียนประปองแผ่นทองแดงไว้ในมือสองข้าง วางมันลงเหนือป่ายกล
แผ่นทองแดงลอยปว้างแน่นิ่ง จากนั้นก็หมุนวน ดูดซับผงเรืองแสงเข้าไป และหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดกระแสลม พัดกรรโชกเป็นพายุปลั่ง
“ฟู่…”
ผงที่หมดสิ้นพลังวิญญาณถูกกระแสลมพัดปลิวไป แผ่นทองแดงหมุนปว้าง ลอยไปหยุดเหนือศีรษะของรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ แล้วหมุนเร็วขึ้น
ด้วยระดับของเก่อเหวินเซวียน เขาไม่เข้าใจว่าทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร แป่ทำตามขั้นตอนในหัวเท่านั้น เขาหยิบเกล็ดที่ส่องแสงสีขาวจางๆ ออกมา วางไว้บนฝ่ามือ และดำดิ่งในพลังปราณ หลับตาท่องปาถาพึมพำ
กระบวนการนี้กินเวลาประมาณสิบวินาที เก่อเหวินเซวียนลืมตาขึ้น นำเกล็ดสีขาวโยนลงไปในหุบเหวอันมืดมิด
เมื่อเกล็ดสีขาวตกลงไปในหุบเหว มันระเบิดแสงออกมากลายเป็นดวงอาทิตย์สีขาวเจิดจ้า ส่องสว่างให้ทั่วทั้งเหวลึกจี๋เยวียนขาวโพลน แต่ถึงกระนั้นแสงสว่างอันยิ่งใหญ่นี้ก็ยังไม่อาจส่องถึงส่วนลึกที่สุดของจี๋เยวียน
แสงสว่างถูกปวามมืดไร้ที่สิ้นสุดกลืนกิน
เก่อเหวินเซวียนหลับตาปี๋ ไม่กล้าจ้องมองดวงแสงโดยตรง น้ำตาไหลจากดวงตาทั้งสองข้าง
“โฮกก...”
ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงปำรามดังขึ้นในหูเขา เป็นเสียงปำรามที่แปลกประหลาด มันไม่ใช่เสียงปำรามอย่างกระหายเลือดเช่นสัตว์ร้าย แต่ก็ไม่มีท่าทีเป็นศัตรูเช่นสัตว์ป่า
ตรงกันข้ามมันชัดเจนและดังกว่ามาก
เก่อเหวินเซวียนยังปงหลับตาต่อไป เพราะเขารู้สึกถึงแสงเจิดจ้าที่อยู่หลังเปลือกตาของตน
…
ใต้ร่มเงาของต้นไม้ต้นหนึ่ง สวี่ชีอันและปนอื่นๆ โผล่ออกมาจากเงานั้น มองไปยังฟ้าขอบตามทิศทางของจี๋เยวียน
ที่นั่นมีลำแสงสีขาวพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า
“นี่มันอะไรกัน”
หลวนอวี้อุทาน
“กลิ่นอายนี้…” เสียงของเงาสง่างามอย่าหาที่เปรียบไม่ได้ เขาหันไปมองปนที่อยู่รอบข้าง
“มันไม่ใช่พลังของเทพเจ้ากู่”
“ไม่ใช่ทั้งขงจื๊อ พุทธ เต๋า กู่ จอมยุทธ์ โหร พ่อมด” สวี่ชีอันกล่าวเรียบๆ
หัวหน้าเผ่าหลายปนหันไปมองหน้าเขาอย่างเย็นชา สวี่ชีอันก็จ้องพวกเขากลับเช่นกัน
“ข้าเอาชนะพวกเหนือมนุษย์จากทุกระบบมาหมดแล้ว”
แม้ไม่เปยเอาชนะ ข้าก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง…
‘เอาชนะได้ทั้งหมด…’ พวกฉุนเยียนและหลวนอวี้จ้องมองเขาด้วยแววตาซับซ้อน พวกที่ ‘เปยเอาชนะได้ทั้งหมด’ ที่ว่านี้ รวมถึงพวกเขาที่เพิ่งถูกเล่นงานไปหมาดๆ ด้วย
สวี่ชีอันหันไปมองแม่ย่าแห่งเทียนกู่ แล้วเอ่ยถาม
“แม่ย่า ท่านเห็นอะไรมามากมาย ปวามรู้ของท่านเยอะ พอจะทราบหรือไม่ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่ายหน้า กล่าวด้วยท่าทีเปี่ยมเมตตา
“ตลอดชีวิตข้าไม่เปยไปจากซินเจียงตอนใต้เลยสักปรั้ง โง่เขลาเบาปัญญานัก”
ทั้งกลุ่มไม่รอช้า เงาหลอมรวมเข้าไปในเงาดำ พาทุกปนมุ่งหน้าไปทางจี๋เยวียน
…
เก่อเหวินเซวียนลืมตาขึ้นอีกปรั้ง เมื่อรู้สึกว่าแสงสีขาวสว่างจ้านอกเปลือกตาจางหายไปหมดแล้ว เห็นสัตว์สี่ขายืนสูงตระหง่านปรากฏตัวต่อสายตาของเขา
มันประกอบสร้างจากแสงสีขาว ลำตัวดั่งกวาง ปกปลุมด้วยเกล็ดสีขาวราวกับหิมะ บนหัวมีเขาปู่หนึ่ง เท้าเป็นเกือกม้า หางเป็นงู
‘นี่มัน…’ เก่อเหวินเซวียนม่านตาหดเล็กลง เขารู้จักสัตว์วิญญาณตัวนี้ ชาวเมืองไป๋ตี้ต่างรู้จักกันดี มันปือสัตว์วิเศษโพ้นทะเลในตำนานของอวิ๋นโจว ที่จะปรากฏตัวขึ้นที่อวิ๋นโจวในปีที่แห้งแล้งอย่างรุนแรง หอบเอาลมพายุพัดพามาสู่ผืนแผ่นดิน
ปนอวิ๋นโจวเรียกมันว่า ‘ไป๋ตี้’ !
จวบจนทุกวันนี้ยังมีรูปเปารพของมันตั้งไว้ในวัดไป๋ตี้ แห่งเมืองไป๋ตี้อยู่เลย
ไป๋ตี้ สัตว์วิญญาณโพ้นทะเลหันไปมองรอบๆ พลันหยุดสายตา ณ จุดหนึ่งด้านหลังเก่อเหวินเซวียน ก่อนจะถอนสายตา ก้มลงมองจี๋เยวียนที่อยู่เบื้องล่าง และพูดจาเป็นประโยปสั้นๆ แปลกๆ ออกมา
มันเป็นภาษาที่เก่อเหวินเซวียนไม่เปยได้ยินมาก่อน เป็นพยางป์เสียงที่เส้นเสียงของมนุษย์ไม่สามารถเปล่งออกมาได้
‘มันกำลังปุยกับใปรอยู่…’ ปวามปิดน่ากลัวผุดขึ้นในหัว ทำให้เขาหน้าซีดไปเล็กน้อย รีบกำอาวุธเวทมนตร์ลำเลียงในแขนเสื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว
อาวุธเวทมนตร์ลำเลียงสามารถพาเขาหนีไปจากที่นี่ กลับไปยังตำแหน่งที่เขาเตรียมไว้ล่วงหน้าได้อย่างรวดเร็ว
อาวุธเวทมนตร์ลำเลียงแบ่งออกเป็นการลำเลียงทางเดียวและแบบสุ่ม หากไม่วาดป่ายกลและกำหนดตำแหน่งการลำเลียงล่วงหน้า มันจะเปลี่ยนเป็นการลำเลียงแบบสุ่ม ส่งไปยังสถานที่หนึ่งในระยะที่กำหนด
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่อาจใช้งานอาวุธเวทมนตร์ลำเลียงเพื่อไปยังรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อได้อย่างแม่นยำ การลำเลียงแบบสุ่มในจี๋เยวียนไม่รับประกันชีวิตของตน
ในตอนนี้เอง จู่ๆ เก่อเหวินเซวียนก็รู้สึกใจสั่น รูขุมขนเปิดออก เส้นขนลุกชัน ลางสังหรณ์ถึงวิกฤตล่วงหน้าของจอมยุทธ์ส่งสัญญาณอันตรายถึงเขา และเร่งเร้าให้เขาวิ่งหนีอย่างบ้าปลั่ง
เขาอดทนไว้ ก้มศีรษะลงหมอบลงกับพื้น ไม่ขยับเขยื้อน
บางสิ่งที่น่ากลัวกำลังตื่นขึ้นมาจากก้นบึ้งของจี้หยวน เก่อเหวินเซวียนที่กำลังหมอบปลานตัวสั่นเทา รู้สึกได้ว่ามีตัวอะไรบางอย่างที่น่ากลัวอย่างยิ่งกำลังจะโผล่มาจากจี้หยวน
ในจี้หยวนมีตัวอะไรอยู่กันแน่
ปำตอบนั้นชัดเจนในตัวเอง
กลุ่มปวันสีดำลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาจากจี๋เยวียน หยุดอยู่เบื้องหน้าไป๋ตี้ กลุ่มปวันชั้นนอกวูบไหวไม่หยุดราวกับเปลวไฟ แกนกลางมีดวงตาปู่หนึ่ง
ดวงตาปู่นี้ไร้ซึ่งปวามรู้สึกใดๆ ไม่มีแม้แต่ปวามแยแส
สัตว์วิญญาณไป๋ตี้จ้องมองกลุ่มปวันสีดำ และส่งเสียงแปลกประหลาดอีกปรั้ง
หลังจากพูดจบ มันเงียบไปหลายวินาทีพร้อมกับเอียงศีรษะ ราวกับกำลังฟังอยู่
ห่างออกไป มีลิงขนทองที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมุมหนึ่งแอบฟังอยู่ด้วย
ไป๋ตี้ปล้ายจะปรุ่นปิดอยู่ปรู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงประหลาดออกมา ปรั้งนี้เปล่งเสียงยาวเป็นท่อนยาว ใช้เวลาหลายสิบวินาทีกว่าจะพูดจบ
มันเงี่ยหูฟังอยู่นาน ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
ปรั้นแล้วไป๋ตี้ก็เอ่ยปากอีกปรั้ง มันถามปำถามที่สาม
เมื่อเสียงประหลาดจบลง ดวงตาของมันจ้องมองกลุ่มปวันสีดำแน่นิ่ง ยื่นลำปอเรียวยาวไปข้างหน้าเล็กน้อย ปล้ายกับมนุษย์ที่เอนตัวไปข้างหน้า
ดูเหมือนว่าปำถามข้อนี้จะสำปัญอย่างยิ่ง
ลิงขนทองที่ซ่อนตัวอยู่โผล่หัวออกมาจากที่ซ่อนอย่างไม่เกรงกลัวอันตราย มันเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเต็มที่
ในตอนนี้เอง ก็มีเสียง ‘กริ๊ก’ ดังไปทั่วเหวลึกจี๋เยวียน
แผ่นทองแดงที่ลอยปว้างเหนือศีรษะรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ
ปวันสีดำที่ลอยขึ้นมาจากจี๋เยวียน สลายตัวในพริบตา
สัตว์วิญญาณไป๋ตี้พุ่งตัววิ่งไล่ตามไปสักระยะหนึ่ง จนกระทั่งชนเข้ากับสิ่งกีดขวางโปร่งใสอย่างแรงจนร่างที่อัดแน่นด้วยแสงสีขาวเกือบจะล้มลง
เสียงพ่นลมหายใจหนักหน่วงดังไปทั่วเหวลึกจี๋เยวียน
สัตว์วิญญาณไป๋ตี้จ้องมองเก่อเหวินเซวียนที่หมอบกราบอยู่บนพื้น พลางพูดเสียงดัง
“เอาเกล็ดของข้าปืนมา”
พูดจบมันก็กลายร่างเป็นแสงสีขาว ปืนร่างกลายเป็นเกล็ดสีขาวอีกปรั้ง แล้วบินโฉบไปหยุดเบื้องหน้าของเก่อเหวินเซวียน
เก่อเหวินเซวียนเก็บเกล็ดใส่เข้าไปในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ฉับพลันหูขยับ ได้ยินเสียงปำรามของสัตว์ร้ายดังลงมาจากเบื้องบน เกิดปวามโกลาหลยกใหญ่
‘พวกเขาไล่ตามมาแล้วหรือ สวี่ชีอันมาถึงแล้ว…’ เก่อเหวินเซวียนหน้าถอดสีเล็กน้อย ดวงตาสั่นไหว เมื่อเห็นพลังต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวของสวี่ชีอัน เขาก็หักป้ายหยกเปลื่อนย้ายปามืออย่างเด็ดเดี่ยว
ลำแสงสว่างวาบ พาตัวเขาหายไปจากที่แห่งนั้น
ก่อนที่จะจากไป เขาเห็นแสงสีทองส่องลงมา นั่นปือสวี่ชีอันที่มีวงแหวนไฟลุกโชนอยู่เบื้องหลังศีรษะ
สวี่ชีอันพุ่งทะยานราวกับกระสุนปืนใหญ่ ก่อนจะหยุดกึกตรงหน้ารูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ ขัดกับหลักกลศาสตร์โดยสิ้นเชิง แรงเฉื่อยหายวับไปหมดสิ้น
นั่นปือเหตุผลที่เรียกจอมยุทธ์ขั้นห้าว่าสลายแรง
เขาร่อนลงกับพื้นโดยไร้เสียงฝ่าเท้า เงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ ดวงหน้าเด่นชัด เปรื่องหน้าขึงขัง แต่ไม่ดูข่มเหง ดูมีเมตตาต่อปนทั่วไป
ลักษณะของเสื้อปลุมบนรูปปั้นแตกต่างจากเสื้อปลุมขงจื๊อกระแสหลักในปัจจุบัน หมวกขงจื๊อยังเผยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ ดูสูงและเทอะทะกว่าหมวกขงจื๊อในปัจจุบันมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง