ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 701

บทที่ 701 เด็กหญิงผมขาว

ร่างธรรมสังสารวัฏ ฟื้นจากความตาย? นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปกระมัง…สวี่ชีอันมองด้วยความตกตะลึง เขารู้ว่าสำนักพุทธมีร่างธรรมทั้งเก้า ทั้งยังเคยเห็นอานุภาพความแข็งแกร่งของร่างธรรมเทพอารักษ์ ความน่าทึ่งของร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ ความเฉลียวฉลาดของร่างธรรมแห่งปัญญามาก่อน

แต่ร่างธรรมสังสารวัฏที่อยู่เบื้องหน้าสามารถทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งมันสร้างความตกตะลึงให้เขาเป็นอย่างยิ่ง

‘กึก กึก กึก…’

วงล้อสีทองหมุนอย่างช้าๆ คนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาทีละคน พวกเขาสังเกตมองตนเองและสภาพแวดล้อมด้วยความตกตะลึง

“ข้า ข้าตายแล้วไม่ใช่รึ?”

“ภาพลวงตารึ? ดูเหมือนจะไม่ใช่…”

“นี่เกิดอะไรขึ้น อาซูหลัวผู้สูงส่งและราชาปีศาจนั่นสิ้นชีพแล้วรึ? ใครเป็นคนฆ่า ใช่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหรือไม่?”

เพราะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ มนุษย์และปีศาจที่เพิ่งฟื้นคืนชีพจึงปฏิบัติต่อกันค่อนข้างสงบและไม่ได้ต่อสู้กันในทันที แต่สังเกตมองสภาพแวดล้อมอย่างระแวดระวัง พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า

หลังจากที่สวี่ชีอันสังเกตมองอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง เขาก็ส่งเสียงไปยังจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง “ในดินแดนของร่างธรรมสังสารวัฏ คนตายทุกคนสามารถฟื้นคืนชีพได้ ยกเว้นคนที่ขวัญหายไปแล้วใช่หรือไม่?”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ความสามารถในการสังเกตของเจ้าเฉียบแหลมมาก สมแล้วที่เป็นยอดนักสืบอัจฉริยะ”

ชายน่ารังเกียจคนนี้เกือบจะเข้าใจความสามารถขั้นแรกของร่างธรรมสังสารวัฏแล้ว

“ร่างธรรมสังสารวัฏมีความสามารถหลักอยู่สองประการ สิ่งที่เจ้าเห็นคือหนึ่งในนั้น ส่วนประการที่สองคือ สามารถทำให้มนุษย์สัมผัสกับการเกิดใหม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ตอนนั้นอาซูหลัวถูกท่านแม่ของข้าฆ่าตาย เป็นกว่างเสียนที่ช่วยให้เขากลับชาติมาเกิดอีกครั้งและได้ช่วยชีวิตเขาไว้” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าว

สวี่ชีอันพยักหน้าพลางมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

“ดูเหมือนผู้ที่มาจะเป็นร่างอวตารของกว่างเสียน”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตอบรับ “อืม” ทัั้งสองรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย

ก่อนหน้านี้พวกเขาหารือถึงเหตุผลที่อาซูหลัวปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีที่เมตตา และก็เดาออกด้วยกันสองข้อคือ ความเห็นแก่ตัวของอาซูหลัวและแผนร้ายของสำนักพุทธ

มีความเป็นไปได้ที่อย่างหลังจะเป็นการมาถึงของร่างจริงของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนและพยายามที่จะต้มพวกเขาทั้งหมดในหม้อเดียวกัน

แต่ผู้ที่ออกโรงในตอนนี้คือร่างอวตารของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน เช่นนั้นคำตอบก็ชัดเจนแล้ว

“อาซูหลัวต้องการบรรลุเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อกลายจะเป็นพระโพธิสัตว์และเข้าสู่ขั้นหนึ่งใช่หรือไม่?” สวี่ชีอันกล่าว

“ไม่สามารถขจัดร่างที่แท้จริงของกว่างเสียนได้ในระยะเวลาอันสั้น เจ้าระวังตัวหน่อย เห็นท่าไม่ดีก็ทำตามแผน” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตอบกลับ

ในขณะที่พูด พระโพธิสัตว์กว่างเสียนก็มองร่างและศีรษะของราชันหมีและอาซูหลัวด้วยสายตาเมตตา

ที่นั่นเป็น ‘ดินแดนรกร้าง’ หากเป็นผู้ที่เข้ามาใกล้ก็จะต้องล้มลงกับพื้นและจมสู่ห้วงนิทราทุกราย

“ยังไม่ตื่นอีกรึ?” พระโพธิสัตว์กว่างเสียนกล่าวเสียงเบา

วงล้อรูเล็ตส่งเสียง ‘ตุบ’ ฉายลำแสงส่องไปบนซากกระดูกของอาซูหลัวและราชันหมี

ดวงตาของเหนือมนุษย์ทั้งสองค่อยๆ เปิดขึ้น ทั้งสองยืนขึ้นและประคองศีรษะขึ้นมา ในขณะที่เลือดเนื้อกำลังดิ้นขยุกขยิก ลำคอก็งอกยาวออกมา บาดแผลค่อยๆ ผสานกันจนไม่หลงเหลือร่องรอยแม้แต่น้อย

ราชันหมีหาวฟอดใหญ่พลางบิดร่างที่อ้วนท้วนของเขา ก่อนจะเดินเข้าไปหาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและสวี่ชีอัน

อาซูหลัวเดินกลับไปที่ข้างกายพระโพธิสัตว์กว่างเสียน เขาประสานสองมือเข้าด้วยกันพลางก้มโค้งศีรษะด้วยความเคารพ

ส่วนพระอรหันต์ตู้เอ้อร์อยู่อีกด้านหนึ่ง

“อมิตตาพุทธ ในการต่อสู้เมื่อห้าร้อยปีก่อน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลถูกขจัดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแดนประจิมหรือเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ล้วนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน เหตุใดประสกยังต้องทำสงครามอีก”

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนประสานมือเข้าด้วยกัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเมตตา

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มอย่างมีเสน่ห์

“ที่พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพูดก็มีเหตุผล หากสำนักพุทธคืนภูเขาสือว่านและถอนตัวออกจากซินเจียงตอนใต้ สิ่งมีชีวิตทั้งมวลก็จะไม่ถูกกำจัดอีกอย่างแน่นอน”

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพยักหน้าอย่างไม่คาดคิด

“ข้าสามารถตัดสินใจได้ ข้าจะคืนอาณาเขตภูเขาสือว่านครึ่งหนึ่งและใช้เขาหมื่นปีศาจเป็นอาณาเขต เผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ทางทิศตะวันออก สำนักพุทธอยู่ทางทิศตะวันตก”

หลังจากหยุดชั่วครู่ เขาก็กล่าวเพิ่มเติมว่า “นี่คือการยอมอ่อนข้อครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่สำนักพุทธจะทำได้ ข้าสาบานต่อสวรรค์ได้ ว่าจะไม่ผิดคำพูดอย่างแน่นอน พื้นที่ทางตะวันออกของภูเขาสือว่านนั้นกว้างใหญ่พอที่จะรองรับเผ่าพันธุ์ปีศาจในตอนนี้”

คำพูดของเขาดูเหมือนจะมีพลังทำให้คนศรัทธาและเชื่อถือ เผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่รอบๆได้ยินแล้วก็เผยท่าทีแห่งความยินดีออกมา ด้วยความคิดว่าข้อเสนอของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนนั้นยอดเยี่ยมมาก เช่นนี้จะสามารถหลีกเลี่ยงการตายในสงครามของสมาชิกในเผ่า และพื้นที่ทั้งกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์พอให้อยู่อาศัย

“ไม่!” ราชันหมีส่ายศีรษะและกล่าวช้าๆ ว่า “ข้า ข้าไม่เห็นด้วย…”

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนในรูปลักษณ์ภิกษุหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและสีหน้าสงบ “ประสกมีความเห็นอย่างไร”

ราชันหมีสบถเล็กน้อยและกล่าวช้าๆ ว่า “ข้าอยากเสนอข้อเรียกร้องที่อาจทำให้ลำบากใจ…ไม้ไผ่ทางเหนือนั้นมีน้อยมาก ข้าไม่ชอบ…ข้าอยากได้ป่าไผ่สามพันไร่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ สถานที่ที่มีภูมิศาสตร์เหนือกว่าเช่นนี้ หากสำนักพุทธของเจ้าเต็มใจที่จะยกให้ ข้าก็จะเชื่อในความจริงใจของพวกเจ้า…”

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพยักหน้ากล่าว “ได้!”

ดวงตาของราชันหมีเบิกกว้างในทันที ไม่น่าเชื่อว่าสำนักพุทธจะเห็นด้วยกับคำขอที่มากเกินไปเช่นนี้ และยังเต็มใจที่จะยกดินแดนอันมีค่าอย่างป่าไผ่สามพันไร่ให้เขาอีก ช่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ

สวี่ชีอันแอบขมวดคิ้วเล็กน้อย

จุดประสงค์ในการเคลื่อนไหวของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนคือสร้างความมั่นคงให้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ เพื่อให้พวกเขาสามารถระดมกองกำลังทหารไปยังที่ราบกลางได้และช่วยให้กองกบฏอวิ๋นโจวโค่นล้มต้าฟ่ง เพียงแค่ยอมสละพื้นที่ทางตะวันออกของเขาหมื่นปีศาจเท่านั้น แต่สำนักพุทธก็ยังคงครอบครองภูเขาสือว่านทางซินเจียงตอนใต้โดยที่โชคชะตาไม่ได้รับความเสียหาย

ไม่ต่างอะไรกับการลงทุนน้อยที่สุดเพื่อแลกกับกำไรก้อนโต

แต่เขากลับไม่กังวลว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะประนีประนอมเพื่อแสวงหาความปรองดอง หากนางถูก ‘โน้มน้าว’ ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ นางก็คงไม่สามารถอดกลั้นได้ถึงห้าร้อยปี

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “ยึดบ้านข้า ฆ่าคนในเผ่าของข้า ทำทานโดยการมอบดินแดนเผ่าปีศาจให้พวกเรา นี่สำนักพุทธคิดว่าสายเลือดปีศาจตอนใต้อย่างข้าเป็นขอทานงั้นรึ?”

ที่มุมปากของนางยกยิ้ม แต่กลับไม่มีเสี้ยวของรอยยิ้มในดวงตาแม้แต่น้อย

สวี่ชีอันจึงฉวยโอกาสนี้ในการใช้งานความสามารถ ‘จิตร่วม’ ของซินกู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่โดยรอบ

ทันใดนั้น ความเกลียดชังทั้งเก่าและใหม่ก็พลุ่งพล่านอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เผ่าปีศาจถูกปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และความโกรธขึ้นอีกครั้ง และรู้สึกละอายกับใจที่อ่อนระทวยของตนเองก่อนหน้านี้

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนถอนหายใจ เขายังคงสงบนิ่งและไม่โกรธ แต่ก็ไม่ได้พยายามพูดเกลี้ยกล่อมจิ้งจอกเก้าหางอีกต่อไป และหันไปมองสวี่ชีอัน “พุทธบุตร ข้าเชิญเจ้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ มิใช่เพราะละโมบในโชคของเจ้า เจ้าสามารถไขนิกายมหายานได้และเป็นคนที่มีบุญวาสนากับพุทธะ สำนักปลูกฝังผู้ตรัสรู้ธรรมที่แท้จริง การตรัสรู้ธรรมที่แท้จริงไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของพลัง แต่ยังเป็นจิตวิญญาณที่สดชื่น เป็นความเมตตา ในสายตาของข้า เจ้าเป็นบุคคลที่เทียบได้กับพระพุทธเจ้า หากเจ้าเต็มใจเปลี่ยนมาพึ่งสำนักพุทธ นำพาชาวพุทธในโลกหล้าให้ตระหนักรู้ในนิกายมหายาน ข้าก็สามารถช่วยเจ้าถอนชะตาบ้านเมืองได้ ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ทำลายต้าฟ่ง เจ้าก็ยังไม่ตาย”

ความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างสวี่ชีอันและสำนักพุทธอยู่ที่สำนักพุทธอยากช่วยกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวในการทำลายต้าฟ่ง เช่นนั้นเขาที่แบกรับชะตาบ้านเมืองอยู่ครึ่งหนึ่งก็ต้องสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ

สวี่ชีอันร่วมมือกับเผ่าปีศาจ เผ่ากู่ ทุกสิ่งที่เขาทำก็เพื่อปกป้องตนเองก่อน หลังจากนั้นค่อยแก้แค้น

การมีชีวิตอยู่เป็นความปรารถนาโดยสัญชาตญาณของมนุษย์ มีศีลธรรมนับหมื่นในโลกแต่การรอดชีวิตเป็นศีลธรรมที่ชอบธรรมที่สุด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง