บทที่ 702 อาซูหลัวตายในสนามรบ
“กว่างเสียน เราพบกันอีกแล้ว!”
สุ้มเสียงแผ่วเบาดังมาจากช่องอกของเสินซู
หลังจากหลอมรวมลำตัว ขาและแขนซ้ายไปแล้ว ไต้ซือเสินซูยังหลอมรวมจิตเดิมเพิ่มเข้าไปด้วยความภาคภูมิใจ ความอาฆาตพยาบาทของจางหยางที่แขนซ้ายถูกทำให้เป็นกลางด้วยความอ่อนโยนในลำตัว ทว่าความประมาทที่ขาและความคลุ้มคลั่งในม้ามกลับทำให้เขาฉุนเฉียวอารมณ์ไม่ดี
เพียงแค่อยู่ตรงนั้น กลิ่นอายคลุ้มคลั่งสับสนก็เข้าครอบงำสิ่งมีชีวิตทั้งปวงในอาณาบริเวณนั้นแล้ว
ใครก็ตามที่มองดูเขาจะได้ยินถ้อยคำเพ้อเจ้อน่าหวาดกลัว มองเห็นภาพหลอนลอยอยู่ตรงหน้า ปรารถนาจะสังหารทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว แม้กระทั่งตัวของตัวเอง
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนมิได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง กงล้อที่อยู่เบื้องหลังหมุนช้าๆ คำว่า ‘อสุรา’ สว่างขึ้นและแสงสีทองก็ส่องวิถีไปทางไต้ซือเสินซู
แต่สิ่งที่ลำแสงพุ่งไปกระทบกลับเป็นเพียงภาพลวงตา ตอนนี้เสินซูปรากฏขึ้นต่อหน้ากว่างเสียนเหมือนดั่งภูตผี มือซ้ายของเขาระเบิดดัง ‘ปัง’ กลางอากาศ แขนซ้ายชูขึ้น ย่อเอวลงแล้วชกเข้าไปที่กว่างเสียนเต็มแรง
‘ตูม!’
หมัดนี้พุ่งขึ้นฟ้าและร่างของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนก็แหลกสลายกลายเป็นแสงสีทอง
เสินซูกระแทกหมัดลงพื้น เกิดหลุมขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางสามเมตรและพลังอันรุนแรงยังเคลื่อนตัวต่อไปตามพื้น บังเกิดวิถีรอยแยกบนพื้นดิน
รอยแผ่นดินแยกกระทบเข้ากับกำแพงเมืองที่อยู่ห่างไกลเสียงดัง “ปัง” กำแพงเมืองแตกกระจายเศษหินปลิวว่อน
แสงสังสารวัฏสีทองของกว่างเสียนมิได้กระทบตัวเสินซู แปลว่าคาถาของเขามิได้แสดงผลอันน่าอัศจรรย์ หมายความว่าในตอนนี้อย่างน้อยเสินซูต้องอยู่ขั้นหนึ่ง…สวี่ชีอันข่มใจให้เยือกเย็นพลางม้วนแขนเสื้อขึ้น รัดเอวเข้าและพับขากางเกง
ตอนนี้เขาเป็นเด็กชายอายุสิบสองสิบสามปี บางทีอาจยังไม่แก่กล้าพอ ไม่อย่างนั้นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่มาหัวเราะเยาะเขาหรอก
แสงสีทองรวมตัวกันในอากาศ กลั่นตัวเป็นรูปร่างภิกษุหนุ่ม
ตอนนั้นเขาไม่อาจหลบกำปั้นของเสินซูได้และ ‘ตาย’ ไปแล้วครั้งหนึ่ง ด้วยพลังของร่างอวตารนี้ เขาจะตายได้เพียงสามครั้งเท่านั้น
เสินซูยืดตัวตรงส่งเสียงคำรามน่าเกรงขาม ราวกับสัตว์ร้ายที่หลับใหลนานหมื่นปีตื่นขึ้น กระตือรือร้นที่จะแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ออกไปให้โลกได้เห็น
เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นในเมือง เหล่าทหารอารักขาดินแดนประจิมทิศ จอมยุทธ์ภิกษุ กระทั่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ก็เริ่มตะลุมบอนสังหารหมู่กันแล้ว
ร่างธรรมสังสารวัฏด้านหลังศีรษะพระโพธิสัตว์กว่างเสียนพลันหายไปแล้วควบแน่นกลายเป็นร่างธรรมสีทองสูงสามจั้ง ร่างธรรมนี้พนมมือ ก้มศีรษะ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“มหาสัตตวายา มหาการุณิกา ตัทยา ทา โอม ธารา ธารา…เมตตามหานิยม ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แสวงหาความดีเสมอ อำนวยประโยชน์ทั้งปวง”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนประสานฝ่ามือเข้าด้วยกันและท่องเบาๆ
เมื่อพูดจบก็มีเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังขึ้นตราบสวรรค์จรดพื้นพิภพแล้วร่างธรรมสูงสามจั้งก็เปล่งกระกายแสงสีทองส่องสว่างตลอดราตรี
ลานรบนองเลือดแห่งนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นลานวิถีธรรมแห่งพระโพธิสัตว์อันสงบสุขเปี่ยมไปด้วยเมตตา
‘เคร้ง!’
เสียงอาวุธตกลงสู่พื้นดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจต่างทิ้งอาวุธของตนไปไม่ปรารถนาจะฆ่าฟันกันอีกแล้ว
ที่ผ่านมาเมื่อครู่พวกเขายังเป็นศัตรูที่ประหัตประหารเอาชีวิตอีกฝ่าย แต่ตอนนี้พวกเขากลับมองตากันด้วยความรักความเมตตาในชีวิตเพื่อนร่วมโลก
แต่มนุษย์กับปีศาจยังมิได้สวมกอดและเรียกขานกันว่า ‘พี่น้อง’ นั่นเป็นสติสัมปชัญญะสุดท้ายที่พวกเขามีอยู่
แต่ผลจากการถูกร่างกายเสินซูครอบงำ ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ภิกษุ ทหารและเผ่าพันธุ์ปีศาจคลุ้มคลั่งทำร้ายคนรอบข้างไปคนแล้วคนเล่า ทั้งที่ความเมตตาที่อยู่ในใจพวกเขาบอกให้เลิกต่อสู้
เพื่อไม่ให้ถูกครอบงำ
“ร่างธรรมเมตตามหานิยม…”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนิ่วหน้าขณะถูกแสงพุทธะล้างบาปไปหมดสิ้น ความเกลียดชัง ความมุ่งร้าย ความแค้นและความทะเยอทะยานทั้งหมดที่อยู่ในใจนางหายไปในแสงพุทธะ
แต่จิตเดิมผู้สั่งการกลับมีสติสัมปชัญญะหนักแน่น สั่งให้รู้ตัวว่าอารมณ์เช่นว่านั้นไม่ถูกต้อง สำนักพุทธและเผ่าพันธุ์ปีศาจสมควรต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน
สติสัมปชัญญะและอารมณ์ย่อมไม่อาจเดินทางไปด้วยกันได้
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางย่อมไม่อาจต้านทานการครอบงำของ ‘ร่างธรรมเมตตามหานิยม’ ได้ ร่างธรรมเมตตามหานิยมพิเศษมาก ทว่ามิได้มีความสามารถในการโจมตี
มีหน้าที่เพียงแสดง ‘มรรควิถี’ แห่งพระโพธิสัตว์กว่างเสียน
นอกจากจอมยุทธ์ผู้บรรลุระดับผสานเต๋าขั้นที่สองไปแล้ว ระบบใดที่อยู่ต่ำกว่าขั้นที่หนึ่งจักได้รับผลกระทบจาก ‘ร่างธรรมเมตตามหานิยม’ แน่นอน
ล้วนถูกบุคลิกของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนกำราบเสียสิ้น
เผ่าพันธุ์ปีศาจมิได้ทำตาม ‘มรรควิถี’ แต่สิ่งที่พวกเขาทำคือถ่ายทอดพลังเหนือธรรมชาติซึ่งเป็นพรสวรรค์ที่มีแต่กำเนิดออกมา
แน่นอนว่าพวกมันไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกสำนักพุทธโจมตี เพราะในขณะนี้ทั้งตู้เอ้อร์และอาซูหลัวล้วนเปี่ยมเมตตา
“ร่างธรรมเมตตามหานิยมนี้เป็นเช่นเดียวกับร่างธรรมสังสารวัฏ ไม่แยกมิตรแยกศัตรู พระโพธิสัตว์กว่างเสียนย่อมรู้สึกเหมือนไม้ท่อนหนึ่งที่จมอยู่ในกองมูตรคูถ”
สวี่ชีอันย่อมสังเกตเห็นสภาพที่คนสำนักพุทธเป็นอยู่
“เจ้า…”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองเขาด้วยความประหลาดใจ เด็กชายหัวโล้นตัวกระจ้อยตรงหน้ามิได้รับผลกระทบจาก ‘ความเมตตา’ เลย
ในเวลาเดียวกัน นางยังสังเกตเห็นว่าสวี่ชีอันถือดาบพิสดารอยู่ในมือ ใบดาบเรียวยาวสีทองเข้ม
ในลานนี้ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจาก ‘ร่างธรรมเมตตามหานิยม’…คือสวี่ชีอันกับเสินซู
เมื่อเห็นพี่สาวหูจิ้งจอกผมขาวจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ สวี่ชีอันก็อธิบายว่า
“ความเมตตาไม่ใช่วิถีของข้า”
เขายกดาบในมือขึ้นแล้วพูดว่า
“นี่เป็นวิถีของข้า”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองเห็นคำว่า ‘ไท่ผิง’ สลักอยู่บนใบดาบใกล้กับด้ามจับอย่างชัดเจน
นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ชะตาชีวิตของเจ้า เจ้าสร้างขึ้นด้วยตัวเจ้าเอง?”
ถามไปแล้ว ก็ไม่อาจปกปิดความริษยาในดวงตาได้
‘ชะตา’ เป็นชื่อลัทธิขงจื๊อขั้นสาม ความหมายจากชื่อลัทธิขงจื๊อคือการฝึกร่างกายเฝ้ารอชะตาฟ้า
ชะตากับวิถีล้วนนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันหากต่างเส้นทาง
สวี่ชีอันบ่นพึมพำพลางถอนหายใจ
“เหตุผลอาจเป็นเพราะชะตาบ้านเมือง เมื่อข้าขนานนามมัน ข้าก็ลิขิตชะตาชีวิตขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ในช่วงแรกตบะของข้ายังตื้นเขิน ข้าไม่รู้อะไรมากนัก ถ้าข้าได้โอกาสใหม่อีกครั้ง ข้าจะไม่สร้างชะตากรรมเช่นนั้นขึ้นมาแน่”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจ้องมองเขา “เจ้าจะสร้างชีวิตเช่นไร?”
บางทีอาจจัดให้มี ‘โสเภณีสีขาว’ หรือไปที่บาร์เพื่อฟังเพลง…สวี่ชีอันยิ้มพลางพูดว่า “เดาสิ”
อีกด้านหนึ่ง สะดือของเสินซูแยกออกแล้วกลายเป็นปากพลางส่งเสียงหัวเราะแปลกประหลาด
“เมตตามหานิยมรึ? แล้วข้าจะใช้ประโยชน์อะไรได้”
สะดือกลายเป็นปาก จู่ๆ ก็พ่นลูกศรสีเลือดออกมา ‘พู่ว’ มันพุ่งเข้าใส่ร่างธรรมเมตตามหานิยมทำให้ร่างสีทองเปรอะเปื้อนทันที ตอนนี้ร่างธรรมสูงสามจั้งแปดเปื้อนไปด้วยแสงสีแดงคล้ำดั่งโลหิต
ใบหน้าของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนกระตุกเล็กน้อยราวกับว่าเขากำลังกล้ำกลืนฝืนทนต่อความเจ็บปวดมากมายมหาศาล
‘ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ’…เสินซูวิ่งตะลุยอย่างดุเดือดภายใต้แสงจันทร์ ท่วงท่าแข็งแกร่งฮึกเหิมของเขาอัดแน่นไปด้วยพละกำลัง กล้ามเนื้อของเขากระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการวิ่ง
เป้าหมายของเสินซูไม่ใช่พระโพธิสัตว์กว่างเสียน หากแต่เป็นกำแพงเมืองที่อยู่ห่างออกไป
‘ตูม!’
กำแพงเมืองสูงตระหง่านคล้ายถูกจุดชนวนด้วยระเบิดหลายสิบตันหรือหลายร้อยตัน ภายใต้คลื่นกระแทกนั้น อิฐหินแตกกระจายคล้ายกลายสภาพเป็นกระสุนปืนสาดกระจายไปทุกทิศทุกทาง
กำแพงเมืองทางทิศใต้โหว่เว้าเป็นช่องว่างกว้างเกือบสิบเมตร
ในเวลานี้ เมื่อใดที่กองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจพุ่งผ่านช่องว่างนี้มา พวกมันย่อมสามารถยึดเมืองทางใต้และยึดเขาหมื่นปีศาจกลับคืนมาได้ในเวลาอันสั้น
แต่ทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งทหารอารักขาดินแดนประจิมทิศต่างก็ถอนตัวออกจากพื้นที่นี้แล้ว ทั้งการต่อสู้ทั้งการเฝ้าดูจากระยะไกล
เมื่อมองไปทางกำแพงเมืองที่พังทลาย พระโพธิสัตว์กว่างเสียนจึงมิได้แสดงความแปลกใจหรืออาการโกรธกริ้วบนใบหน้า เพราะการวาง ‘ร่างธรรมเมตตามหานิยม’ ไว้ทำให้เขารู้สึกโล่งใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง