ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 703

บทที่ 703 ควบคุมตัวเองไม่ได้

จอมยุทธ์ในระดับเหนือมนุษย์ย่อมต้องมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยมและมีความสามารถที่จะสร้างแขนขาที่แตกหักสูญหายขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าอาการบาดเจ็บทางกายเนื้อจะชัดเจนน่าตกใจเพียงใด ก็จะเผาผลาญไปเพียงพลังปราณโลหิตเท่านั้น แต่ไม่อาจสังหารจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ให้สิ้นชีพไปได้จริงๆ

แต่ถ้าจิตเดิมถูกกำจัดจนสูญหายไปอย่างสิ้นเชิง จอมยุทธ์ในระดับเหนือมนุษย์ก็ย่อมต้องตายอย่างแน่นอนโดยทิ้งร่างกายที่เป็น ‘อมตะ’ ไว้ข้างหลัง

ในระบบหลัก วิธีที่จะสังหารจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ได้มีไม่เกินสองวิธี

วิธีที่หนึ่ง ด้วยการทุบตีอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้พลังปราณโลหิตให้หมด จนกระทั่งจอมยุทธ์หมดสิ้นเรี่ยวแรง จากนั้นก็จะตัดแบ่งคนผู้นั้นออกเป็นชิ้นๆ และปิดผนึกไว้

วิธีที่สอง ด้วยวิธีพิเศษ โดยการนำจิตเดิมของจอมยุทธ์ออกมาและหลังจากขัดเกลาเป็นเวลานาน ก็สังหารเขาโดยกำจัดจิตเดิมไปให้หมดสิ้น ในเวลานั้น สิ่งที่จอมยุทธ์เหลืออยู่ก็จะมีเพียงร่างกายเท่านั้น

แน่นอน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับจิตเดิมของจอมยุทธ์ไว้ได้ ในเรื่องนี้ มีเพียงระบบลัทธิเต๋าและพ่อมดเท่านั้นที่สามารถทดลองกระทำได้แต่อาจไม่ประสบผลสำเร็จ

ส่วนวิธีที่เสินซูปฏิบัติต่ออาซูหลัวนั้น ก็เป็นเพราะบุคลิกที่แข็งกร้าว หยาบกระด้างและง่ายดายไร้ความคิด มิได้มีเรื่องเคล็ดวิชาเข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย

มีบางอย่างผิดปกติ แม้การเคลื่อนไหวของเสินซูจะทรงพลัง แต่ลำพังการโจมตีทางกายเนื้อย่อมไม่อาจกำจัดจิตเดิมของอาซูหลัวได้…แมลงสีดำมากมายที่อยู่ในกางเกงหลวมๆ ของสวี่ชีอันต่างเล็ดลอดออกมาและหนีหายไป

“จุ๊ๆๆๆ!”

ลูกประคำตีวงมาจากทางซ้ายราวกับฝูงหิ่งห้อยหลากสีสันงดงามพร่างพราว

สวี่ชีอันกำลังจะเหวี่ยงกระบี่สกัดกั้น จู่ๆ ทิวทัศน์เบื้องหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน กำแพงเมืองเปื้อนเลือด ซากศพนอนเรียงรายยาวเหยียดและภูเขาสูงตระหง่านหายไป

กลับมีอาคารสูงระฟ้าเป็นทิวแถว ป่าคอนกรีตเสริมเหล็ก ยานพาหนะสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ภาพมากมายตรงหน้ามีแต่กลิ่นอายของความทันสมัย

‘ติง ติง ติง…’

เสียงปะทะชัดเจนทำให้เขารู้สึกตัว ภาพเหตุการณ์มากมายในชีวิตก่อนหน้านี้แตกเป็นเสี่ยงๆ และเหตุการณ์จริงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาอีกครั้ง

ดาบไท่ผิงกับกระบี่สยบดินแดนจัดการพระคุณเจ้าเพื่อขัดขวางไม่ให้ใช้ลูกประคำส่วนหนึ่งเข้าโจมตี ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งถูกอุ้งมือราชาหมีตบออกไป

กรงเล็บของสัตว์ร้ายกินเหล็กนั้นเปรอะเปื้อนไปทั้งเลือดและเนื้อ ย่อมยากจะเยียวยารักษาบาดแผลได้ในเวลาอันสั้นภายใต้การกัดเซาะของพลังแยกขันธ์

ในเวลาเดียวกัน จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่อยู่ห่างออกไปก็ยกมือขึ้นและโบกมือลง และแล้วพลังปราณอันน่าเกรงขามก็ครอบงำทั่วฟ้า ยับยั้งลูกประคำที่มีพลังในการแยกขันธ์ไว้ ทำให้พวกมันกลายเป็นน้ำค้างแข็งกลางอากาศ ไม่ว่าพวกมันจะชวนขนพองสยองเกล้าแค่ไหนก็ไร้พิษสง

“ขอบคุณ!”

สวี่ชีอันได้สติกลับมาอีกครั้งพลันประสานมือคารวะราชาหมี

ดาบไท่ผิงสั่นสะเทือน ‘หึ่งๆ’ สื่ออารมณ์ ‘โกรธ’ กล่าวหาว่าเจ้าของเสียสมาธิระหว่างการต่อสู้

เจ้าเป็นดาบที่โตเต็มที่แล้ว เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะจัดการเหล่าปรมาจารย์เพื่อการต่อสู้…สวี่ชีอันรู้สึกสบายใจมากขึ้นและเบนความสนใจไปยังสถานการณ์ของอาซูหลัว แต่แล้วก็ได้ยินเสียงแม่มดหูจิ้งจอกผมเงินหัวเราะมาจากระยะไกล

“เจ้าตัวเล็กลงอีกแล้ว แย่จริงๆ ถ้ามาอยู่ชายแดนตอนใต้เมื่อไหร่ก็มาเป็นลูกข้าเถอะ”

ตอนนี้เองที่สวี่ชีอันรู้สึกตัวว่ากางเกงเข้ารูปและเข็มขัดเริ่มหลวมขึ้นอีกครั้งและอายุของเขาก็ถอยหลังกลับอีกครั้ง กลายเป็นเด็กชายอายุสิบขวบ

นอกจากนี้ พลังปราณและปราณโลหิตยังลดฮวบทำให้พลังต่อสู้ลดลงจนเข้าขั้นวิกฤต

นี่มัน…รูม่านตาของเขาหดลงเล็กน้อยแล้วพูดเสียงแผ่วว่า “ข้ายังจะเด็กลงไปกว่านี้ได้อีกหรือ?”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพยักหน้าพลางส่งเสียงบอกว่า

“ในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า เจ้าจะตัวเล็กลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นทารก นี่คือการพลิกกลับหลังของร่างธรรมสังสารวัฏ หากพลิกไปหน้าก็ทำให้เป้าหมายอายุมากขึ้น”

“แต่ทั้งเจ้าและข้าต่างก็มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ถ้าพลิกไปข้างหน้าเราก็อาจไม่แก่ไปกว่าวันพรุ่งนี้ หากพลิกกลับ ก็ต้องถามว่า เจ้าใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะมาถึงขั้นเหนือมนุษย์?”

สวี่ชีอันตระหนักถึงความน่ากลัวของร่างธรรมอันยิ่งใหญ่ทั้งเก้าร่างอีกครั้ง

พวกมันอาจโจมตีไม่เก่ง แต่พวกมันต่างมีความลึกลับในตัวเอง ซึ่งแปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้

“ร่างธรรมสังสารวัฏทำให้คนระลึกอดีตได้ใช่หรือไม่?” สวี่ชีอันถามอย่างระมัดระวัง

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางส่งเสียงตอบ “มีคำกล่าวว่าร่างธรรมสังสารวัฏสามารถทำให้คนระลึกได้ ทั้งในชาติอดีตและปัจจุบัน แต่จะจริงหรือไม่ ข้าไม่รู้”

นางหันหน้าไปมองเสินซูและตะโกนเตือนเสียงดัง “เสินซู กลืนแก่นโลหิตของอาซูหลัวซะ”

เกรงว่าเจ้าจะมีค่ำคืนที่ยาวนานให้ฝันหวานมากเกินไปแล้ว

ไม่ว่าอาซูหลัวจะตายหรือไม่ แต่ถ้ากลืนแก่นโลหิตของเขาไป เขาต้องตายแน่นอน

ตราบใดที่อาซูหลัวถูกจัดการ ก็จะไม่มีเซอร์ไพรส์หรือความวุ่นวายใดในการต่อสู้ครั้งนี้

ในเวลาเดียวกัน เด็กชายวัยสิบขวบกับพี่สาวที่ทั้งเป็นผู้ใหญ่ทั้งมีเสน่ห์ก็จะค้นหาคู่ต่อสู้และเข้าไปพัวพันกับพวกเขาเอง

เสินซูส่งเสียงพึมพำและหัวเราะเสียงประหลาด พลางหยิบร่างไร้ศีรษะของอาซูหลัวขึ้นมาและ ‘ฟู่’ สร้างพายุหมุนขึ้นในฝ่ามือของเขา คว้าเอาพลังชีวิตของอาซูหลัวไว้

มองด้วยตาเปล่าจะเห็นว่า ร่างสีดำของโอรสคนสุดท้องของราชันอสูรหดตัวและแห้งลงอย่างรวดเร็ว

ในขณะนี้ รอยตรา ‘卍’ ก็สว่างขึ้นบนผิวกายสีเข้มของอาซูหลัว จากนั้นเครื่องหมายสวัสดิกะก็ค่อยๆ หมุน จิตเดิมของอาซูหลัวพลันปรากฏขึ้นเบื้องหลังเสินซู ด้านหลังศีรษะของจิตเดิมมีวงล้อพื้นผิวโลหะปรากฎอยู่

รอยตรา ‘卍’ ปรากฏขึ้นตรงกลางวงล้อและจานวงกลมรอบนอก มีคำว่า ‘สวรรค์ มนุษย์ สัตว์ อสุรา เปรต นรก’ สลักอยู่

ร่างธรรมสังสารวัฏ!

‘แกรก แกรก แกรก!’

ขณะที่กงล้อหมุน อักขระสามตัว ‘อสุรา’ บนนั้นก็สว่างขึ้นและแสงสีทองก็ส่องวิถีไปยังเสินซูและอาซูหลัว

ร่างกายแข็งแกร่งของเสินซูแข็งทื่อทันที พายุหมุนหายไป และ ’ศพตายซาก’ ของอาซูหลัวก็ล้มลงกับพื้น

ในเวลานี้ร่างของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนท้องฟ้าก็แตกสลายกลายเป็นแสงและสลายไป

วินาทีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเสินซู

แสงสีทองที่พุ่งเข้าไปในร่างกายอาซูหลัวเมื่อครู่นี้คือพลังของร่างธรรมสังสารวัฏ ใช้ประโยชน์จากการต่อสู้ระยะประชิดของอาซูหลัว แผ่พลังแห่งร่างธรรมสังสารวัฏเข้าครอบคลุมตัวเสินซูไว้

เสินซูยืนตัวแข็งเหมือนรูปปั้นมิได้สนใจพระโพธิสัตว์กว่างเสียน

“ข้า…เป็นใคร…”

เสียงพึมพำสับสนดังมาจากช่วงอกของเสินซู

ภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน กำแพงเมืองพังทลายลงพบเห็นศพตายซากอยู่ทั่วทุกที่

แสงจันทร์เย็นยะเยือกส่องลงมาให้สถานที่ยุ่งเหยิงแห่งนี้พลันสว่างไสว เนื่องจากทหารอารักขาของดินแดนประจิมทิศและกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจถอยห่างออกไป สถานที่แห่งนี้จึงเงียบสงบเป็นพิเศษ มีเพียงเสียงพึมพำของเสินซูดังคลอไปกับเสียงเปลวไฟปะทุ

จานหมุนสังสารวัฏหมุนช้าๆ ราวกับหลอดไฟซีนอนขนาดใหญ่ฉายแสงสีทองออกมาปกคลุมเสินซูไม่ขาดสาย

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนมีพระพักตร์เปี่ยมเมตตาประสานมือเข้าด้วยกัน

“โอ้คนไร้ราก หวังว่าเจ้าจะพบปลายทางของเจ้าในสังสารวัฏนี้!”

รูปร่างของเขากึ่งโปร่งใสกึ่งภาพลวงตา ราวกับว่าพลังของตนกำลังจะหมดลง

เสินซูค่อยๆ สงบลง งอมือซ้ายอย่างลังเล พับฝ่ามือเข้าหากันและเสียงสงบนิ่งก็ดังมาจากช่วงอก

“อมิ…”

เสียงนั้นหยุดลงกะทันหัน เขากำลังต่อต้านสัญชาตญาณบางอย่าง สัญชาตญาณที่บอกให้เปลี่ยนมาบูชาพุทธศาสนา

สวี่ชีอันกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองหน้ากัน ทั้งคู่เห็นความประหลาดใจในดวงตาของกันและกัน

ผลกระทบจากร่างธรรมสังสารวัฏที่เกิดขึ้นกับเสินซูนั้นเกินความคาดหมายของพวกเขา

หรือร่างธรรมสังสารวัฏทำให้ความทรงจำในอดีตของเสินซูกลับคืนมาและปลุกลักษณะธรรมให้ตื่นขึ้น? สวี่ชีอันนึกถึงเมืองสมัยใหม่ที่เขาเพิ่งเห็นและคาดเดาเองในใจ

ทันใดนั้น ศพไร้หัวของอาซูหลัวก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ

‘เผียะ!’ เสียงเหมือนปลายเท้าเตะอากาศจนระเบิดพลังปราณที่น่ากลัวขึ้น ฉีกร่างของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนทันที

การเตะนี้ทำให้พลังงานของร่างอวตารมลายหายไปหมดสิ้น

เสียงถอนหายใจของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนดังก้องท้องฟ้ายามราตรี จานหมุนสังสารวัฏพังทลายลงเป็นแสงสีทองและจิตเดิมของอาซูหลัวก็กลับคืนสู่ร่างตัวเอง

ร่างกายที่เหลืออยู่ของอาซูหลัวค่อยๆ ยืนขึ้น เซลล์ต่างๆ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว กระดูกสันหลังงอกออกมาเป็นอย่างแรก แล้วสร้างกระดูกคอขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นกะโหลกก็งอกขึ้นจากกระดูกคอ ทั้งเลือดทั้งเนื้อดิ้นพล่าน เนื้อสีแดงอ่อนๆ เข้าปกคลุม ตามด้วยผิวหนังสีดำสนิท

อย่างแรกที่เขาทำหลังจากฟื้นคืนชีพคือสลายซือกู่หลายสิบศพในร่างตัวเอง

“ทำได้ดี!”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเสมองไปด้านข้างแล้วยิ้มให้เด็กชาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง