ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 704

บทที่ 704 ข้าเป็นใคร

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ ราชาหมี อาซูหลัวและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเหงื่อแตกพลั่ก

โดยเฉพาะสามคนหลัง พวกเขามีลางล่วงรู้วิกฤติ ทุกเซลล์ในร่างกายร้องคำราม ทุกเส้นประสาทส่งสัญญาณเตือนถึงอันตราย

ในฐานะจอมยุทธ์ ปราณโลหิตของพวกเขามั่นคงและบริสุทธิ์กว่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ พวกเขาจึงเป็นเป้าหมายหลักของเสินซู

อาซูหลัวเกร็งร่างกายของเขา คลายกล้ามเนื้ออันกำยำออกเงียบๆ และสะสมพลัง

เขารับรู้ได้ในทันทีว่า ตัวเองคือเป้าหมายหลักของเสินซู แก่นโลหิตอสูรดึงดูดเสินซูอย่างมาก

ทันใดนั้น ร่างธรรมสูงตระหง่านที่อยู่ไกลออกไปก็อันตรธานหายไปจากสายตาทุกคน

วินาทีต่อมา แขนยี่สิบสี่ข้างก็ยื่นออกมาจากข้างหลังอาซูหลัว ราวกับเขี้ยวของต้นกาบหอยแครงที่อ้าออก

ไม่รู้ว่าร่างธรรมของเสินซูปรากฏขึ้นข้างหลังอาซูหลัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าดำทะมึนของร่างธรรมไร้ซึ่งอารมณ์ แต่กลับดูน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าสีหน้าที่แสดงเจตนาร้ายออกมาเป็นไหนๆ

อาซูหลัวทรุดตัวลงอย่างเงียบเชียบและแยกตัวออกจาก ‘การล้อม’ ทางเบื้องล่างก่อนที่แขนทั้งยี่สิบสี่ข้างที่ดูเหมือนกับยื่นออกมาจากขุมนรกจะหุบลง

ดวงตาของอาซูหลัวเปล่งแสงสีทองอ่อนๆ ออกมา มันคือตาทิพย์

พลังวิเศษนี้ทำให้เขารู้ความเคลื่อนไหวของเสินซูล่วงหน้าและตอบสนองได้ทันท่วงที มิเช่นนั้นเขาคงเหมือนกับสวี่ชีอัน

ระหว่างที่ทรุดตัวลง ด้านหลังศีรษะของอาซูหลัวก็ปรากฏรัศมีเจิดจ้า เขาเอ่ยเสียงขรึม

“ศีลข้อที่หนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์!”

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ประนมมือ ด้านหลังศีรษะปรากฏรัศมีขึ้น เขาเอ่ยช้าๆ

“ศีลข้อที่หนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์!”

กลิ่นอายชั่วร้ายที่ร่างธรรมของเสินซูปล่อยออกมาสลายไปทันที มลพิษทางจิตใจก็จางไปเล็กน้อย

เมื่อพระอรหันต์ทั้งสองรวมพลังกันก็ส่งผลกระทบต่อเสินซูในที่สุด

เวลานี้ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางลังเลอยู่พักหนึ่ง นางปล่อยให้เสินซูไล่ล่าอาซูหลัวผู้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย และเหลือไว้เพียงพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ซึ่งไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ นางควรจะนำเผ่าพันธุ์ปีศาจหนีออกจากซินเจียงตอนใต้ มิเช่นนั้นคงจะกลายเป็นเหยื่อของเสินซู

นอกจากนี้ นี่ยังหมายความว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจสูญเสีย “สิทธิ์การใช้งาน” เสินซู หากไม่มีเสินซู เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่อาจฟื้นฟูอาณาจักรได้ แม้ว่าจะได้เขาหมื่นปีศาจคืนมา สุดท้ายก็คงถูกสำนักพุทธยึดกลับไปอีกครั้ง

ไม่สิ เสินซูที่สูญเสียการควบคุมคงทำตามสัญชาตญาณ สังหารหมู่อย่างบ้าคลั่งที่ซินเจียงตอนใต้ กอบโกยแก่นโลหิต และสถานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นเขตหวงห้ามในจิ่วโจว

แม้แต่ยึดเขาหมื่นปีศาจกลับมา เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่อาจทำได้

นางเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนทันที สำหรับที่เผ่าพันธุ์ปีศาจก่อจลาจล วิธีการตอบโต้ที่แท้จริงของสำนักพุทธคือการใช้พลังของร่างธรรมสังสารวัฏ ทำให้เสินซูคลั่งจนไม่อาจควบคุมได้ และเปลี่ยนซินเจียงตอนใต้เป็นเขตหวงห้าม เพื่อให้แผนการฟื้นฟูอาณาจักรของเผ่าพันธุ์ปีศาจล่มไป

หลังจากนั้นก็ช่วยกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวโค่นล้มต้าฟ่ง สะสางสงครามในที่ราบลุ่มภาคกลาง

จากนั้นสวี่ผิงเฟิงกับพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่เลื่อนขั้นสู่โหรระดับหนึ่งก็จะปราบเสินซูได้ แล้วแยกเขาเป็นส่วนๆ อีกครั้งก่อนผนึกไว้ เมื่อถึงเวลานั้น ภูเขาสือว่านก็จะยังคงเป็นของสำนักพุทธ

แม้จะเข้าใจแผนการของสำนักพุทธ แต่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยังคงคิดไม่ตก เหตุใดร่างธรรมสังสารวัฏถึงทำให้เสินซูสูญเสียการควบคุม

แต่ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้การผนึกเสินซูหรือไม่ก็ฟื้นฟูสติของเขาเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

มิเช่นนั้นจะพ่ายแพ้ทั้งกระดาน

หางจิ้งจอกทั้งแปดฟูขึ้นตามลมกลายเป็นงูเหลือมยักษ์ซึ่งปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า งูเหลือมยักษ์เลื้อยผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนและเข้าไปพันธนาการเสินซูที่อยู่ในสภาพนิ่งงัน

แขนทั้งยี่สิบสี่ข้างของเสินซูออกแรงและค่อยๆ ยืดหางจิ้งจอกที่พันธนาการไว้ออก

ใบหน้าอันงดงามและขาวราวหิมะของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแดงก่ำทันที ร่างกายสั่นเล็กน้อย เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน

ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน

โชคดีที่นางเป็นปีศาจ พลังปราณไม่มีใครเทียบได้ หากนางเป็นยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์ของระบบอื่น แม้แต่คุณสมบัติที่จะงัดข้อกับเสินซูก็คงไม่มี

อาซูหลัวฉวยโอกาสนี้คำรามเสียงต่ำ รัศมีด้านหลังศีรษะสลายกลับเข้าไปในร่างกาย ครู่หนึ่ง อัฐิธาตุที่เปล่งแสงหลากสีก็ลอยขึ้นมาเหนือศีรษะเขา

นี่คืออัฐิธาตุที่แสดงถึงระดับเต๋าแยกขันธ์

อาซูหลัวยื่นมือไปคว้าอัฐิธาตุมาไว้ในฝ่ามือ กำปั้นเปล่งแสงเจิดจ้าแสบตาออกมา ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนส่องสว่างโชติช่วง

นี่ไม่ใช่การรวบรวมพลังของระดับเต๋าแยกขันธ์ นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างระดับเต๋ากับเสินซู

ชั่วพริบตาเดียว ทั่วทั้งเขาหมื่นปีศาจก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่า

ต้นไม้ใบหญ้าและสรรพสัตว์ล้มตายอย่างเงียบเชียบ ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกสังหาร

“ย้าก!”

ท่ามกลางเสียงคำรามของอาซูหลัว กำปั้นที่เปล่งแสงเจิดจ้าของเขาก็ต่อยเข้าที่หว่างคิ้วของเสินซูอย่างแม่นยำ

ระหว่างท้องฟ้าและผืนดิน คลื่นแสงเจิดจ้ากระจายออกไป สะท้อนภูเขาเบื้องล่างอย่างพิลึกพิลั่น

วงแหวนไฟด้านหลังศีรษะของเสินซูแตกกระจาย หว่างคิ้วปริแตกราวกับเครื่องลายคราม รอยประทับแห่งเปลวไฟถูกทำลาย

เสินซูที่กำลังโกรธเกรี้ยวส่งเสียงคำรามดังสนั่น

‘ปึดปึดปึด’ หางจิ้งจอกทั้งแปดที่พันธนาการร่างธรรมของเสินซูไว้ขาดออกทีละหาง สีหน้าของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางซีดขาวราวกับหิมะ ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส

หางจิ้งจอกที่ขาดออกไม่ได้ร่วงหล่น แต่บินกลับมาข้างหลังนางราวกับมีชีวิตและเชื่อมติดกับนาง

แขนทั้งยี่สิบสี่ข้างของเสินซูโอบล้อมอาซูหลัวจากทุกทิศทุกทางเป็นชั้นๆ และปกคลุมเขาไว้ในฝ่ามือ

เวลานี้ อัฐิธาตุสีทองอร่ามลอยนิ่งอยู่เหนือศีรษะของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์

“ความปรารถนาประการแรก ปรารถนาให้อาซูหลัวอยู่ข้างกายข้า”

เมื่อสิ้นเสียง อาซูหลัวที่เดิมถูกฝ่ามือซึ่งปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าโอบล้อมก็มาปรากฏตัวข้างกายพระอรหันต์ตู้เอ้อร์

‘ตูม!’

พลังปราณระเบิดออกทีละชั้น ฝ่ามือทั้งยี่สิบสี่ของเสินซูตบพร้อมกัน แต่ตบไม่โดนอะไรเลย

วัดหนานฝ่ามีอยู่หนึ่งอัฐิธาตุ เป็นอัฐิธาตุแห่ง ‘ทานพละ’

หัวหน้าสงฆ์คนแรกของวัดหนานฝ่าทิ้งไว้เมื่อกลับชาติมาเกิด ในคืนที่สวี่ชีอันกับซุนเสวียนจีขโมยขาทั้งสองข้างของเสินซูไป อาซูหลัวขอพรกับอัฐิธาตุแห่ง ‘ทานพละ’ ขอผู้ช่วยที่เหมือนกับตัวเขาเองหนึ่งคน

ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา อัฐิธาตุนี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดหนานฝ่า และถูกชะล้างด้วยเครื่องหอม

ผู้มีจิตศรัทธาถวายเครื่องบูชาและบรรณาการด้วยความจริงใจ เพื่อสั่งสมพลังปณิธาน

เมื่อพลังปณิธานเพียงพอ อัฐิธาตุแห่งทานพละจะตอบสนองความปรารถนาของผู้มีจิตศรัทธาใน ‘ขอบเขตที่เหมาะสม’

พลังปณิธานมีคุณลักษณะจำเพาะอันแรงกล้า มันจะตอบแทนแค่ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาเท่านั้น

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ถวายเครื่องบูชาแก่อัฐิธาตุนี้ได้ไม่นานนัก พลังปณิธานจึงมีจำกัด เติมเต็มความปรารถนาได้เพียงห้าประการเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงเก็บมันไว้เป็นไพ่ตาย

แน่นอนว่าความปรารถนาห้าประการนี้ต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมด้วย หากเกินขีดจำกัด ความปรารถนาจะไม่เป็นจริง

ในเวลานี้เอง ราชาหมีที่มีขนสีดำกับสีขาวสลับกันและมีแขนขาที่ราวกับบินได้พุ่งเข้าใส่เสินซูราวกับเครื่องกระทุ้งอวบอ้วน

‘เพี๊ยะ!’

กรงเล็บทั้งสองข้างข่วนตรงหว่างคิ้วของเสินซูอย่างรุนแรง ทำให้รอยแตกปริแตกมากขึ้น

เสินซูที่ถูกโจมตีแกว่งกำปั้นโดยสัญชาตญาณ ต่อยเข้าที่ท้องกลมๆ ของราชาหมีเสียงดัง ‘ปัก’

กำปั้นอันทรงพลังเจาะทะลวงร่างของหมียักษ์กลายเป็นลมกระโชกที่โหมกระหน่ำอยู่ข้างหลังมัน

ราชาหมีกลายเป็นลูกกระสุนปืนใหญ่พุ่งออกไปเช่นเดียวกับสวี่ชีอันเมื่อสักครู่นี้ แล้วกระแทกเข้ากับภูเขาที่อยู่ไกลออกไปจนภูเขาถล่ม

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ไม่อยู่นิ่ง เมื่อราชาหมีกระโจนเข้าใส่ร่างธรรมของเสินซู ลูกประคำเก้าสิบเก้าเม็ดก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ‘ติงติงติง’ ลูกประคำชนกันและร้อยเป็นเส้นเดียวราวกับดาบบาง

ดาบที่เปล่งแสงเจิดจ้า

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ผลักฝ่ามือ ดาบบางบินออกไป กลายเป็นลำแสงหลากสีสัน

จากนั้นเขาก็ประนมมือและพูดว่า

“ความปรารถนาประการที่สอง ปรารถนาให้การเคลื่อนไหวครั้งนี้ พลังเพิ่มเป็นสองเท่า”

‘ครืน!’

เมฆดำทะมึนปกคลุมท้องฟ้ายามค่ำคืน สายฟ้าที่หนาและมีรูปลักษณ์ราวกับต้นไม้ฟาดลงมา เคลือบดาบลูกประคำ

ความเร็วในการบินของดาบลูกประคำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ลากประกายไฟสีเงินและส่งเสียงหวีดแหลมสูง เจาะทะลุหว่างคิ้วร่างธรรมของเสินซู

ศีรษะของร่างธรรมระเบิดดัง ‘ตูม’ ไม่มีเลือดเนื้อ ทว่าแตกสลายกลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์

ร่างธรรมไร้ศีรษะแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนทันที

เพื่อช่วยบิดาชราที่เสียสติ ลูกสาวและลูกชายร่วมมือกับภิกษุอาวุโสอายุแปดสิบระเบิดศีรษะของบิดา…ข้างในซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง สวี่ชีอันผู้กำลังเฝ้าดูการต่อสู้ครั้งนี้เอ่ยพึมพำในใจ

เป็นลูกที่กตัญญูจริงๆ

“เจ้าก็มาด้วยหรือ”

จากนั้นเขาก็พูดกับราชาหมีที่ตื่นขึ้นช้าๆ

หลังจากถูกหมัดของเสินซูต่อย สวี่ชีอันก็ใช้หยกสลายขัดจังหวะการโจมตีของเสินซู และใช้ความสามารถของเทียนกู่ ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ ซ่อนกลิ่นอายของตัวเอง จากนั้นใช้วิชากระโดดสู่เงามาซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงหลบหนีการตามล่าของเสินซูได้แล้วให้ผู้อื่นรับกรรมแทน ปล่อยให้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์กับอาซูหลัวรับผลกรรมไป

ขณะที่กำลังชมการแสดงอย่างเพลิดเพลิน จู่ๆ ราชาหมีก็ถูกเขวี้ยงลงมา

“เจ็บเจียนตายเลย…”

ราชาหมีครวญเสียงเบา

“ไม่เป็นไร นอนลงช้าๆ ข้าปกปิดกลิ่นอายให้เจ้าแล้ว” สวี่ชีอันปลอบใจ

“เหตุใดเจ้าถึงไม่ใช้เจดีย์ของเจ้า มันสามารถรักษาได้”

ดวงตาขนาดเท่าเมล็ดถั่วของราชาหมีจ้องมองเขา สีหน้าขลาดเขลาเล็กน้อย เพราะกระอักเลือดออกมาจากปาก จึงดูน่าสงสารเป็นพิเศษ

“แบบนั้นจะทำให้เป้าหมายเปิดเผย”

‘…สมเหตุสมผล’ ราชาหมียอมรับคำอธิบายของเขา จึงทำได้เพียงรักษาและฟื้นฟูอาการบาดเจ็บด้วยตัวเอง

อันที่จริง ณ จุดนี้ หากเป็นสถานการณ์ปกติ สวี่ชีอันสามารถถอยได้ ปล่อยให้ผู้อื่นรับกรรมแทน แล้วกำจัดอาซูหลัวหรือตู้เอ้อร์ทิ้งเสีย

เสินซูต้องสงบสติลงและถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจควบคุม ด้วยวิธีนี้ปีศาจทางใต้จะสามารถพยุงสงครามในภายภาคหน้าของภูเขาสือว่านและสกัดกั้นสำนักพุทธได้ หากข้าไปจริงๆ มันจะจบลง ส่วนนี้ชนะ แต่สถานการณ์โดยรวมแพ้ ชิงไหวชิงพริบกับพวกผู้อาวุโสช่างเหนื่อยจริงๆ ต้องค่อยๆ ทำไปทีละขั้น

เขาเชื่อว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็เข้าใจจุดนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงลงมือหยุดเสินซูและร่วมมือกับพระอรหันต์ตู้เอ้อร์และอาซูหลัวชั่วคราว

แต่ปัญหาคือ ตอนนี้อาซูหลัวกับตู้เอ้อร์ต้องคิดจะล่าถอยแล้วแน่ๆ… เขาคิดเงียบๆ

จากการเฝ้าสังเกตอย่างละเอียด สวี่ชีอันพบว่าหลังจากเสินซูสูญเสียการควบคุม เขาก็ต่อสู้โดยอาศัยสัญชาตญาณทั้งสิ้น

ไร้ซึ่งเทคนิคใดๆ

เมื่อถูกราชาหมีโจมตี เขาโต้กลับตามสัญชาตญาณ ไม่ใช่ฉวยโอกาสควบคุมแล้วกลืนแก่นโลหิต

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง