ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 723

บทที่ 723 พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก

หลังจากคู่ดวงตาอันเย็นชาและไร้ซึ่งความรู้สึกปรากฏ ปราณใสจึงก่อเค้าร่างในทันใด ลมพัดโหมกระหน่ำสาดซัดมาอย่างกะทันหัน เสื้อผ้าปลิวไสวในทันควัน รูปลักษณ์ของนักพรตขงจื๊อซึ่งชายผ้ากำลังพลิ้วสะบัดก็ปรากฏต่อหน้าสวี่ผิงเฟิงและคนอื่นๆ

วิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์มาเยือนโลกอีกครั้ง อานุภาพคุกคามที่น่ากลัวบังเกิดขึ้นอย่างมืดฟ้ามัวดิน เฉกเช่นภูผาทลาย สมุทรแผดเสียง นภาถล่ม

เนื่องจากระยะใกล้เกินไป มนุษย์สามคนและอสูรหนึ่งตนจึงแทบจะประจันหน้ากับการจับจ้องจากปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

แขนขาของไป๋ตี้สั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม มันโค้งคลาน แยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนกลับกลายเป็นสัตว์ และส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำเหมือนแสดงพลังจากลำคอ

สวี่ผิงเฟิงและเฮยเหลียนถอยร่น พวกเขาซึ่งเป็นขั้นสองไม่กล้าอวดฝีมือ ณ ขณะนี้

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่อาศัยอำนาจข่มขวัญจากร่างธรรมวชิระ และการป้องกันจากร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี ซึ่งเป็นตัวตนที่ทนต่อการต่อยตีที่สุดของขั้นหนึ่ง เขาต้านการซัดสาดของคลื่นสมุทรเฉกเช่นหินโสโครก

วิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ก่อตัวเป็นรูปร่าง ตรงหว่างคิ้วของท่านโหราจารย์แหวกออกเป็นบาดแผล เลือดแดงสดไหลยาวเป็นสาย

กายหยาบเริ่มดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความล่มสลาย ซึ่งนี่คือราคาที่จำเป็นต้องจ่าย

เขากระโดดออกไปก้าวหนึ่ง แล้วส่งดาบสลักในมือออกไป สิ่งที่แทงออกไปเป็นอย่างแรกคือพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่

วิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ทำท่าทางที่ประสานกัน ราวกับเป็นที่พึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของท่านโหราจารย์

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยืนตระหง่านไม่สั่นไหว จีวรพลิ้วสะบัดอย่างเข้มขรึม กล้ามเนื้อทั้งตัวพองบวม เส้นเลือดดำที่แข็งกร้านปูดนูนขึ้นเป็นเส้นๆ ใต้ผิวหนัง

แม้เขาจะไม่ขยับก็ตาม แต่ร่างธรรมวชิระด้านหลังกลับก้าวไปข้างหน้า มากำบังด้านหน้าพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไว้

ดาบสลักแทงมาอย่างไม่เร่งรีบ ราวกับไม่กลัวศัตรูหนี

แขนทั้งสิบสองคู่ของร่างธรรมวชิระประสานไว้ข้างหน้า ฝ่ามือทั้งยี่สิบสี่ข้างทำท่าประกบกัน โดยขนาบท่านโหราจารย์และดาบสลักไว้กลางฝ่ามือ

ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีนั่งขัดสมาธิประสานฝ่ามือ รวมตัวเป็นม่านปราณด้านหลังร่างธรรมวชิระ และกำบังพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไว้ด้านใน

ทันใดนั้นเอง แขนทั้งสิบสองคู่ของร่างธรรมวชิระเริ่มสั่นคลอน ราวต้านทานการบุกทะลวงของดาบสลักไว้ไม่อยู่

‘ตูม!’

วงแหวนไฟหลังศีรษะร่างธรรมวชิระขยายตัว เปลวเพลิงที่บาดตาลุกพรวดขึ้น

แขนสิบสองคู่ที่สั่นระริกสงบนิ่งลงอีกครั้ง

แต่ในช่วงต่อมา ฝ่ามือขนาดยักษ์ทั้งสิบสองข้างแตกออกก่อน ตามด้วยแขนและลำตัว…ร่างธรรมวชิระที่ขึ้นชื่อในเรื่องการป้องกันและพลังต่อสู้ค่อยๆ พังทลายลงทีละนิ้ว

พลังงานที่ล้นกระจายออกมาจากการพังทลายของร่างธรรมแผ่ซ่านไปทั่วทุกทิศทาง และแตกกระจายลงบนทะเลเมฆเบื้องล่าง เผยให้เห็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่

ท่านโหราจารย์ถือดาบสลักไว้ ยังคงแทงไปยังม่านกำบังที่ค้ำยันด้วยร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี

‘ครืน!’

พลังงานที่บิดเบี้ยวและยุ่งเหยิงสาดออกมาจากจุดที่ม่านปราณสีทองอ่อนปะทะกับดาบสลัก

แสงสีขาวเข้าใกล้ท่านโหราจารย์อย่างไร้สุ้มเสียง และลอบจู่โจมจากด้านหลัง

ในรูม่านตาร่องแนวตั้งสีครามเข้มของไป๋ตี้หลงเหลือเพียงความบ้าคลั่งประหนึ่งสัตว์ร้าย ไร้ซึ่งจิตวิญญาณแม้เพียงเล็กน้อย

มันกดทับจิตวิญญาณของตนเองไว้ และแสดงความบ้าคลั่งที่หยั่งรากลึกลงในกระดูกของสายเลือดแห่งเทพมารออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพื่อหักล้างอานุภาพคุกคามจากปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

ทายาทเทพมารที่บ้าคลั่งจะไม่หวาดหวั่น

นอกจากนี้ แม้จิตวิญญาณจะถูกยับยั้ง ทำให้ไม่สามารถใช้วรยุทธ์ได้อีก แต่นี่จะไม่ลดทอนพลังต่อสู้ของมัน แม้กายาจิตของทายาทเทพมารจะแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจอมยุทธ์ ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดน่ากลัวอย่างถึงที่สุด

ท่านโหราจารย์ชูมือซ้ายขึ้น และยิงมงกุฎแห่งปราชญ์ออกไปดัง ‘ปัง’ ก่อนเอ่ยช้าๆ ว่า

“ถอยไปห้าร้อยลี้”

ไป๋ตี้อ้าปากแยกเขี้ยว ทำท่าโผเข้าโจมตี พริบตาที่กำลังจะสัมผัสท่านโหราจารย์ เขาหายไปอย่างไม่คาดคิด ราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ว่าท่านโหราจารย์ได้เรียนรู้การลั่นประกาศิตของลัทธิขงจื๊อ แต่เป็นการแสดงวรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อด้วยพลังของมงกุฎแห่งปราชญ์

ทว่า หากไม่มีการควบคุมจากผู้บำเพ็ญระดับสูงในระบบเดียวกัน อานุภาพที่มงกุฎแห่งปราชญ์สำแดงออกมาได้ก็จะมีจำกัด และไป๋ตี้ก็เป็นระดับสูงสุด ท่านโหราจารย์จึงไม่สามารถโจมตีมันโดยตรงด้วยการพึ่งพาพลังของมงกุฎแห่งปราชญ์

เพราะนั่นถูกกำหนดให้ไม่สามารถคุกคามไป๋ตี้ได้อยู่ก่อนแล้ว

แต่สัญชาตญาณที่เป็นลักษณะเฉพาะของลัทธิขงจื๊อไม่ได้อยู่ที่การโจมตี แต่เป็นคำว่า “ตบตาลวงหลอก” สี่พยางค์นี้

หลังจากเตะไป๋ตี้ออกจากสนามรบชั่วขณะ ท่านโหราจารย์ถือดาบสลักไว้ในมือ และก้าวไปอีกขั้นอย่างแข็งแกร่ง

ม่านปราณที่ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีค้ำยันไว้ แห้งเหือดไปอย่างเกินความเป็นจริง

นี่ไม่ใช่ว่าพระโพธิสัตว์มัญชุศรีไม่แข็งแกร่งพอ แต่ตรงกันข้าม สามารถยืนหยัดจนถึงตอนนี้ภายใต้มนต์ของกายาจิตปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสมควรแก่ชื่อเสียงด้วยสุดยอดระดับที่ขึ้นชื่อของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่

สวี่ผิงเฟิงซึ่งอยู่ไกลออกไปเปิดกระเป๋าผ้าไหม หยิบปืนใหญ่ออกมา สูงเก้าฉื่อ (1 ฉื่อเท่ากับ 10 นิ้ว) ลำกล้องปืนยาวหนึ่งจั้ง (1 จั้งเท่ากับ 3.33 เมตร ) หลอมด้วยเหล็กดำทั้งลำ สลักลวดลายค่ายกลไว้อย่างหนาแน่นบนพื้นผิว

ตัวเขาซึ่งเป็นขั้นสองไม่อาจประจันหน้ากับอานุภาพคุกคามจากปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ในระยะใกล้ โชคดีที่การโจมตีระยะไกลเป็นสิ่งที่โหรชื่นชอบที่สุด

ลวดลายค่ายกลทยอยสว่างขึ้นเป็นดวงๆ ค่ายกลที่สลักไว้บนตัวปืนเริ่มดูดซับพลังวิญญาณบริเวณรอบๆ ปากปืนใหญ่ที่ดำมืดควบรวมมวลแสงสีขาวเจิดจ้าขนาดเท่ากำปั้นซึ่งกำลังยุบตัวเข้ามาด้านในอย่างต่อเนื่อง

การงัดเอาพลังฟ้าดินด้วยค่ายกล เป็นไม้เด็ดที่โหรถนัดมือที่สุด

‘ตูม!’

เมื่อยุบตัวจนถึงขีดสุดก็ระเบิดออก ลำแสงขาวเจิดจ้ายิงออกมาจากปากกระบอกปืน

ขณะที่ลำแสงกำลังจะยิงโดนท่านโหราจารย์ ค่ายกลที่ห้อมล้อมด้วยเกลียวแสงใสสว่าง ตัดขวางด้านหน้าวิถีกระสุนในฉับพลัน

ปืนใหญ่ที่สามารถทำให้จอมยุทธ์ขั้นสามบาดเจ็บสาหัส หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับวัวโคลนลงทะเล

วินาทีถัดมา ลำแสงขาวเจิดจ้ายิงออกมามิดตัวเขาจากอากาศด้านหลังสวี่ผิงเฟิง

ท่านโหราจารย์ส่งคืนการโจมตีด้วยปืนใหญ่กลับไปยังเขาด้วยการใช้ค่ายกลส่งตัว

‘ครืน!’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง