ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 726

บทที่ 726 ใกล้หายนะ (1)

“ข้าเคยคิดว่า อาจารย์อาศัยความเป็นพันธมิตรของสำนักพุทธ เข้าล้อมเมืองยึดที่มั่นกระทำการทีละขั้นทีละตอน สร้างสถานการณ์บีบบังคับจนการสังหารอาจารย์เป็นผลสำเร็จ”

สวี่ผิงเฟิงเอ่ยปากพูดคราใดหยาดโลหิตก็ไหลจากมุมปากครานั้น เขาบาดเจ็บสาหัสภายใน แต่ภายนอกจงใจทำทีท่ากระฉับกระเฉง

บางคำพูดติดค้างอยู่ในใจมากว่ายี่สิบปี บางแผนการอดทนรอคอยมากว่ายี่สิบปี ตอนนี้ถึงเวลาจึงสำรอกออกมาได้อย่างรวดเร็ว

“แต่หลังจากวิเคราะห์อย่างรอบคอบและทบทวนขั้นตอนการก่อกบฏของอู่จงแล้ว การจะอนุมานถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างย่อมเป็นเรื่องง่าย เป็นต้นว่า…”

จู่ๆ ดวงตาของสวี่ผิงเฟิงก็ฉายแววฉลาดหลักแหลม

“ในช่วงต้นที่เกิดกบฏอู่จงขึ้น ทำไมคนรุ่นก่อนจึงตั้งตัวไม่ทัน แม้การสังหารอาจารย์จะเป็นชะตากรรมของระบบโหร แต่การสังหารลูกศิษย์ก็เป็นชะตากรรมด้วยเช่นนั้นรึ? ไม่มีเหตุผลเลยที่รุ่นแรกจะปล่อยให้อู่จงก่อกบฏเพื่อเลื่อนตำแหน่งตัวเองขึ้นมาเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้า”

“มันน่าขันที่โหรขั้นหนึ่งผู้สง่างามจะมองไม่เห็นการกระทำของลูกศิษย์ เหตุผลในเรื่องนี้ ไป๋ตี้เพิ่งบอกว่า อาจารย์เป็นผู้เฝ้าประตูและใช้วิธีการบางอย่างเพื่อหลอกสายตาคนรุ่นก่อนที่มองเห็นอนาคต”

“มิใช่ลูกศิษย์หรอกหรือ?”

ท่านโหราจารย์ถือแส้ต้อนแกะไว้ในมือ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ และกวาดตามองคล้ายไม่แยแส

“ผู้เฝ้าประตูไม่ใช่ประเด็น” สวี่ผิงเฟิงส่ายหัว

“ประเด็นคือวิธีการของท่านรบกวนการมองอนาคตของคนรุ่นก่อน เพราะวิธีนี้ท่านจึงหลอกคนรุ่นก่อนได้สำเร็จและป้องกันไม่ให้เขาเห็นจุดจบของตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้อาจารย์ของท่านตั้งตัวไม่ทัน”

เฮยเหลียนยิ้มขำเหมือนฟังเรื่องตลก

“งั้นรึ? ถ้าเจ้าไม่ใช่ผู้เฝ้าประตู แล้วเจ้าจัดการกับท่านโหราจารย์ที่เป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้าได้อย่างไร?”

สวี่ผิงเฟิงส่ายหัว

“ข้ามิใช่ผู้เฝ้าประตู ดังนั้นข้าจึงไม่อาจจัดการปรมาจารย์ลิขิตฟ้าขั้นสองได้ มีเพียงปรมาจารย์ลิขิตฟ้าด้วยกันเท่านั้นที่จัดการกันเองได้”

เมื่อพูดถึงตอนนี้ ค่ายกลวงกลมใต้ฝ่าเท้าของสวี่ผิงเฟิงก็ขยายวงอย่างรุนแรง ก่อตัวเป็นค่ายกลมหึมาแสนงดงามที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสิบลี้ ผนวกรวมเอาเหล่าเหนือมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้นไปด้วย

ในขณะที่ค่ายกลขยายตัว สวี่ผิงเฟิงก็เปิดกระเป๋าที่ห้อยอยู่ตรงเอว ลำแสงหนึ่งพวยพุ่งออกมาเต้นเร่าอยู่เหนือหัวทุกคน พวกมันล้วนเป็นวัตถุทองสัมฤทธิ์

พวกมันมีกลิ่นอายและสีพื้นหลังเหมือนกัน เหมือนกับชิ้นส่วนของอาวุธเวทมนตร์ขนาดยักษ์

จานกลมที่สลักรูปปลาไท่จี๋เป็นจานแรกที่ทรงตัวอยู่นิ่งในอากาศ จากนั้น มันก็เป็นแกนกลาง ดึงดูดส่วนอื่นๆ เข้ามาและจัดเรียงตัวเข้าด้วยกันดัง ‘คลิก’

ในอีกด้านหนึ่ง พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ใช้ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีสร้างตราประทับผนึกพื้นที่ หยุดยั้งวิชาส่งตัวของท่านโหราจารย์เพื่อซื้อเวลาในการปรับโครงสร้างชิ้นส่วนใหม่

ในที่สุดท่านโหราจารย์ที่มักแสดงท่าทีเฉยเมยตลอดเวลาก็เปลี่ยนท่าทีไปอย่างคาดไม่ถึง

ระหว่างขั้นตอนนี้เอง สวี่ผิงเฟิงก็ถอนหายใจและพูดว่า

“ไม่ใช่ว่าข้าเจอทายาทสายเลือดเมื่อห้าร้อยปีที่แล้วนี้เอง แต่เป็นพวกเขาหาข้าเจอ พวกเขาซ่อนตัวอย่างดีจนห้าร้อยปีมานี้ราชสำนักยังไม่เจอตัวพวกเขา ไม่อย่างนั้นข้าจะหาตัวพวกเขาเจอและเป็นพันธมิตรกับพวกเขาในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ได้อย่างไร?

“คนที่คิดจะตามหาข้าก่อนคือทายาทสายเลือดศิษย์รุ่นที่สองของท่านโหราจารย์รุ่นแรก อาจารย์จำได้หรือไม่ว่าข้าเคยถามท่านว่าจะเลื่อนอันดับเป็นขั้นที่หนึ่งได้อย่างไร แล้วเขาก็บอกความจริงกับข้า

“ที่จริงในตอนนั้นข้าได้รู้ความจริงจากทายาทสายเลือดโหรแห่งเมืองเฉียนหลงแล้ว แต่ข้าไม่อยากเลิกหวังกับท่าน ดังนั้นข้าจึงเลือกเป็นเจ้าหน้าที่ในราชสำนักโดยพยายามเป็นเสนาบดีผู้มากความสามารถ ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้ารวบรวมโชคชะตา

“ข้าคิดว่าตราบเท่าที่ราชวงศ์ต้าฟ่งยังขยายอาณาเขต ทั้งยังผนวกเอาอาณาเขตส่วนหนึ่งของสำนักโหรและคนเถื่อนทางตอนเหนือเข้ากับที่ราบลุ่มภาคกลางได้ ก็อาจมีโชคมากพอที่จะสร้างปรมาจารย์ลิขิตฟ้าได้สักคนสองคน

“แต่ความพยายามของข้าก็ล้มเหลวก่อนจะเริ่มด้วยซ้ำ การกดปราบของหยวนจิ่งและการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มต่างๆ ทำให้ตระกูลสวี่แตกสลาย…ทำไมท่านไม่ช่วยข้า ถ้าในตอนนั้นท่านช่วยข้า ทุกคนรวมถึงราชวงศ์ต้าฟ่งก็คงไม่มาถึงจุดที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้แน่ ท่านโหราจารย์ ท่านเป็นคนผลักข้าไปสู่เส้นทางที่สายเลือดทายาทเมื่อห้าร้อยปีก่อนเป็นอยู่”

พอพูดถึงอดีต สวี่ผิงเฟิงก็ถอนใจ วันนี้ความขุ่นเคืองแต่เดิมหายไป ทว่าถ้อยคำเหล่านี้ฝังอยู่ในใจมาหลายปี หากเขาไม่พูดตอนนี้ ในอนาคตคงไม่มีโอกาส

“ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับพวกสายเลือดทายาทเมื่อห้าร้อยปีก่อนและของต่อรองที่พวกเขามอบให้ข้าก็คือ…”

สวี่ผิงเฟิงชี้ไปยังอาวุธเวทมนตร์ที่อยู่เหนือหัวเขา ในขณะนี้ ชิ้นส่วนทองสัมฤทธิ์เหล่านั้นจัดเรียงตัวขึ้นมาใหม่แล้ว

นี่คือจานกลมขนาดมหึมา แกนกลางเป็นรูปปลาไท่จี๋ ลวดลายขอบด้านนอกประกอบไปด้วยห้าธาตุแปดทิศ มีดอกไม้ นก ปลา แมลง ภูเขา แม่น้ำ ตะวัน จันทรา ฉากบรรพชนเซ่นสังเวยสู่สรวงสวรรค์และผืนดิน

ดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์ทั้งหมดของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะถูกจารึกไว้ในนั้น

‘หึ่ง หึ่ง!’ หลังจากอาวุธเวทมนตร์จัดเรียงตัวขึ้นมาใหม่แล้ว มันก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสิบลี้ มีขนาดเท่ากับค่ายกลวงกลมใต้เท้าสวี่ผิงเฟิงพอดิบพอดี

อาวุธเวทมนตร์ทองสัมฤทธิ์หันไปด้านหนึ่ง ขณะที่ค่ายกลวงกลมใต้เท้าสวี่ผิงเฟิงหันกลับด้านกัน

ในชั่วพริบตา ทุกคนก็สังเกตเห็นว่ามีพลังที่ไม่อาจอธิบายได้เข้าปกคลุมสถานที่แห่งนี้ จากนั้นพวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงโลกภายนอกอีกต่อไป ราวกับว่าพวกเขาอยู่อีกโลกหนึ่งที่แยกตัวออกจากฟากฟ้าและผืนดินของจิ่วโจว

กลิ่นอายของท่านโหราจารย์ลดฮวบลงทันที เขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกและพรจากพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงก็พลันสูญสิ้นไป

“แน่นอนว่ามีเพียงปรมาจารย์ลิขิตฟ้าเท่านั้นที่สามารถจัดการกับปรมาจารย์ลิขิตฟ้าด้วยกันได้”

เมื่อเห็นว่า ท่านโหราจารย์สูญเสียพรจากพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงไป ปากของสวี่ผิงเฟิงก็กระตุกและเดาะลิ้นตัวเองซ้ำไปซ้ำมา

อาวุธเวทมนตร์นี้เป็นสิ่งที่ท่านโหราจารย์รุ่นแรกทิ้งไว้ให้ มีความสามารถอยู่สองอย่างและความสามารถสองอย่างนี้สามารถยับยั้งอำนาจของปรมาจารย์ลิขิตฟ้าได้

ปรมาจารย์ลิขิตฟ้าสามารถระดมพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงในพื้นที่ที่ตนอยู่ หากเป็นพวกระดับเดียวกันก็จะกลายเป็นผู้ไร้พ่าย จำต้องรวมพลังกับผู้บำเพ็ญขั้นหนึ่งหลายองค์จึงจะจัดการเขาได้

ความสามารถแรกของอาวุธเวทมนตร์นี้คือการป้องกันพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ถ้าปรมาจารย์ลิขิตฟ้าอยู่ในนั้นก็จะถูกตัดการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก

แน่นอนว่ามีเวลาจำกัด

ความสามารถที่สองเป็นความสามารถแฝง คือไม่อาจทำนายหรือสอดแนมได้

คำอธิบายให้เห็นภาพคือ…ท่านโหราจารย์ไม่สามารถมองเห็นการมีอยู่และความเป็นไปในอนาคตของเขาได้

นี่เป็นอำนาจที่มาพร้อมกับปรมาจารย์ลิขิตฟ้า

หากมีปรมาจารย์ลิขิตฟ้าสองคนในโลกใบนี้ พวกเขาย่อมไม่สามารถสอดส่องซึ่งกันและกันได้ รวมทั้งการมองไปในอนาคตด้วย เพราะพวกเขามีความสามารถเหมือนกัน

“ข้าสงสัยว่าความสามารถของผู้เฝ้าประตูเองก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งในอำนาจของปรมาจารย์ลิขิตฟ้าด้วย ท่านใช้วิธีการที่คล้ายกันเพื่อซ่อนสายตาสอดรู้สอดเห็นจากรุ่นแรกมิใช่หรือ?” สวี่ผิงเฟิงพูดไปยิ้มไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง