บทที่ 727 ควันหลง – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 727 ควันหลง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
บทที่ 727 ควันหลง
“แค่กๆ…”
สวี่ผิงเฟิงปิดปากไออย่างรุนแรงจนเลือดไหลออกมาระหว่างนิ้ว
ผ่านไปชั่วขณะหนึ่งจึงได้หยุดลงแล้วถอนหายใจแผ่วเบา
“ครึ่งชีวิตหายไปเสียแล้ว ท่านโหราจารย์ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ”
เขากวาดตามองทุกคนแล้วแนะนำว่า “กลับไปรักษาตัวก่อนดีกว่า อาการบาดเจ็บของพวกท่านไม่น้อยเลย ส่วนข้าก็ต้องใช้เวลาหล่อหลอมโชคชะตาแห่งชิงโจวด้วย”
เมื่อเอ่ยถึงสภาพของพวกเขาสามคนกับหนึ่งสัตว์ สวี่ผิงเฟิงนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาเกือบจะตายอยู่ในมือของท่านโหราจารย์แล้ว ที่บอกว่าครึ่งชีวิตหายไปนั้น ความจริงคือกำลังแสดงความเคารพ
ศีรษะของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่อาจงอกขึ้นใหม่ได้อีกต่อไป พลังของดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์กัดกร่อนร่างวิญญาณของเขาและลดทอนกำลังลง จึงจำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อหล่อหลอมและขจัดออก
สภาพกายเนื้อของ ‘ไป๋ตี้’ ย่ำแย่ยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ อีกทั้งผู้พิทักษ์ประตูก็อยู่ในมือ ตอนนี้มันเพียงแต่อยากจะส่งหอกยาวกลับไปนอกทะเลเพื่อความสบายใจ
ส่วนนักบวชเต๋าเฮยเหลียน เขาไม่ได้ถูกท่านโหราจารย์เพ่งเล็ง จึงบาดเจ็บน้อยที่สุด
ด้วยสภาพเช่นนี้ พวกเขาล้วนแต่ไม่กล้าบุกสังหารตรงไปยังเมืองหลวง
“รุ่นแรกสิ้นไปแล้วยังเหลือผู้รับช่วงต่อ เราทำให้ท่านโหราจารย์ต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ในเมื่อเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้าเหมือนกัน แต่ใครจะรับประกันได้ว่าท่านโหราจารย์จะไม่มีคนรับช่วงต่ออยู่อีก?”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มั่นคงแน่วแน่มาก
“การต่อสู้ครั้งนี้เรากำจัดท่านโหราจารย์ได้สำเร็จ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
นักบวชเต๋าเฮยเหลียนแค่นเสียง ‘เฮอะ’
“ก็มีแค่สวี่ชีอันคนเดียว ไม่อาจทำให้เกิดคลื่นลมอันใดได้หรอก อย่างมากก็เพิ่มลั่วอวี้เหิงหรือซุนเสวียนจีมาอีก อืม ยังมีเจ้าเศษเดนจินเหลียน นั่นก็น่าจะถึงขั้นสามแล้ว”
สวี่ผิงเฟิงหัวเราะ “อย่าลืมล่ะว่ายังมีโค่วหยางโจว”
แต่แล้วอย่างไร อย่ามองว่าในต้าฟ่งมียอดฝีมือเหนือสามัญมากมาย แต่ล้วนเป็นขั้นสองขั้นสามกันทั้งนั้น ส่วนฝ่ายตนแค่พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่คนเดียวก็สามารถสยบลั่วอวี้เหิง โค่วหยางโจว และสวี่ชีอันได้แล้ว เขาสามารถจัดการจนพวกนั้นไม่มีกำลังโต้กลับได้เลย
ไหนจะยังมีไป๋ตี้ เฮยเหลียน จีเสวียน และโหรขั้นสองสูงสุดอย่างเขาอีกคน
รอให้พิชิตชิงโจวและหล่อหลอมโชคชะตาชิงโจวเสร็จ พลังของเขาก็จะเลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง
…
ท่านโหราจารย์สิ้นแล้ว…มู่หนานจือนั่งยองอยู่ตรงหน้าสวี่ชีอัน แววตาสับสนงุนงง
“มะ หมายความว่าอะไร?”
นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
มู่หนานจือไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่นางรู้ว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน สีหน้าของสวี่ชีอันย่ำแย่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และตอนนี้เขาก็ไม่ได้ส่องกระจก
ไม่อย่างนั้นก็คงได้เห็นสีหน้าราวกับตนได้เผชิญกับหายนะและกำลังเข้าใกล้วันสิ้นโลกไปแล้ว
ในความเข้าใจของเทพดอกไม้ผู้กลับชาติมาเกิด ความดื้อรั้น ความเย่อหยิ่ง และความโอหังที่ฝังอยู่ในกระดูกของชายผู้นี้ไม่อาจทำให้เขายอมจำนนได้แม้ความตายจะมารออยู่ตรงหน้า
แต่สีหน้าหมดหวังเมื่อครู่นั่นเป็นภาพที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้นางเกิดความรู้สึกลนลานอย่างไม่รู้สาเหตุ
“หายนะครั้งใหญ่กำลังจะมาเยือน…”
สวี่ชีอันที่ฟื้นตัวในขั้นแรกเอ่ยอธิบายออกมาคร่าวๆ แล้วหยิบหอยสังข์กระแสจิตออกมาจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ก่อนส่งกระแสจิตลงไป
“ศิษย์พี่ซุน ท่านโหราจารย์เกิดเรื่องแล้วใช่หรือไม่”
อาณาจักรกำลังจะพินาศ โชคชะตาส่งเสียงเตือน เขารู้ว่าท่านโหราจารย์เกิดปัญหาขึ้นแล้ว แต่สัมผัสรับรู้ไม่อาจบอกรายละเอียดให้เขารู้ได้
สังข์กระแสจิตเงียบสนิทไม่มีเสียงตอบกลับ แม้แต่คำเดียวก็ไม่มี
สวี่ชีอันรอคอยอย่างร้อนรนพลางคิดใคร่ครวญไปด้วย จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างที่ชิงโจวเป็นแน่ จากสถานการณ์ในตอนนี้ มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ด้วยพลังของสวี่ผิงเฟิงและเจียหลัวซู่ อย่างมากที่สุดคือรั้งท่านโหราจารย์ไว้ แต่ไม่สามารถคุกคามอะไรท่านโหราจารย์ในถิ่นของชิงโจวได้เลย แต่ท่านโหราจารย์ก็เจอเคราะห์ร้ายเข้าแล้วจริงๆ…ดังนั้นพวกเขาจะต้องมีผู้ช่วยอีกแน่
ตอนนี้ถ้าพิจารณาบรรดากองกำลังใหญ่ๆ ในจิ่วโจว จากทัศนคติที่พวกสำนักพ่อมดมีแต่ภาคกลาง พวกเขาจะต้องกำลังนั่งบนภูดูเสือกัดกันอย่างแน่นอน หรือถึงขั้นเกิดความคิดเช่นนกปากซ่อมกับหอยต่อสู้กัน ชาวประมงได้รับผลประโยชน์[1] แต่ดูจากสภาพการณ์ในปัจจุบัน สำนักพ่อมดย่อมไม่อยากให้ต้าฟ่งพ่ายแพ้เร็วขนาดนี้แน่
พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสุนัขจะกัดกันแรงขึ้นกว่านี้อีก ดังนั้นพ่อมดใหญ่อย่างซ่าหลุนอากู่คงจะไม่เข้าร่วม
ในส่วนของกองกำลังอื่น เผ่าพันธุ์กู่นั้นไม่มีทางมองว่าต้าฟ่งเป็นศัตรูแน่ ทั้งยังยุ่งเกินกว่าจะมาสนใจ พลังวิญญาณก็ล้วนแต่นำไปป้องกันห้วงเหวลึกทั้งนั้น ส่วนทางฝั่งอรัญตามีปีศาจทางใต้จับตามองอยู่ หากพวกเขากล้ารุกรานภาคกลางเพื่อช่วยสวี่ผิงเฟิง จิ้งจอกเก้าหางก็ต้องพาราชาหมีและเสินซูไปสยบอรัญตาและปลดผนึกศีรษะของเสินซูตั้งนานแล้วสิ แต่จากการสื่อสารระหว่างไป๋จีกับนางก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่านางจะไม่มีความคิดด้านนี้เลย
ปีศาจทางเหนือสิ้นแล้ว ปีศาจจู๋จิ่วที่เป็นขั้นสามก็ยากจะผงาดขึ้นมาได้
ส่วนบรรดาผู้อยู่เหนือสามัญที่นอกเหนือจากกองกำลังใหญ่ๆ นั้น ตัดนิกายสวรรค์ออกไปได้เลย เฮยเหลียนจากนิกายปฐพีคิดจะสู้ตายกับพรรคฟ้าดิน ส่วนข้า ในฐานะที่เป็นคนที่เนื้อหอมที่สุดในพรรคฟ้าดิน ย่อมกลายเป็นเป้าหมายที่เขาเพ่งเล็งอยู่แล้ว
ไป๋ตี้เป็นเผ่าต้าฮวง เผ่าต้าฮวงวางแผนที่จะเป็นผู้พิทักษ์ประตู จึงมีการติดต่อกันกับสวี่ผิงเฟิง แต่ไม่แน่ว่าเขาจะยอมลงมือจัดการท่านโหราจารย์ เพราะไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกันโดยตรง และสวี่ผิงเฟิงก็ไม่แน่ว่าจะมีข้อต่อรองที่พอจะทำให้เขาหวั่นไหวได้ ดังนั้นสัตว์ตนนี้จึงอยู่ในหมวดหมู่น่าสงสัย
ดังนั้นอาศัยแค่เฮยเหลียนเข้ามาร่วงวง ก็ย่อมไม่อาจคุกคามท่านโหราจารย์ได้ สวี่ผิงเฟิงจะต้องมีไพ่ตายอย่างอื่นอีกแน่…
เมื่อวิเคราะห์ถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็คาดเดาบางอย่างได้…โหราจารย์รุ่นแรก!
โหราจารย์รุ่นแรกแซ่ไฉ และสุสานที่ตระกูลไฉเฝ้าอยู่ก็คือสุสานของโหราจารย์รุ่นแรก ซึ่งผิงเฟิงก็ได้รวบรวมแผนที่และเข้ายึดครองสุสานแห่งนั้นได้แล้ว
ถ้าหากบนโลกนี้ยังมีสิ่งที่สามารถคุกคามปรมาจารย์ลิขิตฟ้าได้ เช่นนั้นก็มีแต่ปรมาจารย์ลิขิตฟ้าเท่านั้น
ตอนนี้เอง หอยสังข์กระแสจิตก็มีเสียงของผู้พิทักษ์หยวนดังขึ้น
“ฆ้องเงินสวี่ ข้าคือผู้พิทักษ์หยวน”
สวี่ชีอันพลันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ แล้วลุกลี้ลุกลนคว้าหอยสังข์กระแสจิตไว้ จากนั้นนำมาแนบที่หูแล้วเอ่ยถามอย่างเร่งด่วน
“เจ้าว่ามา!”
ทางนั้นเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นผู้พิทักษ์หยวนจึงเอ่ยว่า
“มารดามันเถอะ อาจารย์โหราจารย์ไม่มีทางตายสิ…ข้าจะฆ่าเจ้าพวกเศษสวะจากอวิ๋นโจว…ท่านโหราจารย์ไม่มีทางตาย ไม่มีทาง…มารดาเถอะ มารดามันเถอะ….ตอนนี้จะทำอย่างไรดี…อาจารย์ท่านโหราจารย์ไม่มีผู้สืบทอด…อาจารย์ถูกฆ่าจริงหรือ? มารดามันเถอะ ข้าจะฆ่าเจ้าพวกเศษสวะจากอวิ๋นโจวกลุ่มนั้น…”
นี่คือความในใจที่จริงแท้ที่สุดของซุนเสวียนจี
ท่านโหราจารย์ สิ้นแล้ว สภาพจิตใจของศิษย์พี่ซุนพังทลายแล้ว…สวี่ชีอันฟังด้วยสีหน้าหมองคล้ำ ดวงตาค่อยๆ เบิกขยาย
เขาวางหอยสังข์กระแสจิตในมือไว้เงียบๆ แล้วนั่งลงเงียบๆ
มู่หนานจือนั่งยองๆ อยู่ข้างกายเขาโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียง จิ้งจอกขาวตัวน้อยในอ้อมกอดขดม้วนตัวอยู่ในอ้อมแขนของนาง โผล่ออกมาเพียงดวงตาสีดำขลับคู่หนึ่งที่มองมาที่เขาอย่างระมัดระวัง
ผ่านไปพักหนึ่ง สวี่ชีอันก็เอ่ยถามขึ้น
“สถานการณ์ที่ชิงโจวเป็นอย่างไรบ้าง?”
ผู้พิทักษ์หยวนเงียบไปครู่หนึ่ง
“ความในใจของศิษย์พี่ซุนไม่ได้บอกข้า…”
ในหัวของซุนเสวียนจีสับสนอลหม่านไปหมดแล้ว
“แต่คาดว่าชิงโจวคงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว ข้าเดาว่าคงต้องถอยไปที่ยงโจว” ผู้พิทักษ์หยวนเอ่ยการคาดเดาของตัวเองอกมา
“ข้าเข้าใจแล้ว…” สวี่ชีอันจบการส่งกระแสจิตเพียงเท่านั้น
…
เผ่าพันธุ์กู่
ที่ขอบของหุบเหวลึก แม่ย่าเทียนกู่นำเหล่าผู้นำเหนือสามัญทั้งหลายเตรียมเข้าไปชะล้างอสูรกู่และหนอนกู่ในเหวลึก แต่ฉับพลันนั้นก็นั่งงันแล้วเงยหน้ามองไปทางเหนือ
ผู้นำเผ่าพันธุ์กู่และยอดฝีมือขั้นสี่ที่อยู่ข้างกายก็พากันหยุดฝีเท้าไปตามๆ กัน
เยียนมองไปยังหลวนอวี้ผู้มีกิริยานวยนาด พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“แม่ย่าเป็นอะไรหรือ?”
แม่ย่าเทียนกู่เงียบไปนาน สีหน้าก็หนักอึ้ง
“ท่านโหราจารย์ สิ้นแล้ว…”
เทียนกู่สามารถมองเห็นภาพของอนาคตได้เป็นครั้งคราว และในชั่วขณะเมื่อครู่ แม่ย่าเทียนกู่ก็ได้มองเห็นแท่นแปดทิศในหอดูดาวของต้าฟ่ง
นั่นเป็นแท่นแปดทิศที่ว่างเปล่า
ในฐานะปรมาจารย์เทียนกู่ขั้นสอง นางให้ความสำคัญกับมุมหนึ่งของอนาคตเสมอ
หลังจากอ่านดูอย่างละเอียดแล้ว นางก็เข้าใจความหมายของอนาคตมุมนั้น…หลังจากนี้ต่อไป ต้าฟ่งจะไม่มีท่านโหราจารย์แล้ว!
‘ท่านโหราจารย์สิ้นแล้ว…’ ผู้นำเหนือสามัญของเผ่าพันธุ์กู่ในที่นั้นต่างเผยสีหน้างุนงง
‘อะไรคือท่านโหราจารย์สิ้นแล้ว?’
‘ท่านโหราจารย์จะสิ้นชีพได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นต้าฟ่งจะเป็นอย่างไร?’
หากเป็นเมื่อก่อน เมื่อพวกเขารู้ข่าวนี้คงจะต้องกู่ก้องร้องโห่ดีใจกัน แล้วเฉลิมฉลองที่ต้าฟ่งสูญเสียนักบุญอุปถัมภ์ผู้นี้
แต่บัดนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ผูกติดอยู่บนเชือกเส้นเดียวกับต้าฟ่ง แต่ก็ได้ลงทุนลงแรงไปด้วยเหมือนกัน
บางคราวเขาก็เงยหน้ามองไปยังประตูใหญ่ของห้องทรงพระอักษรและรอคอยอย่างร้อนใจ
ไม่นานนัก เงาร่างที่เดินอย่างเร่งรีบของจ้าวเสวียนเจิ้นผู้เป็นขันทีรับใช้ก็ปรากฏขึ้น เขาก้าวผ่านธรณีประตูแล้วรีบวิ่งเข้ามา
“เป็นอย่างไรบ้าง ได้พบท่านโหราจารย์หรือไม่”
จักรพรรดิหย่งซิ่งลุกขึ้นทันที สองมือวางกดไว้บนโต๊ะแล้วจ้องจ้าวเสวียนเจิ้นเขม็ง
คนหลังส่ายหน้าเล็กน้อย
“บ่าวพบกับซ่งชิงและได้ถ่ายทอดพระดำริของฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ ซ่งชิงขึ้นไปยังแท่นแปดทิศ แล้วบอกว่าท่านโหราจารย์ไม่ได้อยู่ที่สำนักโหราจารย์”
ประกายแสงในแววตาของจักรพรรดิหย่งซิ่งค่อยๆ หม่นลงแล้วนั่งบนบัลลังก์ที่เดิม ก่อนกล่าวอย่างหมดแรงไร้กำลัง
“ซ่งชิงได้กล่าวหรือไม่ว่าท่านโหราจารย์อยู่ที่ใด?”
จ้าวเสวียนเจิ้นส่ายหน้าและราวกับจะเอ่ยบางอย่าง
จักรพรรดิหย่งซิ่งขมวดคิ้ว “มีอะไรก็พูดมา”
จ้าวเสวียนเจิ้นเอ่ยอย่างระมัดระวัง
“ตอนนั้นสีหน้าของซ่งชิงไม่ดีเลยพ่ะย่ะค่ะ ท่าทางเหมือนพูดไม่ถูก ทั้งยังมีความร้อนรนด้วย กระหม่อมลองถามแล้ว เขาก็บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร บอกเพียงแค่ว่าอาจจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว…”
‘อาจจะเกิดเรื่องใหญ่…’ จักรพรรดิหย่งซิ่งจมอยู่ในความคิด ลางสังหรณ์ไม่ดีก่อตัวขึ้นในใจของเขา
ตอนนี้เอง ทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษรพร้อมเสียงชุดเกราะ เขากุมมือแล้วโค้งตัวก่อนเอ่ยเสียงดัง
“ฝ่าบาท ชินอ๋องและจวิ้นอ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งนิ่งไป ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจเริ่มหนักอึ้งขึ้น
…
ชิงโจว ที่ว่าการมณฑล
เจ้าพนักงานแต่ละคนพากันเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ รายงานการศึกถูกวางไว้บนโต๊ะของสมุหเทศาภิบาลหยางกง
‘อำเภอหว่านจวิ้นแตกพ่าย กองทัพป้องกันทั้งกองล้วนสิ้นหมดแล้ว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นไม่รู้ว่าหายตัวไปที่ใด เป็นตายหรือก็มิรู้…ชีก่วงป๋อปล่อยทัพกบฏและผู้ลี้ภัยเข้ามาปล้นฆ่าสังหารในเมือง หว่านจวิ้นกลายเป็นเศษซากภายในชั่วข้ามคืน…’
‘อำเภอที่อยู่ใกล้เคียงกับตงหลิงแตกพ่ายแล้ว แม่ทัพผู้พิทักษ์จ้าวกว่างนำกำลังสองพันนายล่าถอย ซุนเสวียนจีออกจากค่าย ไม่รู้ไปแห่งใด…’
‘อำเภอซงซานแตกพ่าย ทัพอสูรบินเสียหายไปกว่าครึ่ง แม่ทัพผู้พิทักษ์จู๋จวินนำกำลังต้านรับข้าศึกและสู้ตายจนชีพวาย สวี่ซินเหนียนนำทัพเผ่าพันธุ์กู่ที่เหลือจำนวนแปดร้อยนายและกองทัพป้องกันอีกสามร้อยนายล่าถอย ระหว่างทางพบแม่ทัพฆ่าศึกจัวเฮ่าหรานไล่ล่า สวี่ซินเหนียนถูกดาบฟัน เป็นตายมิรู้…’
ในชั่วข้ามคืน แนวป้องกันที่สองของชิงโจวก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ กองทัพชิงโจวล้วนแต่เสียหายกันอย่างหนัก
เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในชิงโจวไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้ นอกจากจะสะเทือนขวัญแล้ว ยังสร้างความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวด้วยเช่นกัน
“ทุกท่าน ชิงโจวคงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว ข้าจึงตัดสินใจว่าจะถอยไปตั้งหลักที่ยงโจว”
หยางกงถอนหายใจยาวเหยียดแล้วค่อยๆ กวาดสายตามองเหล่าขุนนางและนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ไปเตรียมเรื่องต่างๆ ให้พร้อมอพยพเถอะ”
สิ่งที่เรียกว่าเรื่องต่างๆ นั้นรวมไปถึงการล้างคลังเสบียงครั้งใหญ่ เก็บสัมภาระทางทหารและเงินทอง และการกวาดต้อนผู้คน
แน่นอนว่าจากตัวอย่างในอดีต การอพยพผู้คนนั้นหมายถึงเหล่าขุนนางชั้นสูงในท้องถิ่น ไม่ใช่ชาวบ้านชั้นล่างอย่างแท้จริง
นี่ไม่ใช่การปฏิบัติต่อชาวบ้านราวกับสุนัข แต่ในช่วงศึกสงคราม ชาวบ้านชั้นล่างไม่ได้มีคุณค่าใดๆ จริงๆ ขุนนางชนชั้นสูงนั้นมีเงิน มีอาหาร และมีคน เมื่อผูกติดกับพวกเขา ราชสำนักก็จะได้รับการตอบแทน (ผลประโยชน์) ที่เกี่ยวข้องได้
ส่วนชาวบ้านชนชั้นล่างนั้นไม่มีสิ่งใดทั้งนั้น ที่ควรจะปล่อยก็ต้องปล่อย ไม่เช่นนั้นจะเป็นการฉุดรั้งราชสำนักแทน
ขุนนางทั้งหลายลุกขึ้นเงียบๆ แล้วคำนับให้กับหยางกง ก่อนจะถอยออกจากโถงใหญ่เงียบๆ แล้วหายไปทำธุระของตนเอง
ภายในโถงใหญ่ พริบตาเดียวก็ไร้เงาคนจนเงียบงันไร้สุ้มเสียง
แสงอาทิตย์ส่องลอดเข้ามาจากทางหน้าต่าง ใต้เท้าสมุหเทศาภิบาลผู้นี้นั่งนิ่งอยู่ในโถง ชั่วพริบตาเดียวก็ราวกับแก่ขึ้นหลายสิบปี
…
รัชศกหย่งซิ่งปีที่หนึ่ง ฤดูหนาว
ชิงโจวแตกพ่าย สมุหเทศาภิบาลหยางกงสั่งอพยพกองกำลังถอยร่นไปตั้งหลักยังยงโจวและเริ่มการต่อต้านอวิ๋นโจวที่นั่น
ใต้หล้าล้วนสั่นสะเทือน
…………………………………………
[1] นกปากซ่อมกับหอยสู้กัน ชาวประมงได้รับผลประโยชน์ (鹬蚌相争,渔翁得利) หมายถึง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันและไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน จนปล่อยให้บุคคลที่สามฉวยโอกาสคว้าผลประโยชน์ไปแทน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...