บทที่ 728 ความหวาดกลัว
ยามดึก ณ สำนักโหราจารย์
ซ่งชิงเอนตัวอยู่บนโต๊ะและหลับสนิท โดยที่บนโต๊ะยังมีอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุแบบต่างๆ วางอยู่ ขณะที่ถ่านไฟในหม้อต้มยาก็ยังคงหลงเหลือความอบอุ่น
ทันใดนั้นซ่งชิงก็พลันสะดุ้งตื่น เขาเบิกตากว้างและมองเห็นเสื้อคลุมสีขาวที่ข้างโต๊ะ
เขาจ้องมองไป สักพักถึงพบว่านั่นคือศิษย์พี่ซุน สีหน้าของเขาทรุดโทรม แววตาเลื่อนลอย และกำลังมองเขาอยู่เงียบๆ
ข้างๆ กันยังมีวานรขาวตัวหนึ่งอยู่ด้วย
“ศิษย์พี่ซุน ท่านกลับมาได้อย่างไร?”
ซ่งชิงอ้าปากหาวแล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่ว่าทำศึกอยู่ที่ชิงโจวหรือ? คงไม่ได้มาเพราะต้องการอุปกรณ์อีกหรอกนะ ท่านปล่อยข้าไปเถอะ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าให้ท่านไปชุดนึงแล้วหรือ ศิษย์พี่ ข้านอนวัยละหนึ่งชั่วยามเท่านั้นนะ ต่อให้เป็นมนุษย์เหล็กก็ต้องพักผ่อนกระมัง”
เขาบ่นคร่ำครวญไม่หยุด
ซุนเสวียนจีไม่ได้พูดอะไร วานรขาวที่อยู่ข้างกายลังเลพักหนึ่งก็เอ่ยพูดเสียงเบา
“อาจารย์โหราจารย์ อาจจะดับสูญแล้ว”
เสียงโอดครวญหยุดลงทันใด ซ่งชิงนิ่งงันไปแล้ว
ตอนนี้เอง ซุนเสวียนจีก็พลันล้มลงบนพื้นและมีเลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด กลิ่นอายชีวิตค่อยๆ เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
ซ่งชิงใจตกไปที่ตาตุ่ม ทางหนึ่งรีบควานหยิบเม็ดยาออกมาจากในกระเป๋าด้วยมือไม้ลนลาน อีกทางก็เอ่ยเสียงสั่น
“กะ เกิดอะไรขึ้น ศิษย์พี่ซุน…”
ผู้พิทักษ์หยวนยืนอยู่ข้างๆ เขามองซุนเสวียนจีพร้อมเอ่ยเสียงเบา
“เพื่อตรวจสอบความจริงเรื่องการดับสูญของท่านโหราจารย์ เขาจึงไปที่สมรภูมิรบด้วยตัวเอง”
หลังจากซ่งชิงจับชีพจร หัวใจของเขาก็จมลงสู่ก้นเหว
ซุนเสวียนจีบาดเจ็บลึกถึงจุดกำเนิด เส้นชีพจรถูกตัดขาด อวัยวะภายในล้มเหลว จิตเดิมก็อ่อนแออย่างที่สุด
อาการบาดเจ็บเช่นนี้ เมื่อมาอยู่บนตัวของโหรผู้หนึ่งก็เพียงพอจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้แล้ว
สาเหตุที่ยังพาวานรขาวกลับมาที่สำนักโหราจารย์ได้ คาดว่าคงเป็นเพราะในใจยังมีความยึดติดอยู่เป็นแน่
ผู้พิทักษ์หยวนมองเห็นความคิดของซ่งชิง จึงเอ่ยเสียงหม่นหมอง
“มันคือไฟแห่งความแค้นที่พาเขากลับมาที่สำนักโหราจารย์”
…
หอดูดาว ห้องใต้ดิน
จงหลีจ้องมองซ่งชิงอย่างเหม่อลอย ภายใต้ผมสีดำที่ยุ่งเหยิงนั่นมองเห็นดวงตาที่สว่างไสวราวกับเปล่งประกายสายน้ำ
“อาจารย์โหราจารย์ สิ้นแล้ว?”
นางเอ่ยพึมพำ
ซ่งชิงส่งเสียง ‘อืม’ ตอบรับ น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำ แม้มองไม่เห็นความเศร้าโศกบนใบหน้าของเขา แต่อาการเฉื่อยชากลับน่าเศร้ายิ่งกว่า
“สวี่ผิงเฟิง ผู้นำเต๋านิกายปฐพี พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ และยังมีไป๋ตี้ ไป๋ตี้จากอวิ๋นโจวตนนั้น” ซ่งชิงเอ่ยเสียงแผ่ว
“ศิษย์พี่ซุนเห็นพวกเขาแล้ว พวกเขาเป็นคนสังหารท่านโหราจารย์”
เมื่อเห็นจงหลีนิ่งเงียบไม่พูดจาอยู่นาน ซ่งชิงก็เอ่ยว่า
“ข้าจะเข้าวังไปบอกจักรพรรดิน้อย”
เขาหันกายจากไป ห้องใต้ดินตกอยู่ในความเงียบงันชั่วนิรันดร์
ผ่านไปนาน จงหลีก็หยิบกล่องไม้ข้างกายขึ้นมาแล้วลูบฝากล่องอย่างแผ่วเบา หยาดน้ำตาไหลหลั่งไม่หยุด
“ต้องแก้แค้น ข้าจะแก้แค้นแทนอาจารย์โหราจารย์เอง…”
…
ยามเช้าตรู่ฟ้าสาง บนกำแพงเมืองของเมืองหลวง คบเพลิงที่ลุกไหม้อยู่ในฤดูหนาวเดือนสิบสองก็ไม่อาจขจัดความหนาวเย็นเสียดกระดูกไปได้
น้ำค้างอาบไล้ทั่วกำแพงเมืองแล้วจับตัวเป็นน้ำแข็งท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ทำให้กำแพงแข็งราวกับเหล็กกล้า
ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เฝ้ากำแพงเมืองถือหอกยาว มือของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยบาดแผลที่โดนน้ำแข็งกัด บางครั้งก็เป่าลมร้อนไปที่กลางฝ่ามือ หรือไม่ก็ยื่นมือเข้าไปใกล้คบเพลิงเพื่อหาความอบอุ่นในค่ำคืนอันเหน็บหนาวสุดขั้ว
‘กุบ กุบ กุบ!’
เสียงฝีเท้าม้าดังมาจากที่ไกลๆ เข้ามาในหูของเหล่าทหารคุ้มกันกำแพง
ในคืนฤดูหนาว เจ้าหน้าที่ม้าเร็วตัวหนึ่งพุ่งมาที่ใต้กำแพงเมืองพร้อมสะบัดแส้กระแทกบังเหียนอย่างแรง ภายใต้สายตาระแวดระวังของเหล่าทหารคุ้มกันกำแพง เขาก็ร้องตะโกนสุดเสียง
“เปิดประตู ข่าวด่วนจากแปดร้อยลี้…”
ณ ห้องบรรทม จักรพรรดิหย่งซิ่งที่หลับสนิทถูกจ้าวเสวียนเจิ้นปลุกให้ตื่นขึ้น เขานวดหว่างคิ้วอย่างอ่อนล้าแล้วระงับอารมณ์ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“มีเรื่องใดต้องมาปลุกเรากลางดึก”
ปกติแล้วผู้ที่กล้ามารบกวนการพักผ่อนของจักรพรรดิในเวลานี้ หากไม่ใช่เพราะท้องฟ้าถล่มก็ต้องเป็นเพราะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว
จักรพรรดิหย่งซิ่งไม่คิดว่าสุนัขรับใช้คนนี้จะเบื่อชีวิตแล้ว เช่นนั้นคำตอบก็น่าจะเป็นอย่างแรก น้ำเสียงของเขาจึงยิ่งทุ้มต่ำ สีหน้าก็เคร่งขรึมไปด้วยเช่นกัน
สีหน้าของจ้าวเสวียนเจิ้นซีดเผือดดุจกระดาษ
“ฝ่าบาท ภายในส่งข่าวด่วนมาว่าชิงโจวป้องกันไว้ไม่อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
จักรพรรดิหย่งซิ่งนิ่งงันอยู่บนเตียง ดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าแข็งค้าง
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท”
จ้าวเสวียนเจิ้นเรียกไปสองครั้ง จักรพรรดิหย่งซิ่งจึงส่งเสียง ‘อ่า’ ออกมาเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน
“รายงานอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร…”
ยังไม่ทันพูดจบ จักรพรรดิหย่งซิ่งก็เลิกผ้าห่มแล้วผลักจ้าวเสวียนเจิ้นออกไป เขาเดินเท้าเปล่าและสวมเพียงเสื้อสีขาวตัวใน จากนั้นก็มุ่งตรงไปยังห้องทรงพระอักษร
ห้องทรงพระอักษรเชื่อมติดกับห้องบรรทม ห้องหนึ่งอยู่ข้างใน อีกห้องอยู่ข้างนอก ไม่นานเขาจึงวิ่งออกจากห้องบรรทมมายังห้องทรงพระอักษรได้
เขาเดินตรงมายังโต๊ะแล้วหยิบหนังสือรายงานที่วางอยู่บนนั้นขึ้นมาอ่านด้วยสีหน้าย่ำแย่
เนื้อหาในหนังสือรายงานแบ่งเป็นสามส่วน
หนึ่งคือสถานการณ์ผู้บาดเจ็บล้มตายของกองทัพคุ้มกันเมืองชิงโจว เขตป้องกันแห่งชิงโจวสามสิบเขต ทั้งยังมีทหารจากเมืองหลวงและเมืองต่างๆ ที่โยกย้ายไปเสริมทัพ รวมทั้งหมดเป็นกำลังเก้าหมื่นนาย ล้วนสูญเสียไปถึงหกส่วน ทหารสามหมื่นกว่านายที่ยังเหลือได้ถอยกำลังมาที่ยงโจวแล้ว
สองคือเรื่องเกี่ยวกับท่านโหราจารย์ หยางกงคิดว่าอาจเกิดเรื่องกับท่านโหราจารย์แล้ว และหวังว่าราชสำนักจะรีบยืนยันสถานการณ์ของท่านโหราจารย์โดยเร็ว
สามคือคำแถลงความรู้สึกของหยางกง ความหมายคร่าวๆ คือละอายต่อองค์จักรพรรดิ ละอายต่อเทวดาอารักษ์ แต่ขอใช้ความตายเพื่อแทนคุณใต้หล้า
จักรพรรดิหย่งซิ่งอ่านจบมือก็เริ่มสั่นเทา
“ไร้สาระ ท่านโหราจารย์เป็นนักบุญอุปถัมภ์แห่งต้าฟ่ง อยู่ในขั้นหนึ่ง ภายในอาณาเขตของต้าฟ่ง จะยังมีใครกล้าลงมือกับเขาได้? หยางกงผู้นี้ปล่อยข่าวลือให้ผู้คนเข้าใจผิด เราจะตัดหัวเขาให้ได้สมกับที่เขาต้องการเสียเลย”
สีหน้าของจักรพรรดิหย่งซิ่งเขียวคล้ำแล้วตบโต๊ะอย่างแรง
ตอนนี้ไม่ว่าใครที่กล้ามาเอ่ยว่าท่านโหราจารย์เกิดเรื่องต่อหน้าเขา เขาก็จะทำให้อีกฝ่ายได้รู้ซึ้งว่าอะไรคือความพิโรธ
ตอนนี้เอง ทหารรักษาวังที่คุ้มกันอยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อนแล้วเอ่ยรายงานว่า
“ฝ่าบาท ซ่งชิงจากสำนักโหราจารย์อยู่นอกวังและมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
‘ซ่งชิงมาแล้ว จะต้องเป็นข้อความจากท่านโหราจารย์อย่างแน่นอน ท่านโหราจารย์ให้เขามาส่งคำพูดกระมัง…’ จักรพรรดิหย่งซิ่งตื่นตัวขึ้นมา เขาตะโกนเสียงดังลั่น
“เร็ว รีบเชิญเขาเข้ามา”
ขันทีรีบส่งป้ายเชิญไปทันที
หนึ่งเค่อต่อมา ทหารรักษาวังก็เดินนำซ่งชิงกลับมา ฝ่ายแรกหยุดอยู่เพียงด้านนอกห้องทรงพระอักษร ส่วนฝ่ายหลังเดินข้ามธรณีประตูแล้วก้าวลงบนพรมแดงเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
“ท่านซ่ง มีข้อความจากท่านโหราจารย์ใช่หรือไม่” จักรพรรดิหย่งซิ่งก้าวเข้าไปแล้วเอ่ยถามออกมา
เขาจ้องเขม็งไปที่ซ่งชิง ในแววตาเต็มไปด้วยความหวัง
เมื่อเทียบกันแล้ว ซ่งชิงนั้นราวกับหมาไร้เจ้าของ เขามีสีหน้าซีดขาวและมีรอบคล้ำใต้ตา
“ฝ่าบาท อาจารย์โหราจารย์ ดับสูญแล้ว…”
จักรพรรดิหย่งซิ่งนั่งลงบนบัลลังก์ ราวกับถูกเลาะเนื้อเถือกระดูกไป
ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโมโหแล้วชี้ไปที่ซ่งชิงพร้อมตะโกนลั่น
“ไร้สาระ ซ่งชิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร? ท่านโหราจารย์เป็นอาจารย์ของเจ้า แต่เจ้ากลับกล้าแช่งเขาหรือ?”
เขาลุกขึ้นยืนแล้วสะบัดชายฉลองพระองค์อย่างแรง จากนั้นตะโกนว่า
“ภายในอาณาเขตของต้าฟ่งแห่งนี้จะมีใครที่กล้าลงมือกับท่านโหราจารย์กัน เจ้าบอกข้ามา ใครกันที่กล้าลงมือกับท่านโหราจารย์?”
สีหน้าของซ่งชิงหม่นหมอง
“ศิษย์พี่ซุนได้ตรวจสอบขั้นต้นแล้ว พบว่าอาจารย์โหราจารย์เขาอาจจะดับสูญไปแล้วจริงๆ วันนั้นที่อวิ๋นโจวเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด โชคชะตาเลือนหาย กลิ่นอายของอาจารย์โหราจารย์ก็หายไปเช่นกัน และไม่ปรากฏออกมาอีก”
จักรพรรดิหย่งซิ่งค่อยๆ นั่งห่อเหี่ยวบนเก้าอี้ตัวใหญ่พลางเอ่ยพึมพำ
“ท่านโหราจารย์เขา…ทำไมถึง…ใครกล้าสังหารเขากัน…”
ซ่งชิงเอ่ยอย่างทึมทื่อ
“จำนวนของยอดฝีมือเหนือสามัญในทัพกบฏอวิ๋นโจวเหนือกว่าที่คิดไว้”
จักรพรรดิหย่งซิ่งนั่งนิ่งอยู่นาน ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อยราวกับต้องลมหนาว
ความหวาดกลัวใหญ่หลวงกำลังเข้าครอบงำเขา
…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง