ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 743

บทที่ 743 ทั้งรักทั้งเกลียด

สวี่ชีอันมอบม้าตัวน้อยให้กับหน่วยองครักษ์ราชวัลลภและตรงเข้าไปในพระราชวัง ไปยังพื้นที่ต้องห้ามอันโออ่าของพระราชวัง วังใน

ก่อนหน้านี้วังในเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับผู้ชาย กระทั่งทหารรักษาพระองค์ของพระราชวังก็ยังเข้าใกล้ไม่ได้ มีเพียงสตรีและขันทีเท่านั้นที่สามารถเดินไปเดินมาในวังในได้

แต่วังในสำหรับสวี่ชีอันในตอนนี้เป็นเหมือนสถานที่ที่เขาสามารถเข้าออกได้ทุกเมื่อที่ต้องการโดยไม่จำเป็นต้องกลัวว่าองค์จักรพรรดิจะกริ้วแต่อย่างใด

แม้ว่าต่อไปจักรพรรดิจะกริ้ว ก็ต้องกริ้วเพราะเหตุผลอื่น

“จะว่าไปแล้ว ปรากฏการณ์เปลี่ยนจักรพรรดิบ่อยเช่นนี้ วังในก็คงยุ่งเหยิงวุ่นวายมากทีเดียว โชคดีที่จักรพรรดิหย่งซิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ไม่ถึงสามเดือน ฮว๋ายชิ่งก็เป็นสตรีนางหนึ่ง”

เมื่อนึกถึงสตรีที่งดงามราวกับดอกไม้ในวังใน สวี่ชีอันก็นึกถึงคำถามนี้ขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

สามารถกล่าวได้ว่า หากใต้หล้าสงบสุขหลังจากที่จักรพรรดิหย่งซิ่งขึ้นครองราชย์ เช่นนั้นเหล่านางสนมที่หยวนจิ่งทิ้งไว้ก็จะกลายเป็นของเล่นของหย่งซิ่งในเวลาไม่นาน

สาเหตุของคดีพระสนมฝูในตอนนั้น เป็นเพียงแค่การที่หย่งซิ่งดื่มสุราไปเล็กน้อย จากนั้นนางกำนัลจากตำหนักพระสนมฝูก็เชิญเขาไปในฐานะ ‘แขก’ ซึ่งนำไปสู่คดีของพระสนมฝูในเวลาต่อมา

สวี่ชีอันไม่เชื่อ ถ้าจะพูดว่าหย่งซิ่งไม่ได้คิดอะไรกับนางสนมคนนี้ของเสด็จพ่อแม้แต่น้อย

ในวังใน อาจมีเพียงตำแหน่งพระพันปีและเฉินกุ้ยเฟยเท่านั้นที่หลีกห่างจนรอดพ้นจากชะตากรรมเช่นนั้นได้

แต่หากผู้ที่ขึ้นครองราชย์ครั้งนี้ไม่ใช่ฮว๋ายชิ่ง แต่เป็นองค์ชายสี่ เช่นนั้นนางสนมสาวๆ ที่งดงามดุจดอกไม้ในวังในของหย่งซิ่งก็คงหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ตายตัว กลายเป็นของเล่นของจักรพรรดิองค์ใหม่

มีตัวอย่างที่คล้ายกันมากมายในหนังสือประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จักรพรรดิจะปล้นลูกสะใภ้ ปล้นน้องสะใภ้ ปล้นพี่สะใภ้ ปล้นสตรีของพระราชบิดา

ไม่นานเขาก็มาถึงตำหนักจิ่งซิ่ว ขันทีชราที่เฝ้ายามอยู่ที่ประตูกลัวจนตัวสั่นงันงกและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

“ชะ เชิญฆ้องเงินสวี่รอในห้องโถงสักครู่ ทะ ทาสจะไปแจ้งไท่เฟยก่อน…”

สวี่ชีอันเข้าไปในห้องโถง ทันทีที่นั่งลง ขันทีคนนั้นก็เดินออกไปและกลับเข้ามา คุกเข่าลงที่ด้านหน้าเขา

“ไท่เฟยเชิญฆ้องเงินสวี่เข้าไปคุยด้านในขอรับ”

สวี่ชีอันลุกขึ้นยืนทันทีและเดินอ้อมไปที่หน้าตำหนักอย่างคุ้นเคยโดยไม่รอให้ขันทีนำทาง ไม่นานเขาก็มาถึงลานด้านหน้าตำหนักอันโอ่อ่าที่เฉินไท่เฟยอาศัยอยู่

ลานหน้าตำหนักไม่นับว่าใหญ่มาก มีวิวต้นไม้สองสามต้นปลูกอยู่ทางทิศใต้ มีแปลงดอกไม้อยู่ข้างต้นไม้ ทางทิศตะวันตกเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ที่มีเต่าและปลาคาร์ฟ ส่วนทางทิศเหนือเป็นอาคารสองชั้นทาสีแดงทั้งหลัง

ด้านในตำหนักว่างเปล่า ไม่มีนางกำนัลและขันทีเดินพลุกพล่านไปมา

สวี่ชีอันเดินผ่านลานด้านหน้า เมื่อก้าวข้ามธรณีประตูไปแล้วก็เห็นสองแม่ลูกนั่งอยู่บนฟูกนุ่มในห้องนั่งเล่น

นอกจากนางกำนัลข้างกายหลินอันแล้ว ในห้องก็ไม่มีคนอื่นอีก

เฉินไท่เฟยสง่างามเฉกเช่นเคย มวยผมอันงดงามสลับซับซ้อน พร้อมด้วยเครื่องประดับศีรษะอันหรูหรา นางสวมเสื้อผ้าแพรที่ตัดเย็บขึ้นอย่างประณีต ถึงแม้จะมีรอยตีนกาตื้นๆ เกิดขึ้นในวัยสี่สิบกว่า แต่ก็ไม่ได้ทำลายรูปลักษณ์ของนางแม้แต่น้อย

ตรงกันข้ามนางกลับมีความพิเศษและทรงเสน่ห์จนสุดจะพรรณนา

เป็นเพราะรูปลักษณ์อันงดงามเช่นนี้ ถึงได้ให้กำเนิดหญิงงามที่น่ารักและสดใสอย่างหลินอันได้ รวมทั้งหย่งซิ่งก็มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่เลวเช่นกัน

หลินอันสวมชุดกระโปรงสีแดงปักดิ้นทอง นางดูงดงามและหรูหรา ใบหน้ารูปไข่ช่างละเอียดลออ ดวงตาดอกท้อของนางมีเสน่ห์ชวนหลงใหล เครื่องแต่งกายที่สวยสดและปราณีตเหล่านั้นทำให้ห้องเต็มไปด้วยความแวววาว

ขอบตาของทั้งสองแม่ลูกเป็นสีแดงก่ำราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มาไม่นาน

เมื่อเห็นสวี่ชีอันเข้ามา ดวงตาของเฉินไท่เฟยก็ฉายแววความเกลียดชัง ขณะที่หลินอันมองเขาด้วยความคับแค้นและเจ็บปวด ก่อนที่เบ้าตาชื้นจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“ถวายบังคมไท่เฟย”

สวี่ชีอันโค้งคำนับอย่างมีมารยาท

“ข้ามิบังอาจรับ!” เฉินไท่เฟยสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเบาด้วยสีหน้าเย็นชา “ฆ้องเงินสวี่เป็นที่น่าภาคภูมิใจของที่ราบกลาง เพียงคำพูดเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจของจักรพรรดิได้ ข้าเป็นเพียงผู้หญิงยิงเรือคนหนึ่ง มิบังอาจรับการเคารพที่นอบน้อมของฆ้องเงินสวี่ได้หรอก”

“ไท่เฟยต้องการพบข้าด้วยเรื่องอันใด?” สวี่ชีอันถามตรงเข้าประเด็น

เฉินไท่เฟยไม่กล่าวอะไร เพียงแต่ชำเลืองมองหลินอัน

ส่วนหลินอันก็เม้มปากและไม่พูดอะไรสักคำ

ทันใดนั้นเฉินไท่เฟยก็จ้องนางด้วยสายตาเฉียบคมและชั่วร้าย หยดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของหลินอัน จากนั้นนางก็สะอึกสะอื้นกล่าวว่า “หนิงเยี่ยน ทะ ทำไมเจ้าทำกับเสด็จพี่จักรพรรดิเช่นนี้”

หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย

นางเป็นเหมือนเด็กสาวที่ถูกคนรักหักหลังและทอดทิ้ง นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากร้องไห้ อ่อนแอและน่าสมเพช

เฉินไท่เฟยก็ร้องไห้ขึ้นมาเช่นกัน นางร้องไห้ไปเช็ดน้ำตาไป “ตอนที่เจ้ายังเป็นฆ้องทองแดงคนหนึ่ง หลินอันปฏิบัติต่อเจ้าอย่างสุดหัวใจ อ้อนวอนจักรพรรดิองค์ก่อนแทนเจ้า มอบยาอายุวัฒนะ เงินทองด้วยความไม่ตระหนี่ ข้ายังจำฉากที่นางขอยาจากจักรพรรดิองค์ก่อนมารักษาบาดแผลเจ้า ใครจะไปคิดว่าภายในพริบตาเดียว เจ้าจะปฏิบัติกับนางเช่นนี้ ตอนแรกตระกูลสวี่ของเจ้าก็ลำบากยากแค้นเช่นกัน ตอนนี้เจ้าเหนือกว่าผู้อื่นแล้ว เจ้าก็ละทิ้งผู้คนที่ปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความจริงใจราวกับรองเท้าสำรอง หัวใจของเจ้าเป็นหินงั้นรึ?”

หลินอันได้ยินเช่นนี้ หัวใจของนางก็เหมือนถูกคมมีดบาดลึกขึ้นเรื่อยๆ

เฉินไท่เฟยร่ำไห้พลางกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าสถานการณ์ของหย่งซิ่งจบลงแล้ว และข้าก็ไม่ได้ขออะไรฟุ่มเฟือย เพียงแต่หวังว่าเจ้าจะเห็นแก่หลินอัน ปล่อยพวกเราสองแม่ลูกจากไปเถอะ ข้ารู้ เจ้าสามารถพูดว่าตนเองจะดูแลหย่งซิ่งและรักษาชีวิตเขาได้ แต่ฮว๋ายชิ่งอดทนมาหลายปี จิตใจก็โหดเหี้ยมอำมหิต ย่อมไม่มีทางปล่อยหย่งซิ่งไปอย่างแน่นอน เจ้าก็ไม่สามารถอยู่ที่เมืองหลวงได้บ่อยๆ หากนางลอบสังหารหย่งซิ่งอย่างลับๆ แล้วเจ้าจะทำอย่างไรได้?”

นางกล่าวไปร้องไห้ไป “ข้ามีลูกชายเพียงคนเดียว หากเขาตายไป ข้าก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้”

นางไม่ได้ร้องไห้ให้สวี่ชีอันเห็น แต่นางกำลังร้องไห้ให้หลินอันเห็น

เล่ห์เหลี่ยมนี้ใช้ไม่ได้ผลกับสวี่ชีอัน แต่สำหรับหลินอันแล้ว สามารถพูดได้ว่ามันทิ่มแทงจิตใจของนางค่อนข้างมาก อย่างไรเลือดเนื้อเชื้อไขก็ไม่มีทางแยกออกจากกันได้ เมื่อเห็นมารดาที่มีฐานะศักดิ์สูงต้องยอมถ่อมตนเช่นนี้ หลินอันก็มองสวี่ชีอันด้วยน้ำตาคลอเบ้า

“ขะ ข้ารู้ว่าตนเองไร้ประโยชน์ ไม่ดีเท่าฮว๋ายชิ่ง แต่สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าจะเห็นแก่ไมตรีจิตระหว่างเราก่อนหน้านี้ แล้วปล่อยเสด็จพี่จักรพรรดิไปได้หรือไม่?”

ประกายความหวังในดวงตาของหลินอันดับวูบลง นางไม่ได้พูดอะไร ไม่มีการตอบสนองทางอารมณ์ เพียงแค่ก้มหน้าลงเท่านั้น

นางกำนัลข้างกายไม่เคยเห็นทูนหัวของตนเองต้องถ่อมตัวเช่นนี้มาก่อน นางจ้องสวี่ชีอันตาเขม็งด้วยความโกรธ ก่อนจะเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาด้วยความเศร้าสร้อย

‘ฝ่าบาททรงเลี้ยงสุนัขด้วยความจริงใจอย่างสุดซึ้ง’

สวี่ชีอันกล่าวต่อไปว่า “ต้าฟ่งอยู่ในมือของหย่งซิ่ง และคงจะล่มสลายในไม่ช้าก็เร็ว หากข้าบอกเจ้าว่าข้าต้องตายไปพร้อมกับการล่มสลายของต้าฟ่ง เจ้าจะยังให้ข้าปล่อยหย่งซิ่งไปหรือไม่”

หลินอันเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง

นางไม่รู้เรื่องที่สวี่ชีอันต้องพลีชีพไปพร้อมกับการล่มสลายของต้าฟ่ง

เฉินไท่เฟยพยายามใช้ช่องว่างให้เกิดประโยชน์โดยการกล่าวสะอึกสะอื้นว่า “ตอนนี้เขาไม่ใช่จักรพรรดิแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่ยอมออมมืออีก”

สวี่ชีอันหัวเราะเย้ยหยันและกล่าวว่า “พาหย่งซิ่งออกจากเมืองหลวง หลังจากนั้นก็เรียกกองกำลังทหารจากทั่วทุกพื้นที่ ขจัดความวุ่นวายในนามของกบฏ เฉินไท่เฟยคงมีความคิดเช่นนี้กระมัง”

เฉินไท่เฟยตกใจจนหน้าซีด แต่นางก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและร้องไห้สะอึกสะอื้น “หลินอัน นี่เขายืนยันจะฆ่าพี่ชายเจ้าให้จงได้”

“พอเถอะ!” สวี่ชีอันขมวดคิ้วและกล่าวตำหนิว่า “เฉินไท่เฟย ท่านคิดว่ามีหลินอันอยู่แล้วข้าจะไม่ฆ่าท่านใช่หรือไม่? แม้แต่เจินเต๋อข้าก็ฆ่าได้ นับประสาอะไรกับท่าน เดิมทีข้าก็อยากจะไว้หน้าท่านต่อหน้าหลินอัน แต่ในเมื่อข้าไว้หน้าท่านแล้วท่านไม่สนใจ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรแล้ว”

เขาหันไปมองหลินอันทันทีและกล่าวเสียงนุ่ม “เจ้าอยากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของแม่ตัวเองหรือไม่?”

หลินอันตกตะลึง

“เฉินไท่เฟย ท่านเป็นผู้บงการในคดีพระสนมฝู ใช้กลยุทธ์ทนทุกข์กาย ขององค์รัชทายาท ดึงเรื่องไร้สาระของกั๋วจิ้วในตอนนั้นออกมา จุดประสงค์เบื้องหน้าคือดึงไท่โฮ่วให้ตกต่ำลง แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงคือการขูดลอกผิวหน้าของเว่ยเยวียนและหยวนจิ่ง หากหยวนจิ่งปลดไท่โฮ่วลงจากตำแหน่ง เว่ยเยวียนย่อมไม่สามารถนั่งดูเฉยๆ ได้ เสือสองตัวสู้กัน ย่อมมีตัวหนึ่งต้องบาดเจ็บ ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ ก็ล้วนเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับบางคน ซึ่งนี่ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ท่านจะคิดออกได้ ท่านและสวี่ผิงเฟิงเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”

เมื่อได้ยินชื่อของ ‘สวี่ผิงเฟิง’ ออกมาจากปากเขา สีหน้าของเฉินไท่เฟยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

นางสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแสดงท่าทีน่าสงสาร

“สวี่ผิงเฟิงอะไรกัน ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงใคร”

“สวี่ผิงเฟิงคือหนึ่งในผู้นำกลุ่มกบฏอวิ๋นโจว เฉินไท่เฟยสมรู้ร่วมคิดกับกบฏ นี่คือความผิดที่ต้องลงโทษประหารชีวิตโดยการตัดมือ ตัดเท้า แล้วเชือดคอ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างเลือดเย็น

เฉินไท่เฟยกล่าวเสียงแหลม

“ไร้สาระ ฆ้องเงินสวี่บังคับให้ลูกชายข้าสละบัลลังก์ ตอนนี้แม้แต่คนแก่อย่างข้าก็ยังจะกำจัดให้สิ้นซากงั้นรึ”

สวี่ชีอันกลับไม่สนใจนางและมองไปที่หลินอันพลางกล่าวอธิบายว่า “ตอนแรกที่สืบสวนคดีนี้ เพียงแค่นางกำนัลของตำหนักจิ่งซิ่วคนหนึ่ง แต่สามารถหลบหลีกวิชามองปราณของข้าได้ เป็นเพราะนางมีอาวุธเวทมนตร์ในการปิดกั้นลมปราณอยู่กับตัว สำนักโหราจารย์ไม่มีทางมอบอาวุธเวทมนตร์เช่นนี้ให้กับแม่ของเจ้า เช่นนั้นอาวุธเวทมนตร์ที่อยู่กับนางกำนัลของตำหนักจิ่งซิ่วมาจากที่ใดกัน? ข้าจึงนึกถึงเป้าหมายที่แท้จริงของคดีพระสนมฝู หลินอันเจ้าลองคิดดู หากเว่ยเยวียนและหยวนจิ่งแตกหักกัน ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ ใครกันที่ได้ประโยชน์? กบฏอวิ๋นโจวก็ดีอกดีใจที่เห็นความสำเร็จ”

หลินอันมองมารดาด้วยความตกตะลึง

เฉินไท่เฟยกล่าวด้วยความโกรธว่า “เจ้าอย่าไปเชื่อเขา เขาทำร้ายพี่ชายเจ้ายังไม่พอ แม้แต่ข้าก็ยังคิดจะฆ่าจะแกงกัน หลินอัน ลูกสาวของแม่ ทำไมชีวิตของเจ้ามันขมขื่นเช่นนี้นะ”

สวี่ชีอันยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ข้ายังพูดไม่จบ จีหย่วนย้ำชัดในระหว่างการเจรจาสงบศึกแล้ว ท่านส่งคนไปติดต่อเขาเป็นการส่วนตัว หวังว่าเขาจะยกมือให้การสนับสนุน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับข้อมูลเกี่ยวกับราชวงศ์ เกี่ยวกับข้าและหลินอันจากท่านไม่น้อย ท่านเป็นแค่ไท่เฟยที่อยู่ในวังในคนหนึ่ง เอาอะไรมาคิดว่าสมณทูตอวิ๋นโจวจะไว้หน้าท่าน?”

เขาเกือบจะมั่นใจได้ว่าเฉินไท่เฟยเป็นสายลับของสวี่ผิงเฟิง แต่อย่างไรก็ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดแจ้ง ดังนั้นเขาจึงไม่พูดออกมา

การคาดเดาที่ยังไม่แน่นอนย่อมไม่สามารถพูดออกมาได้ เพราะถ้าหากมันผิดพลาด ก็อาจทำให้คนกระทำความผิดจับจุดความลึกตื้นของเจ้าออกและนำพาไปสู่เส้นทางที่ผิด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง