บทที่ 744 นิมิตหมายแห่งความเป็นสิริมงคล (1)
ณ ชั้นใต้ดินหอดูดาว
จงหลีนั่งสมาธิอยู่อย่างสงบนิ่งภายในห้อง หูเล็กกระตุกหงึก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าวุ่นวาย
เวลานี้ มีเสียงฝีเท้าดูรีบเร่ง ก้าวมาอยู่หน้าห้องนางพร้อมเสียงตะโกน
“พี่จง ฆ้องเงินสวี่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแห่งต้าฟ่ง พากลุ่มนักโทษมาที่นี่”
จงหลีลุกขึ้นและเปิดประตู มองโหรชุดขาวยืนอยู่หน้าประตู
นางพยักหน้า จากนั้นจึงมองไปยังช่องทางเข้าทางเดินอันมืดมิด เห็นชายวัยกลางคนปักดิ้นลายฆ้องทองคำ มากับกลุ่มฆ้องเงิน ฆ้องทองแดงเดินคุ้มกันนักโทษตรงมา
จงหลีก้าวออกมาต้อนรับ พลางเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
โหรชุดขาวหลุดร้อง “อ้อ” แล้วอธิบายน้ำเสียงราบเรียบ
“ฆ้องเงินสวี่กับองค์หญิงใหญ่ก่อกบฏ คิดจะจับเหล่าชินอ๋องหลายพระองค์ รวมถึงจักรพรรดิหย่งซิ่งขังไว้ในสำนักโหราจารย์”
ในฐานะโหรจากสำนักโหราจารย์ การดูหมิ่นพระราชอำนาจถือเป็นการควบคุมขั้นพื้นฐาน
จงหลีต้อนรับฆ้องทองคำผู้คุ้มกันชินอ๋อง ฝ่ายหลังยกมือคำนับก่อนเอ่ย
“ข้าน้อยจ้าวจิ่น ได้รับคำสั่งให้คุ้มกันนักโทษ แม่นางจงหลีโปรดจัดการด้วย”
จงหลีจึงกล่าว
“ชั้นนี้มียี่สิบห้อง เลือกได้เพียงหนึ่งห้องเท่านั้น”
ซ่งถิงเฟิงเมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงเปิดประตูเหล็กทางด้านข้างเขา แล้วผลักสวี่หยวนไหว
“เข้าไป!”
เท้าของสวี่หยวนไหวเกิดลื่นหกล้มกระแทกพื้นจนหัวฟาดประตูเหล็ก ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
ซ่งถิงเฟิงหัวเราะเยาะ “ไอ้อ่อนเอ๊ย…”
สิ้นคำพูด ทันใดนั้นเขาก็ลื่นไถล ส่งผลให้แผ่นหลังที่ยืดตรงและหัวกระแทกผนัง
ในฐานะยอดฝีมือขั้นหลอมวิญญาณ ทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแค่ลูบหัวด้วยสีหน้ามึนงง
จ้าวจิ่นขมวดคิ้ว มองไปทางซ่งถิงเฟิงพลางเอ่ยตำหนิ
“เจ้ามันไม่รอบคอบ”
จากนั้นเขาก็ล้มลงไปเช่นกัน
“?” ฆ้องทองคำจ้าวสีหน้ามึนงง
เขาไม่เข้าใจว่าตนผู้ซึ่งเป็นจอมยุทธขั้นสี่และยอดฝีมือแห่งการสลายแรง เหตุใดจึงลื่นถลาโดยไม่ได้ตั้งหลัก ทั้งที่ไม่มีสิ่งกีดขวางหรือขยับเดิน
ฆ้องทองคำจ้าวพลันนึกขึ้นได้ มองไปทางจงหลีพลางคาดเดา
“นี่ใช่ค่ายกลกักกันนักโทษหรือ?”
โหรชุดขาวติดแหงกอยู่บนกำแพงพยักหน้า
“เจ้าก็โดนเช่นกันสินะ”
ต่อจากนั้น เหล่าฆ้องเงินและฆ้องทองแดงก็ผลักชินอ๋องที่พร่ำด่าและจักรพรรดิหย่งซิ่งเข้าห้องไป ระหว่างนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างล้มลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งไม่หัวกระแทกพื้นก็ใบหน้ากระแทกพื้น
จงหลีรับผิดชอบปิดประตูเหล็กทุกบาน นางทาบฝ่ามือบนประตูกระตุ้นเปิดใช้ค่ายกล
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างจบสิ้น หน่วยลาดตระเวนทั้งหมดรวมถึงฆ้องทองคำจ้าวเอนชิดกำแพง เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังออกจากพื้น
โหรชุดขาวผู้ติดแหงกอยู่บนกำแพง กล่าวอย่างปลงอนิจจา
“เมื่อวานซืนยังเป็นจักรพรรดิ มาวันนี้กลายเป็นนักโทษจองจำ เหอะๆ ปล่อยให้เหล่าชินอ๋องที่อยู่ดีกินดีเหล่านี้ได้ลิ้มรสชาติแห่งการถูกจองจำก็ไม่เลวนะ มิเช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าราษฎรตกทุกข์ได้ยาก ใช่หรือไม่พี่จง”
จงหลีตกตะลึง
นางยืนนิ่งงันอยู่เป็นเวลานาน ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นเรื่อยๆ พลางเอ่ยอย่างร้อนรน
“เจ้ารีบไปหาฆ้องเงินสวี่ บอกให้เขามาหาข้าที่นี่”
โหรชุดขาวไม่ได้ถามเหตุผล เพียงพยักหน้า
“ได้ ว่าแต่พี่จง ท่านกลับไปที่ห้องก่อนได้หรือไม่?”
เขาชี้ไปที่ประตูเหล็กที่เปิดอยู่
ประตูเหล็กสามารถกักกันความเคราะห์ร้ายของศิษย์พี่จงได้ เขาไม่อยากล้มในสามก้าว เนื้อหนังของโหรล้ำค่ามาก ไม่อาจทนกระแทกได้
“อ้อ!”
จงหลีหมุนตัวกลับเข้าห้อง ทันทีที่ประตูเหล็กปิดลง โหรชุดขาวได้ยินเสียง ‘ตึง’ ดังขึ้น เขาเดาว่าศิษย์พี่จงล้มลงเรียบร้อย
โหรชุดขาวเดินขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน ขึ้นบันไดมายังห้องพํานักชั่วคราวของสวี่ชีอัน
เขากำลังจะเคาะประตู ทันใดนั้นก็อวยพรตัวเองในใจ
‘ไม่สิ มีกฎอยู่สามข้อเพื่อหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้าย ห้ามฟังคำพูดของพี่จง ห้ามอยู่กับพี่จง ห้ามแตะสิ่งของของพี่จง
ข้าประมาทจนเกือบลืมกฎสามข้อนี้ไปเสียแล้ว’
คิดได้ดังนี้ โหรชุดขาวจึงค่อยๆ หมุนกายเดินจากไป
หรือจะถ่ายทอดคำพูดพี่จงให้พี่ซ่ง ปล่อยให้เขารับกระสุนแทนดีล่ะ
…
ภายในเจดีย์พุทธะ สำนักโหราจารย์
ไป๋จีขดตัวอยู่บนฟูก เอ่ยเสียงนุ่มนวลและเย้ายวนผะแผ่ว
“ไยท่านน้ายังไม่มา ไต้ซือปล่อยข้าไปเถอะ ข้าเบื่อจะแย่แล้ว”
ภิกษุชราถ่าหลิงลืมตา เอ่ยเนิบนาบ
“หากสีการู้สึกเบื่อหน่าย ลองฟังธรรมกับอาตมาสิ”
พอไป๋จีได้ยิน นางผุดลุกขึ้นในทันใด พร้อมร้องอุทาน
“ข้าเป็นปีศาจนะ ข้าเกิดมาเพื่อทำลายสำนักพุทธ จะมาปฏิบัติธรรมกับเจ้าได้อย่างไรกัน”
ภิกษุชราถ่าหลิงให้เหตุผลตนเอง
“การรู้จักศัตรู ถึงจะเอาชนะศัตรูได้ สีกามาปฏิบัติธรรมกับข้า เมื่อเติบใหญ่ในอนาคต ถึงจะหาจุดอ่อนของสำนักพุทธได้”
พอไป๋จีได้ยินจึงตกตะลึง ก็รู้สึกสมเหตุสมผล หัวเล็กๆ ของนางไม่อาจคิดหาเหตุผลใดมาหักล้างได้
ขณะกำลังพูด ใบหูของภิกษุถ่าหลิงก็ขยับ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้านายของเจ้ากลับมาแล้ว”
หลังเขาตวัดนิ้ว ลำแสงสีทองเจิดจรัส ส่องสว่างภายในเจดีย์ จากนั้นมู่หนานจือก็ปรากฏตัว
นางสวมชุดกระโปรงยาวสีบัวโรย ใบหน้าซีดเซียว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอ่อนล้า
ตอนสวี่ชีอันจากไป เขาไม่ได้เอาเจดีย์พุทธะไปด้วย พร้อมวางดาบไท่ผิงไว้คู่กัน เพื่อให้เทพบุปผาได้รับการป้องกันสามเท่า
หลังจากมู่หนานจือตื่น จึงสื่อสารกับเจดีย์ จากนั้นจึงหายตัวเข้ามา
“ท่านน้า!”
ไป๋จีกู่ร้อง กลายเป็นเงาสีขาวกระโจนเข้าอ้อมกอดมู่หนานจือ
มู่หนานจือรับไป๋จีก่อนนั่งขัดสมาธิลงบนฟูก ประกบสิบนิ้วพนมมือ กล่าวอย่างเลื่อมใส
“ไต้ซือ ข้ารู้แจ้งแล้ว”
ภิกษุชราถ่าหลิงถามกลับ
“เจ้ารู้แจ้งสิ่งใด?”
มู่หนานจือเลื่อมใสยิ่งขึ้น เปี่ยมไปด้วยความรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งปวง
“รูปคือความว่างเปล่า!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง