ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 757

สรุปบท บทที่ 757 ชัยชนะครั้งใหญ่: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 757 ชัยชนะครั้งใหญ่ – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 757 ชัยชนะครั้งใหญ่ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 757 ชัยชนะครั้งใหญ่

“ทำลายมรดกของลัทธิขงจื๊อ? สวี่ผิงเฟิง วันนี้ข้าจะกำจัดเจ้า!”

สวี่ชีอันดีดนิ้วโป้ง ดาบสยบดินแดนส่งเสียงดังชิ้ง เขาสลายพลังปราณทั้งหมดทันทีแล้วเก็บงำความรู้สึกทุกประการ เพื่อสะสมพลังรอปล่อยหยกสลาย

‘ชิ้ง!’

เมื่อดาบสยบดินแดนถูกชักออกมา ประกายดาบสีเหลืองอร่ามก็เจิดจรัสไปทั่ว

ด้วยพลังกายของสวี่ชีอันในตอนนี้ เขาสามารถใช้หยกสลายที่มีพลังเหนือล้ำออกมาได้หลายครั้ง โดยไม่ต้องกังวลว่าจะชักออกมาได้เพียงครั้งเดียวแล้วพลังกายถูกใช้ไปจนหมด

นี่คือการฟื้นฟูอันทรงพลังของจอมยุทธ์ขั้นสอง

ครู่ต่อมา ประกายดาบสีเหลืองอร่ามก็ปรากฏอยู่บนทรวงอกของจีเสวียน การวาดดาบไปยังสวี่ผิงเฟิงคือกลลวงตา เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือจีเสวียนต่างหาก

นี่คือการบีบลูกพลับนุ่ม!

ขณะเดียวกันนั้น ซุนเสวียนจีก็ยกเท้าขึ้นให้ค่ายกลวงแล้ววงเล่าเข้าไปปกคลุมจีเสวียน พวกมันมีทั้งค่ายกลสายฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าส่องประกาย มีค่ายกลเพลิงกัลป์ที่มีเปลวไฟโหมกระหน่ำ และมีค่ายกลวิญญาณทองคำที่มีแสงสีขาวเจิดจรัสและใบหน้าดุร้าย…

เงาร่างของโค่วหยางโจวปรากฏตัวอยู่ด้านหลังจีเสวียนราวกับผีสาง ดาบไท่ผิงฟาดฟันลงไปที่ลำคอของเขา

จ้าวโส่วตะโกนเสียงดัง

“อานุภาพของดาบนี้เพิ่มพูนเป็นสองเท่า!”

ดาบไท่ผิงระเบิดแสงอันส่องประกายเจิดจ้าออกมา

ล้อมสังหาร!

จีเสวียนคือจอมยุทธ์ขั้นสามผู้หนึ่ง ตอนนี้เขากำลังเผชิญกับการเพ่งเล็งของผู้อยู่เหนือสามัญแห่งต้าฟ่งในชั่วพริบตา

สัญชาตญาณเตือนอันตรายของเขาใช้ไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งจิตดาบของสวี่ชีอันมาถึงทรวงอก เขาจึงรู้ตัวว่าหยกสลายเพ่งเล็งมาที่เขา

สัญชาตญาณเตือนอันตรายของจอมยุทธ์ย่อมไม่อาจสัมผัสได้ เพราะสวี่ชีอันใช้วิชาดวงดาราผันเปลี่ยนของเทียนกู่มาปกปิดกลิ่นอายของดาบนี้

จีเสวียนไม่เคลื่อนไหวใดๆ ราวกับยอมรับชะตากรรมแล้ว และเงาร่างของเจียหลัวซู่กับสวี่ผิงเฟิงที่อยู่ไม่ไกลก็หายวับไปพร้อมกัน ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่รอบๆ จีเสวียน

เจียหลัวซู่ผนึกมุทราอย่างเยือกเย็น ร่างธรรมมัญชุศรีด้านหลังของเขาก็ปรากฏขึ้นมาเช่นกัน

ร่องรอยยับย่นในพื้นที่สงบลงทันใด ไม่มีแม้แต่สายลมพัด

แสงดาบที่ฟันมายังทรวงอกของจีเสวียนไม่ได้ระเบิดออก ทั้งยังถูกกวาดต้อนออกไป ค่ายกลแบบต่างๆ ของซุนเสวียนจีก็แน่นิ่งไม่ขยับ ราวกับภาพวาดน้ำหมึก

เบื้องหลังของจีเสวียน โค่วหยางโจวที่พยายามฟันลงมาที่คอ ก็ราวกับถูกสะกดด้วยมนตร์ตรึงร่าง

เพียงหนึ่งกระบวนก็สลายการโจมตีของผู้อยู่เหนือสามัญทั้งหมดได้แล้ว นี่ก็คือพลังของพระโพธิสัตว์

แม้ว่าจะสูญเสียร่างธรรมระดับเพชรไป แต่เจียหลัวซู่ก็ยังอยู่ในขั้นหนึ่ง

หลังจากสกัดการโจมตีด้วยร่างธรรม ‘มัญชุศรี’ แล้ว เจียหลัวซู่ก็หันกลับไปยังชายชรา แล้วสะบัดแขนที่หนากว่าเอวสตรีกระแทกไปยังโค่วหยางโจวอย่างแรง

ตลอดทั้งกระบวนการนี้ ค่ายกลทรงกลมที่ถูกสร้างขึ้นจากปราณใสก็ปรากฏขึ้นที่ด้านซ้ายขวาของโค่วหยางโจว ก่อนจะมีโซ่ที่มีปราณใสหนาแน่นหลายเส้นยื่นออกมาผูกมัดสองแขนและสองขาของโค่วหยางโจวเอาไว้

หมัดครั้งนี้ อาจทำให้กายเนื้อของโค่วหยางโจวแยกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน

เห็นได้ชัดว่ากายเนื้อของจอมยุทธ์ขั้นสองไม่อาจต้านทานการโจมตีจากพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งได้เลย

สวี่ผิงเฟิงและเจียหลัวซู่ร่วมมือกันอย่างรู้ใจ ชั่วพริบตาก็พลิกสถานการณ์ได้แล้ว

ตอนนี้วิธีช่วยเหลือโค่วหยางโจวที่ดีที่สุดคือใช้วิชาเคลื่อนย้ายพาเขาออกมา

‘พวกเขาต้องการบีบให้ข้าเปลี่ยนกฎ และยกเลิกข้อจำกัดที่ว่า ห้ามใช้การเคลื่อนย้ายในพื้นที่นี้’…จ้าวโส่วใจตกไปที่ตาตุ่ม ขณะนั้นก็เข้าใจถึงความคิดของสวี่ผิงเฟิงและเจียหลัวซู่

ทันใดนั้น จ้าวโส่วก็มีวิธีจัดการแล้ว เมื่อไม่มีเวลาเคลื่อนย้ายพวกเขาและสวี่ชีอัน เขาจึงเลือกเชื่อมั่นในตัวสหายทั้งหลาย

ค่ายกลที่เหมือนกันทุกประการปรากฏขึ้น มันลอยอยู่ด้านหลังพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ แล้วมีโซ่ปราณใสสี่เส้นยื่นออกมาพันรัดแขนขวาที่เขาออกหมัดเอาไว้

นี่คือขั้นห้าของลัทธิขงจื๊อ พลังแห่งระดับกำเนิดปราชญ์

มันสามารถ ‘เรียนรู้’ วิชาจากศัตรูและบันทึกเอาไว้ในกระดาษได้ แม้จะอ่อนพลังกว่าวิชาดั้งเดิม แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากสักเท่าใด

เมื่ออยู่ในระดับขั้นเช่นจ้าวโส่วก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยแผ่นกระดาษแล้ว เพียงหนึ่งความคิดก็สามารถลอกออกมาได้…ไม่ใช่สิ สามารถเรียนรู้ออกมาได้ต่างหาก

ชั่วขณะที่โซ่ปราณใสพันรัดเจียหลัวซู่ ดาบไท่ผิงก็หลุดออกจากการควบคุมของโค่วหยางโจว เกิดเสียงฉึบฉับดังขึ้น มันกรีดชุดคลุมของเขาออก ปลายดาบสลัดชุดคลุมที่ขาดรุ่งริ่งนั่นไปยังศีรษะของโค่วหยางโจว

ทำให้เงาของชุดคลุมที่ปกคลุมลงมา ตกลงบนร่างของโค่วหยางโจว

เงานั่นขยายตัวฉับพลันจนกลายเป็นร่างของสวี่ชีอัน เขาขวางอยู่เบื้องหน้าโค่วหยางโจว แขนเสื้อของเขาสะบัดขึ้นทันใด สองมือประสานกันที่ท้องส่วนล่าง พลังแห่งเวไนยสัตว์สายแล้วสายเล่ารวมกันจนก่อเกิดเป็นวงกลมอยู่ในฝ่ามือ

‘พลั่ก พลั่ก พลั่ก!’

โซ่ที่พัวพันแขนขวาของเจียหลัวซู่และค่อยๆ พังทลายลงจนไม่อาจรัดรึงพลังของพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งที่น่าสะพรึงได้ แต่ภารกิจของมันสำเร็จแล้ว มันแย่งชิงโอกาสหายใจหายคออันล้ำค่าให้กับโค่วหยางโจวและแย่งชิงเวลาให้สวี่ชีอันเข้ามาเสริมทัพได้แล้ว

กล้ามเนื้อสองแขนของสวี่ชีอันขยายออก แล้วระเบิดพลังลี่กู่!

เขาสะสมพลังและผลักลูกทรงกลมที่หลอมรวมจากพลังแห่งเวไนยสัตว์ไปยังหมัดเล็กของเจียหลัวซู่

‘ตูม ตูม ตูม ตูม!’

พละกำลังระเบิดออกมา ชายชราตัดโซ่ที่พันรัดตนเองออกไปแล้ว จากนั้นจึงวางมือลงบนแผ่นหลังของสวี่ชีอัน พลังปราณระเบิดพล่านออกมาในฉับพลัน

‘ตูม!’

ราวกับการระเบิดของขีปนาวุธมหึมา คลื่นอากาศกระเพื่อมกระจายออกไป จนทำให้ทะเลเมฆหมอกแต่ละชั้นระเบิดออกจนเหลือแต่พื้นที่สุญญากาศที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายร้อยจั้ง

ผู้อยู่เหนือระดับทั้งห้าอย่างสวี่ผิงเฟิง จีเสวียน จ้าวโส่ว ซุนเสวียนจี และลั่วอวี้เหิงล้วนกระเด็นออกไปไกล

ในรอบแรกที่ทั้งสองฝ่ายออกกระบวนท่านั้น ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ของเทพเซียน

จีเสวียนและโค่วหยางโจวล้วนได้ไปเดินอยู่ที่เส้นขอบความเป็นความตายมารอบหนึ่งแล้ว

“จำกัดการเคลื่อนย้ายในพื้นที่ ไม่ให้พวกเราออกไปก็เพื่อชิงเวลาให้กับเพื่อนร่วมรบที่ชิงโจวหรือ?”

จีเสวียนที่หลังชุ่มไปด้วยเหงื่อชักดาบออกมาแล้วพูดพร้อมหัวเราะ

“อย่างมากสุดก็แค่หนึ่งเค่อ พลังเทพวชิระของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก็จะฟื้นฟูแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะดูว่าพวกเจ้าจะตายกันอย่างไร สวี่ชีอัน เจ้าคิดว่าจำนวนผู้อยู่เหนือสามัญที่มีมากกว่าจะเสริมความต่างระหว่างระดับขั้นได้หรือ? น่าขำนัก!”

สิ่งที่เขาพูดนั้นคือเรื่องจริง ดาบเล่มนั้นที่เขาฟันออกมาที่นอกเมืองสวินโจวทรงพลังอย่างน่าตกใจจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เทียบกับดาบเดียวจากมือของวีรบุรุษแห่งปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อร่างธรรมระดับเพชรของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว อย่างน้อยในหมู่ผู้อยู่เหนือสามัญเหล่านี้ของต้าฟ่ง ก็ต้องมีคนตายอยู่สองสามคน

เมื่อถึงตอนนั้น เขาและราชครูก็ไม่อาจยืนดูอยู่ข้างสนามเป็นดั่งไพ่ลับได้อีกแล้ว

และจะไม่ปล่อยให้สวี่ชีอันสะสมพลังเพื่อปล่อยดาบเล่มนั้นออกมาได้

นอกเมืองชิงโจว

อาซูหลัวมองไปยังนักบวชเต๋าจินเหลียนที่มีแสงสีแดงเต็มใบหน้า

“ท่านนักบวชไม่ไปช่วยรบที่สวินโจวกับข้าหรือ?”

นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายหน้า

“อาตมาขอผสานเฮยเหลียนเพื่อฟื้นฟูพลังฝึกตนเสียก่อน ส่วนทางด้านสวินโจว เจ้าไปช่วยก็เป็นพอ ไป๋ตี้ยังไม่ปรากฏตัว บางทีอาจไม่อยู่ในจิ่วโจว แต่ในเมื่อมันเป็นพันธมิตรกับสวี่ผิงเฟิง เช่นนั้นก็ไม่มีทางนิ่งเฉย สำหรับแผนในตอนนี้ ขอให้อาตมาฟื้นฟูพลังฝึกตนเสียก่อน พลังต่อสู้นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนของขั้นสอง”

เมื่อเขาเสริมพลังเรียบร้อยและกลับคืนสู่ขั้นสอง ศึกของต้าฟ่งก็จะมียอดฝีมือขั้นสองสี่คนแล้ว

ลูกหลานเทพมารอย่างไป๋ตี้จะต้องกลับมายังจิ่วโจวแน่ๆ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะเป็นสมรภูมิเป็นตายอย่างแท้จริง

อาซูหลัวพยักหน้าแล้วมองต่อไปยังพวกฉู่หยวนเจิ่นด้านหลังจินเหลียนทั้งสี่คน

“พวกเจ้าเล่า?”

หลี่เมี่ยวเจินไร้ความลังเล

“ย่อมต้องไปที่สวินโจว”

“เจ้ากล้าทรยศข้า กล้าทรยศสำนักพุทธ!”

อาซูหลัวยิ้มเย็น

“ทำไม คิดจริงๆ หรือว่าข้าขายชีวิตให้กับสำนักพุทธ? แค้นสังหารเผ่าพันธุ์และบิดา ข้าจะค่อยๆ คิดบัญชีกับสำนักพุทธทั้งหมด”

“เจ้าทรยศสำนักพุทธได้อย่างไรกัน?”

“เดาเอาสิ!” อาซูหลัวยิ้ม

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มองเขาอย่างล้ำลึก จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึก

“ดี วันนี้ข้าจะล้างคนทรยศให้สำนักเสีย!”

เงาร่างสูงใหญ่เก้าฉื่อขยายตัวขึ้นอีก เลือดลมหลั่งไหลผ่านท้องฟ้า ทำให้อากาศทั้งผืนสั่นสะเทือน

“ก็ลองเข้ามา!”

อาซูหลัว สวี่ชีอัน และโค่วหยางโจวพุ่งเข้าหาเจียหลัวซู่พร้อมกัน ราวกับเป็นภาพค้าง!

สวินโจว

บนกำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยรอยกระสุนปืนใหญ่และมีแต่รอยเลือดและรอยไหม้เกรียม สวี่เอ้อร์หลางได้ยินเสียงแตรถอยทัพของทัพอวิ๋นโจวแล้ว

กองทัพข้าศึกจำนวนมากล่าถอยอย่างรวดเร็ว จนเหลือเพียงซากศพกองเต็มพื้น

เสียงปืนใหญ่บนกำแพงเมืองไม่หยุดยั้ง และมอบการโจมตีให้ทัพข้าศึกที่ถอยร่นไป

สวี่เอ้อร์หลางถอนสายตากลับมามองไปยังซากศพของทหารข้าศึกและทหารคุ้มกันเมืองที่กองเต็มกำแพงเมือง แล้วถอนหายใจออกมาราวกับปลดภาระหนัก

“น่าจะเป็นเพราะพวกสวี่หนิงเยี่ยนรบสำเร็จแล้ว”

ฉู่หยวนเจิ่นเดินมาอยู่ข้างกายเขาแล้วประคองสวี่เอ้อร์หลางที่โซเซเหมือนจะล้ม

สวี่เอ้อร์หลางนิ่งงันไป ก่อนจะเอ่ยว่า

“ดูจากตอนนี้แล้ว พี่ใหญ่น่าจะชนะกระมัง?”

หลี่หลิงซู่เอ่ยขึ้นโดยไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างกายทั้งคู่ตอนไหน

“หรือไม่ก็อาจจะเสมอกัน ทางด้านกองทัพอวิ๋นโจว ยังมีขั้นหนึ่งคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมรบด้วย สถานการณ์ของต้าฟ่งยังคงมองในแง่ดีไม่ได้”

สวี่เอ้อร์หลางเหลือบมองเขา เขาไม่คุ้นเคยกับหลี่หลิงซู่ รู้เพียงแต่ว่าเป็นสหายของพี่ใหญ่

นอกจากนี้ยังเป็น ‘คนงาม’ อย่างหาได้ยากที่สามารถเทียบหน้าตากับเขาได้ด้วย

เสียงปืนใหญ่ค่อยๆ สงบลง ทัพข้าศึกหนีออกจากนอกระยะยิงแล้ว

ทัพคุ้มกันเมืองไม่ยิงปืนใหญ่อีก พวกเขาชูอาวุธแล้วโห่ร้องเสียงดัง

ในความเข้าใจของทหารคุ้มกันเมือง ศึกครั้งนี้พวกเขาชนะแล้ว

ทัพข้าศึกรวบรวมกำลังพลนับหมื่นและทหารมาบุกประชิดเมือง ยอดฝีมือเหนือสามัญต่างรวมกำลังออกมารบและโจมตีเมืองอย่างอุกอาจ

ตอนนี้พวกเขาถอยร่นจากไป เห็นได้ชัดว่าในอีกสมรภูมิ ฆ้องเงินสวี่ได้รับชัยชนะแล้ว

ตั้งแต่ที่ชิงโจวเสียเมืองไป ชัยชนะครั้งใหญ่อย่างศึกในสวินโจวครั้งนี้ ก็ถูกกำหนดให้แพร่ไปทั่วยงโจวแล้ว

สวี่เอ้อร์หลางได้ยินเสียงโห่ร้องของเหล่าทหารก็รู้สึกปลื้มใจขึ้นมา

“เมื่อรายงานการต่อสู้ครั้งนี้กลับไปยังเมืองหลวง คนที่ยังมีใจไม่ยินยอมพวกนั้นก็น่าจะยอมรับชะตากรรมแล้วกระมัง ฝ่าบาทฮว๋ายชิ่งขึ้นครองราชย์คือวาสนาอันยิ่งใหญ่”

กลับกัน หากสวินโจวเสียเมืองไป การขึ้นครองราชย์ของฮว๋ายชิ่งก็จะกลายเป็นข้ออ้างให้บางคนมาโจมตี จนกลายเป็นเป้าหมายของการตั้งคำถามและคำวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนและใต้หล้า

……………………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง