ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 759

บทที่ 759 สมาชิกพรรคฟ้าดิน “พี่ซุน วานรตัวนี้ขายหรือไม่” (1)

หลี่หลิงซู่ผินมองด้านข้าง สำรวจเหมียวโหย่วฟางโดยละเอียด จากนั้นจึงก้าวถอยอย่างระมัดระวัง เอ่ยว่า

“เจ้าคิดทำบ้าอะไร?”

เหมียวโหย่วฟางเอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“เจ้าพูดเรื่องอะไร ผู้พิทักษ์หยวนกับข้าเคยรู้จักกัน ตอนอยู่ทางซินเจียงตอนใต้ข้ารู้จักฆ้องเงินสวี่

“ระหว่างข้ากับเจ้าก็มารู้จักกันตอนท่องยุทธภพ ข้าอุตส่าห์แนะนำเขาให้เจ้ารู้จัก แต่เจ้ากลับเอาใจผู้ต้อยต่ำ มาประเมินผู้สูงส่ง”

หลี่หลิงซู่ตกตะลึง

“โอ๊ย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน พูดจาดีๆ มีมารยาทไม่กี่คำ มันไม่เหมือนกับคบพวกนักปราชญ์หรอกนะ”

หลังจากแลกเปลี่ยนบทสนทนากันเมื่อกลางวัน เขารู้มาว่าในช่วงเวลาอันสั้นนี้เหมียวโหย่วฟางทำหน้าที่เป็นรองแม่ทัพคุ้มกันของสวี่ซินเหนียน

กล่าวจบ เทพบุตรจึงเอ่ยด้วยความไม่พอใจ

“เมื่อครู่เจ้าดูเหมือนสวี่ชีอันคนโฉดทุกประการเลย”

‘เช่นนั้นข้าก็คบกับหญิงงามเลิศในปฐพีได้ไม่ใช่รึ’…เหมียวโหย่วฟางไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า เอ่ยขึ้น

“ผู้พิทักษ์หยวนเป็นเผ่าปีศาจจากซินเจียงตอนใต้ ซื่อสัตย์และจริงใจ ไม่เคยโกหกแต่ไหนแต่ไร นอกจากนี้เขายังมีพลังเหนือธรรมชาติอีกด้วย”

ในฐานะที่เกิดเป็นอันธพาล คลุกคลีอยู่ในยุทธภพมาหลายปี ความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัวของเหมียวโหย่วฟางนั้นยอดเยี่ยมมาก

หลี่หลิงซู่พลันแสดงความสนอกสนใจ

“พลังวิเศษอะไร?”

เหมียวโหย่วฟางกล่าวอย่างลึกลับ

“ผู้พิทักษ์หยวนผู้นี้รู้ทุกอย่างในใต้หล้า ไม่ว่าความลับของผู้ใด เขารู้อย่างถ่องแท้ รวมถึงเรื่องที่ยากสุดในก้นบึ้งจิตใจ เขาก็ล่วงรู้ได้อย่างแจ่มแจ้ง”

พอได้ฟังคำบอกเล่าเหมียวโหย่วฟางแล้ว ข้าราชการและนายทหารที่กำลังทุกข์ทรมานจากวานร ณ ชิงโจวแห่งนี้ ต่างแสดงสีหน้าทั้งซับซ้อนและคาดหวัง

เหมียวโหย่วฟางร้ายกาจเป็นจอมวายร้าย เขาจงใจพูดเช่นนี้ เพื่อเป็นการชี้นำให้เทพบุตรหวนคิดถึงสิ่งที่ยากจะหยั่งถึงของตน เพื่อให้ผู้พิทักษ์หยวนได้สอดแนมความคิดภายในใจเทพบุตร

นี่ไม่ได้หมายความว่าเหมียวโหย่วฟางไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี แต่อาจกล่าวได้ว่าเขาไร้มนุษยธรรมต่างหาก!

แต่เอาเถอะ ผู้ที่เคยมีบทเรียนในอดีตอย่าง แม่ทัพนายกองและข้าราชการที่เคยมาชิงโจว ภายในใจนั้นมี…ความคาดหวัง!

พอตนสะดุดล้มในหลุมพราง ย่อมคิดว่าผู้อื่นก็ล้มได้เช่นกัน

ในขณะที่ตั้งตารอ เขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ ได้รับการบำเพ็ญการปล่อยวางทางอารมณ์

คนแบบนี้จะมีจิตใจสงบนิ่ง ไม่สามารถขุดคุ้ยอะไรที่น่าสนใจได้นัก

‘เหมียวโหย่วฟางผู้นี้ เจ้าเล่ห์เพทุบาย’…หลี่หลิงซู่กลอกตา พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ข้าไม่เชื่อ! เว้นแต่เจ้าจะพิสูจน์ให้ข้าเห็น”

ตั้งแต่แรกที่ติดตามสวี่ชีอันท่องยุทธภพ ทั้งสองอยู่ด้วยกันมานานมาก ถือได้ว่าเป็นการค้นหาจุดแข็งและจุดอ่อนของกันและกัน ตามความเข้าใจของเขาต่อเหมียวโหย่วฟาง คนผู้นี้มีเจตนาไม่ดีแน่นอน

แต่เทพบุตรผู้เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้มาหลายปี มีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง เขายังไม่ปักใจเชื่อว่าบนโลกนี้จะมีคนแบบนี้อยู่

ครั้นเห็นหลี่หลิงซู่ตกหลุมพราง เหมียวโหย่วฟางรู้สึกดีใจยิ่งนัก เอ่ยด้วยความกระตือรือร้น

“ผู้พิทักษ์หยวน เร็วเข้า รีบแสดงให้เขาดูว่าเจ้าเก่งกาจเพียงใด”

ผู้พิทักษ์หยวนพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าครามวาววับมองหลี่หลิงซู่และเอ่ยว่า

“ในใจเหมียวโหย่วฟางบอกข้าว่า เร็วเข้า รีบพูดเรื่องที่ทำให้หลี่หลิงซู่อับอายเดี๋ยวนี้ ทำให้เขาอับอายต่อหน้าทุกคน เช่นเดียวกับตอนที่เขาแอบไปเจอแม่นางในหอหมื่นบุปผาจนพวกเราจับได้แล้วเปิดโปง

“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้ข้าเป็นคนรัก ข้าก็จะเป็นลูกของเจ้าเอง ข้าว่าความคิดช่างน่าขันยิ่งนัก ว่ะฮ่ะฮ่า ฮ่าๆๆ…”

บรรยากาศเงียบกริบในทันที เงียบมากเสียจนแสงไฟที่กวัดแกว่งพลันกลายเป็นเสียงที่ได้ยิน

ทุกคนบนโต๊ะต่างวางแก้วลงอย่างเงียบเชียบ จ้องมองหลี่หลิงซู่และเหมียวโหย่วฟางด้วยความประหลาดใจ

เหมียวโหย่วฟางตกตะลึง ใบหน้าเผยความไม่ได้ตั้งตัว ราวกับเขาตกลงกับพันธมิตรว่าจะร่วมกันจัดการศัตรู แต่พันธมิตรหันกลับมา และแทงเขาพร้อมกับศัตรู

เขาอยากเห็นหลี่หลิงซู่อับอายก็จริง แต่ไม่ได้คาดคิดว่าตนจะกลายเป็นตัวตลกไปด้วย

หลี่หลิงซู่ถือจอกเหล้าค้างแข็งทื่อ เขารู้สึกว่า ‘เสื้อผ้า’ ตนถูกถอดออกทีละชิ้นจากด้านในสู่ด้านนอก ทั่วทั้งสรรพกายจนถึงจิตวิญญาณ ถูกจับจ้องอย่างเปลือยเปล่าด้วยคนนับสิบ

เขาผู้เป็นเทพบุตรที่สง่างามแห่งนิกายสวรรค์ จะมีหน้าอยู่ในยุทธภพได้อย่างไรในอนาคต

‘ชีวิตของข้าจะยังมีความหมายอะไรกันนะ’…ใบหน้าเทพบุตรขึ้นสีแดงก่ำ จากนั้นก็ค่อยซีดเซียวลง

ดวงตาสีฟ้าครามของผู้พิทักษ์หยวนมองหลี่หลิงซู่ ก่อนมองเหมียวโหย่วฟาง

“แซ่เหมียว จงพินาศด้วยกันเถอะ!”

ผู้พิทักษ์หยวนตกใจจนหน้าถอดสีและเอ่ยด้วยความเป็นห่วง

“เหมียวโหย่วฟาง ผู้พิทักษ์ผู้นี้ขอแนะนำให้เจ้าหนีไปเสีย”

‘ให้ตายสิ เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเรื่องที่ยากจะหยั่งถึงที่สุดในชั่วชีวิตของหลี่หลิงซู่คือเรื่องอะไร อ้อ หรือบางทีอาจจะเป็นตอนนี้’…ทันทีที่เหมียวโหย่วฟางทำจอกเหล้าร่วง ลางล่วงรู้วิกฤติของจอมยุทธกำลังส่งสัญญาณอันตรายมาทางเขา

ผลักให้เขารีบหนีไป

เกิดเสียง ‘พรึ่บๆ’ สองเสียง จากนั้นเหมียวโหย่วฟางและหลี่หลิงซู่ก็หายไปจากจวนสมุหเทศาภิบาล

บรรยากาศเงียบเชียบอยู่หลายวินาที ก่อนหยางกงจะกระแอมไอพลางยิ้มแห้งๆ

“ดื่มๆ เชิญดื่มต่อเถิด เมื่อครู่คงแค่เรื่องหยอกล้อกันเล่น เพื่อความสนุกสนานในงานเลี้ยง”

อดีตข้าราชการและแม่ทัพของชิงโจวเห็นด้วยกับคำกล่าว จึงเริ่มเอ่ยให้ร่ำสุรากันต่อ

พออกพอใจกันเป็นอย่างยิ่ง

ยอดฝีมือขั้นสี่ฝ่ายกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ดูสับสนมึนงงเล็กน้อย ราวกับเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจทั้งหมด

หลี่เมี่ยวเจินสมาชิกพรรคฟ้าดินทั้งตกตะลึงและประหลาดใจ

คำพูดที่ผู้พิทักษ์หยวนผู้นี้พูดเมื่อครู่ เป็นเรื่องของหลี่หลิงซู่และศิษย์น้องหรงหรงแห่งหอบุปผานัดหมายกันส่วนตัวจริง เพื่อสารภาพรัก

‘คำพูดที่ไร้ยางอาย ขายขี้หน้าเช่นนี้ หากพูดกันส่วนตัวคงไม่มีอะไร แต่นี่ถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้คนมากมาย ถ้าข้าเป็นหลี่หลิงซู่ คงชักกระบี่ออกมาฆ่าตัวตายแล้วเชียว’…ฉู่หยวนเจิ่นลอบคิดในใจ

‘เทพบุตรผู้สง่างามแห่งนิกายสวรรค์เอ๋ย อันที่จริงกับหญิงสาวที่โตพอจะเป็นภรรยา พวกผู้อาวุโสนิกายสวรรค์คงไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่หลี่หลิงซู่คงกลัวว่าตนจะไม่กลายเป็นตำนานชวนขบขันในโลกยุทธภพ นี่แหละหนอ เฮ้อ รีบปล่อยวางทางอารมณ์เสียนะศิษย์พี่ ฮ่าๆๆ’…หลี่เมี่ยวเจินหัวเราะในใจอย่างบ้าคลั่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง