บทที่ 759 สมาชิกพรรคฟ้าดิน “พี่ซุน วานรตัวนี้ขายหรือไม่” (2)
งานเลี้ยงมื้อค่ำจบลงก่อนเวลา บทเรียนจากหลายๆ คนทำให้ไม่มีใครกล้ากินต่อ เพราะความแตกต่างระหว่าง ‘ผู้มีอิทธิพล’ กับ ‘ตัวตลก’ เป็นเพียงมุมมองของผู้พิทักษ์หยวน
การเสียสละของหลี่หลิงซู่เพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว ทุกคนล้วนเป็นคนมีหัวมีหน้ามีตา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้
ที่พำนักของสมาชิกพรรคฟ้าดินจัดอยู่ในลานภายในเดียวกัน โดยมีห้องติดกัน
ไม่นานหลังจากแยกย้ายกันไป ฉู่หยวนเจิ่นและคนอื่นๆ สังเกตเห็นหลี่หลิงซู่กลับเข้ามา โดยแบกเหมียวโหย่วฟางที่มีใบหน้าบวมช้ำมาด้วย
“พี่หลี่ก็ ข้าก็ถูกเจ้าวานรนั่นหลอกเหมือนกัน เราควรเห็นพ้องต้องกัน คืนนี้มากินสมองลิงกันเถอะ”
เหมียวโหย่วฟางพยายามชักนำหายนะสู่ฝั่งบูรพา
หลี่หลิงซู่ไม่ได้ตอบสนอง ส่วนหลี่เมี่ยวเจินผลักหน้าต่างเปิดออกมาเอ่ยว่า
“เอาสิ ตะเกียบคนละอัน!”
เหมียวโหย่วฟางมองตามเสียง ด้วยดวงตาทอประกาย
เขาเห็นในห้องยังมีหญิงสาวท่าทางอ่อนช้อย สวมชุดสีขาว เรียวคิ้วและดวงตาดั่งภาพวาด ดวงหน้างดงามมีมิติและงดงาม สำหรับบุรุษแล้ว เสน่ห์อันเย้ายวนนั้นเปรียบดั่งยาพิษ
ซูซูเพิ่งเลื่อนขั้นมาไม่นานมานี้ ตบะนางพัฒนาทุกด้าน เปลี่ยนจากปีศาจสาวพราวเสน่ห์ กลายเป็นปีศาจที่เก่งทั้งด้านบริหารเสน่ห์และการต่อสู้
นางในฐานะปีศาจ มีพลังแกร่งกล้า แต่เมื่อสิงสู่ในกายหยาบ นางก็เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่ง
นี่คือสาเหตุที่นางลังเลมาตลอด ไม่ใช่เพราะกลัวคนแซ่สวี่วัดระดับแน่นอน
“พี่สาวผู้นี้ ข้าว่าข้าเคยเจอที่ไหนสักแห่งมาก่อน” เหมียวโหย่วฟางพึมพำ
“ไม่กระมัง นางเป็นอนุภรรยาของสวี่ซินเหนียน” หลี่เมี่ยวเจินบอกตามตรง
“โอ้ อย่างนี้นี่เอง”
เหมียวโหย่วฟางแสดงความเคารพ
หลี่หลิงซู่ที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน เอ่ยเสียงดัง
“ศิษย์น้อง พี่ฉู่ ออกมาหน่อย”
หลี่เมี่ยวเจินปิดหน้าต่างแล้วเปิดประตูเดินออกมาลานกว้าง ประตูห้องอีกฝั่งก็เปิดออก ฉู่หยวนเจิ่นในชุดคลุมสีดำก็เดินเข้ามาเช่นกัน
หลี่หลิงซู่ตบโต๊ะหิน บอกเป็นนัยว่าให้พวกเขานั่งลง พลางเอ่ยด้วยความตื่นเต้น
“วานรอัปลักษณ์ตัวนั้นสามารถอ่านใจมนุษย์เรา หากไม่ระวังอาจจะทำให้เรือล่มในคลองระบายน้ำได้”
หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นชะงักอึ้ง
“จริงแท้แค่ไหน?”
“ไม่เชื่อก็ถามเหมียวโหย่วฟางดู” หลี่หลิงซู่เตะคนแซ่เหมียว
จอมยุทธเหมียวโหย่วฟางจะงอก็ได้จะยืดก็ได้ และขายอาจารย์ก็ได้เช่นกัน รีบเอ่ยว่า
“ตอนอยู่ซินเจียง ฆ้องเงินสวี่ก็เคยพูดกับลิงตัวนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า”
หัวใจฉู่หยวนเจิ่นกระตุก “แล้วอย่างไรต่อ?”
หลี่หลิงซู่ถูมืออย่างตื่นเต้น
“เราต้องแก้แค้นน่ะสิ เอาคืนสวี่หนิงเยี่ยน เอาคืนนักบวชเต๋าจินเหลียน เอาคืนอาซูหลัว ใช้เจ้าลิงนั่นเอาคืนอีกฝ่ายด้วยวิธีการเดียวกันกับที่อีกฝ่ายใช้”
เหมียวโหย่วฟางสบประมาท
“ฆ้องเงินสวี่รู้จักผู้พิทักษ์หยวนเป็นอย่างดี ไม่สำเร็จหรอก”
ดวงตาหลี่เมี่ยวเจินทอประกาย
“แต่นักบวชเต๋าจินเหลียนกับอาซูหลัวไม่รู้จักนี่ ด้วยนิสัยของสวี่หนิงเยี่ยนคนสารเลวพรรค์นั้น เขาไม่เตือนทั้งสองคนแน่ แต่จะพายเรือทวนน้ำแทน อย่างน้อยพวกเราก็จะได้แก้แค้นจินเหลียนกับอาซูหลัวก่อน”
ฉู่หยวนเจินปรบมือเบาๆ
“ดี!”
เหมียวโหย่วฟางเอ่ยแทรก
“ลิงตัวนี้เป็นของพี่ซุน พวกเจ้าลองถามเขาดูว่าเขาขายหรือไม่”
หลี่หลิงซู่เร่งเร้า “เช่นนั้นก็รีบไปหาซุนเสวียนจี ข้าทนอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แม้แต่วันเดียว”
เทพบุตรไม่มีหน้าจะเจอพวกชนชั้นสูงในสวินโจวอีกแล้ว
ภายในห้องอีกด้านหนึ่ง ไต้ซือเหิงหย่วนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ฟังการสนทนาในลานกว้าง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกได้เสมอว่ามีบางอย่างผิดปกติ พรรคฟ้าดินแต่ก่อนไม่ใช่แบบนี้นี่?
ใครเป็นคนสร้างบรรยากาศอยากให้ทุกคนเสียหน้าขึ้นมา?
…
ซุนเสวียนจีเดินอยู่บนทางเดินหินกรวด สวนดอกไม้รกร้างเงียบสงัด ตัวศาลาสงบเงียบ ห่างออกไปมีบ้านที่มุงด้วยชายคามุมเชิดดับไฟลงแล้ว
เขาเข้ามาสวนดอกไม้ พบผู้พิทักษ์หยวนซ่อนตัวอยู่ในความมืด นอนขดตัวเป็นก้อนกลมๆ อยู่ในโขดหิน
ผู้พิทักษ์วานรขาวมีสีหน้าระแวดระวังในตอนแรก แต่เมื่อเห็นว่านั่นคือซุนเสวียนจี ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดวงตาสีฟ้าครามจ้องมองซุนเสวียนจี อ่านความในใจที่เพิ่งได้รับจากพี่ซุน จากนั้นจึงตอบกลับ
“ข้ารู้สึกว่ากำลังเป็นปรปักษ์กับทุกฝ่าย กลัวว่าจะถูกสับหัวคว้านเอาสมองไปตอนเผลอหลับ จึงต้องซ่อนตัว…ข้าไม่ได้พูดอะไร ข้าแค่พูดความจริงก็เท่านั้น…ไม่เคยคิดจะทำให้ใครขุ่นเคือง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ขั้นสี่ทั้งหมด…
“ส่วนยอดฝีมือขั้นสามขึ้นไปไม่สามารถอ่านได้ตามอำเภอใจไม่ใช่รึ? ศิษย์พี่ซุนวางใจเถิด ข้าอ่านใจผู้กล้าขั้นสองไม่ได้อย่างแน่นอน ข้าแค่ควบคุมพลังวิเศษไม่ได้ แต่ข้าคงไม่เบื่อหน่ายชีวิตจนยั่วยุขั้นสองอย่างแน่นอน”
ซุนเสวียนจีพยักหน้าด้วยความวางใจ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ยังสามารถปกปิดลิงตัวนี้ได้
…
กลางดึกสงัด
สมุหเทศาภิบาลชิงโจว มีแสงไฟสว่างไสว
หลังจากถอนกำลังออกจากเมืองสวินโจวที่ชายแดนยงโจว หลังจากพักผ่อนและนับจำนวนผู้เสียชีวิต แม่ทัพนายกองกองทัพอวิ๋นโจวก็มีเวลารวมตัวเจรจากัน ณ ที่แห่งนี้ในที่สุด
“ท่านแม่ทัพใหญ่ นับจำนวนผู้บาดเจ็บเรียบร้อย ปิดล้อมหนึ่งถึงหกกองพัน ทั้งกำลังพลและม้าหกพันรายถูกกวาดล้าง…”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ปืนใหญ่หายไปยี่สิบเอ็ดกระบอก หน้าไม้หกตัวและกองพันฉือรุ่ยกองที่สองถูกทำลาย…
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ค่ายทหารสามร้อยนาย สูญหายหนึ่งร้อยหกสิบสองคน บาดเจ็บสาหัสแปดสิบคน…”
“ท่านแม่ทัพใหญ่…”
ชีก่วงป๋อเอนหลังพิงพนักพิงเก้าอี้ ฟังรายงานการบาดเจ็บล้มตายของแต่ละฝ่ายจากแม่ทัพนายกองเงียบๆ
ระหว่างวัน กองทัพอวิ๋นโจวประสบความสูญเสียอย่างหนัก มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากกว่าหนึ่งหมื่นคน ความรุนแรงของการลดขนาดลงเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจ
ข่าวดีเพียงอย่างเดียวคือ กองทัพที่ถูกปิดล้อมเป็นเพียงกองทั่วไป ไม่ใช่กองทัพอวิ๋นโจวโดยตรง หลังจากชิงโจวถูกพิชิต จึงเดินหน้าขยายกองทัพ รับสมัครทหารใหม่
ค่ายทหารก็ไม่ใช่กองทัพโดยตรง แต่กลับน่าเศร้ามากกว่าการสูญเสียโดยตรง เพราะค่ายทหารเต็มไปด้วยยอดฝีมือที่เก่งกาจในยุทธภพ
ในบรรดาคนเหล่านี้ มีขั้นสี่ ขั้นห้าและขั้นหก ซึ่งเป็นกองกำลังล้ำสมัยในการบุกล้อม
แต่ครั้งนี้ ยอดฝีมือขั้นสี่จากกองทหารต้าฟ่งมีเยอะมาก
“เฮ้อ!”
เก่อเหวินเซวียนทอดถอนใจ
“ความพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจกองทัพของเราอย่างมาก”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น แม่ทัพนายกองก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความหดหู่ของผู้ใต้บังคับบัญชา
ขวัญกำลังใจสิ่งนี้สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างมาก หากชนะก็จะมีขวัญกำลังใจ แต่ถ้าแพ้ก็คงหมดอาลัยตายอยาก
ในตอนแรกมันก็ไม่มีอะไร ชัยชนะและความพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติในหมู่ทหาร แต่ปัญหาคือ ผู้ที่เอาชนะพวกเขาได้คือสวี่ชีอัน
ฤทธานุภาพอันน่าเกรงขามจากที่ลุ่มตอนกลางของสวี่ชีอัน มีชื่อเสียงดังก้อง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง