ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 760

บทที่ 760 ทำงานล่วงเวลา

แสงเทียนทางด้านปีกตะวันออกสว่างไสว บนโต๊ะน้ำชาทรงสูงตรงหัวมุมมีสัตว์ทองคำซึ่งดูสมจริงวางอยู่ ปากของมันพ่นควันหอมออกมา

สวี่ชีอันเลิกผ้าม่านขึ้น เดินเข้าไปห้องด้านใน นั่งลงที่โต๊ะและกล่าวอย่างจริงจัง

“ท่านราชครู การต่อสู้ในวันนี้สูญเสียหนักมาก ข้าไม่วางใจเรื่องท่าน จึงตั้งใจแวะมาดู”

ขณะพูด เขาก็ชื่นชมหญิงสาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เสื้อคลุมถูกถอดออกแล้ว ข้างในเป็นชุดผ้าไหมสีสันสดใส

เอวคาดเข็มขัดหยก ซึ่งขับเน้นเอวเล็กอ้อนแอ้น เข้ากับทรวงอกนูนสูงและอวบอิ่ม เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งกับสัดส่วนอันงดงามที่สุดของผู้หญิงในทันที

ผู้ชายมักจะไม่สามารถต้านทานผู้หญิงที่มีทรวงอกอวบอิ่มและเอวเพรียวบางได้

ยิ่งไปกว่านั้นหญิงสาวผู้งดงามและเย็นชาที่อยู่บนเตียงยังมีบั้นท้ายกลมกลึงและนุ่มนิ่มด้วย

ลั่วอวี้เหิงเอ่ยเสียงเรียบ

“ต้องมากลางดึกด้วยหรือ”

หากไม่มาตอนกลางคืน จะให้มาตอนกลางวันแสกๆ หรืออย่างไร…สวี่ชีอันบ่นพึมพำในใจและเอ่ยอย่างจริงจัง

“พูดถึงเรื่องนั้น ตั้งแต่เข้าสู่ยุทธภพ พวกเราก็บำเพ็ญคู่กันมาสองครั้งแล้ว”

ครั้งแรกคือเจ็ดวัน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าอันงามประณีตราวหยกสลักของลั่วอวี้เหิงก็เปลี่ยนเล็กน้อย นางเอ่ยเสียงเย็นชา

“การบำเพ็ญคู่เป็นข้อตกลงระหว่างเจ้ากับข้า ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมากนัก เมื่อก่อนพวกเรารักษาระยะห่างแบบใดก็ควรรักษาระยะห่างแบบนั้น อย่าให้จิตใจว้าวุ่นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการทำข้อตกลง”

เจ้ากำลังถีบหัวส่งข้า หากคนที่พูดประโยคนี้เป็นข้า ข้าก็จะถูกก่นด่าว่าเป็นเศษเดนที่โจมตีผู้อื่นด้วยวาจาและปากกา…สวี่ชีอันค่อนข้างจะคาดเดาท่าทางของราชครูได้

วันนั้นที่ไปหานางที่อารามรัตนะ เพราะอยากเชิญนางไปกล่าวสนับสนุนให้ตัวเองที่สวินโจว แต่กลับได้พบมู่หนานจือ หญิงสาวผู้โง่เขลาที่วิ่งแจ้นมาอารามรัตนะเพื่อคุยโวโอ้อวดแทน…

สวี่ชีอันรู้ว่าราชครูคงไม่ทำหน้าตาดีๆ ให้แก่เขา เหตุผลที่มาสวินโจวในวันนี้ก็เพราะให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวมของราชครูมากที่สุด จุดนี้สวี่ชีอันชื่นชมมาก ราชครูกับฝ่าบาทเป็นปลาที่มีเหตุมีผลและมีวิสัยทัศน์มากที่สุด

“แน่นอนๆ ราชครูเป็นผู้นำนิกายมนุษย์ เป็นวีรสตรีในหมู่ผู้หญิง และแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป แต่สิ่งที่ข้าอยากพูดคือ…”

สวี่ชีอันหยุดชะงักไปครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “การบำเพ็ญคู่ครั้งต่อไปคือเมื่อใด อ่า ราชครูอย่าเข้าใจผิด ท่านก็รู้ว่าแม้นักบวชเต๋าเฮยเหลียนจะถูกกำจัดไปแล้ว ทว่านักบวชเต๋าจินเหลียนก็สามารถฟื้นคืนตบะและกลับสู่คุณสมบัติระดับสองได้

“แต่อวิ๋นโจวยังมีระดับหนึ่งอีกสองคนคือเจียหลัวซู่กับไป๋ตี้ ความต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นใหญ่มหาศาลมาก นี่ยังไม่นับสวี่ผิงเฟิงที่อยู่ในเขตชิงโจวกับอวิ๋นโจวอีก”

สวี่ชีอันเป็นจอมยุทธ์ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับสอง โดยอาศัยพลังของทุกสรรพสิ่งและวิธีการต่างๆ เพื่อจะได้ผลักดันพลังต่อสู้ให้เทียบเท่ากับอาซูหลัว หากระเบิดอย่างเต็มกำลังก็จะสามารถทำลายร่างธรรมของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ได้

เช่นนั้น สวี่ผิงเฟิงที่อยู่ระดับสองสูงสุด โดยอาศัยพลังเสริมจากพลังของทุกสรรพสิ่ง ทำให้พลังต่อสู้ไปถึงประตูระดับหนึ่ง ก็ไม่ใช่ปัญหา

สวี่ชีอันเปิดถ้วยและดื่มน้ำเย็นเฉียบ

“ดังนั้น เมื่อใดที่ราชครูเข้าสู่ระดับหนึ่งได้ ท่านจะมีความสำคัญมาก”

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา ในบรรดาผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของทางต้าฟ่งตอนนี้ นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครสามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับหนึ่งได้ในระยะเวลาอันสั้น

“แล้วครั้งต่อไปที่ราชครูต้องทนทุกข์กับไฟแห่งกรรมแผดเผาร่างกายคือ…” สวี่ชีอันหยั่งเชิง

“ครึ่งเดือนหลังจากนี้!” ลั่วอวี้เหิงกล่าวด้วยท่าทีเย็นชา

ครึ่งเดือนหลังจากนี้สินะ คงไม่ใช่เดือนละครั้งแล้วจริงๆ นางค่อยๆ ระงับไฟแห่งกรรม และชะลอการปะทุของมันได้แล้ว! สวี่ชีอันตัดสินในใจและถามอีกครั้ง

“ราชครู ข้ายังมีอีกเรื่องที่ไม่เข้าใจ”

ลั่วอวี้เหิงร้อง ‘อืม’ โดยไม่แสดงสีหน้าอะไร เป็นสัญญาณให้เขาพูดออกมาตรงๆ

“ข้าจำได้ว่า จุดประสงค์หลักของการบำเพ็ญคู่คือระงับไฟแห่งกรรม เพื่อที่ว่าเมื่อหนีเคราะห์กรรมในอนาคต ราชครูจะได้มีสมาธิต่อกรกับชะตากรรม ไม่ต้องกังวลว่าไฟแห่งกรรมจะแผดเผาร่างกายจนชีวิตดับสูญ”

ลั่วอวี้เหิงฟังจบก็พยักหน้าเล็กน้อย

สวี่ชีอันถามต่อ

“กล่าวคือ ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องรอให้ไฟแห่งกรรมสะท้อนกลับถึงจะสามารถบำเพ็ญคู่ได้”

ลั่วอวี้เหิงมองเขาอย่างเย็นชา

“เจ้าอยากจะพูดอะไร”

สวี่ชีอันถูมืออย่างตื่นเต้น

“ข้าขอทำงานล่วงเวลา!”

หากสามารถขอทำงานล่วงเวลาได้ก็จะดีมาก

เมื่อเขาพูดจบ ลั่วอวี้เหิงก็ชักกระบี่ฟันเขา แม้นางจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ทำงานล่วงเวลา’ แต่เมื่อเห็นท่าทางเล่นหูเล่นตาและได้ยินน้ำเสียงของสวี่ชีอัน นางก็เข้าใจทันทีว่าเขาคิดจะทำอะไร

กระบี่เทพฟันลงบนไหล่ของสวี่ชีอันดังเคร้ง ฟันออกมาเป็นประกายไฟ ผ้าม่านภายในห้องปลิวไสว พืชพรรณสั่นไหว

“ราชครูเขินหรือ”

ร่างของสวี่ชีอันสว่างวาบมาปรากฏข้างเตียง โอบเอวของลั่วอวี้เหิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ปล่อยมือ!”

ลั่วอวี้เหิงเลิกคิ้วเรียวและเอ่ยอย่างโมโห

“ข้าใจกว้างกับเจ้ามากเกินไปสินะ ถึงทำให้เจ้าอวดดีขึ้นเรื่อยๆ”

กระบี่เทพทิ่มหลังของสวี่ชีอันเสียงดัง ‘เคร้งๆๆ’ อยู่ข้างหลัง เหมือนกำปั้นน้อยๆ ทุบสาวใช้อันธพาลที่คิดจะรังแกคุณหนูของตัวเอง

หากเจ้าไม่อยากบำเพ็ญคู่แล้วจะพักอยู่ที่สวินโจวทำไม กลับเมืองหลวงตอนช่วงระหว่างวันก็ได้ หากเจ้าไม่อยากบำเพ็ญคู่ จะจุดเทียนแอบส่งสัญญาณให้ข้ากลางดึกทำไม นอกจากนี้ ภายในเครื่องหอมในกระถางธูปยังมีผงยาปลุกอารมณ์ผสมอยู่ด้วยเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าอยากบำเพ็ญคู่จึงสูดดมเล่นหรอกหรือ…

“ราชครู…” สวี่ชีอันกระซิบเสียงนุ่ม เป็นคำหวานที่ใช้เพื่อหลอกล่อผู้หญิงเท่านั้น

เขาไม่สามารถเปิดเผยลั่วอวี้เหิงซึ่งๆ หน้าได้ ต้องพูดดีๆ เพื่อให้คิดว่าเป็นตัณหาของเขา ไม่ใช่ราชครูตั้งใจจะบำเพ็ญคู่

มิเช่นนั้นราชครูจะระเบิดทันทีและไล่เขาออกไปจริงๆ

หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ สงวนตัวและเย่อหยิ่งเช่นลั่วอวี้เหิงชอบทำเป็นกึ่งผลักไสกึ่งยอมรับยิ่งนัก

สวี่ชีอันเกลี้ยกล่อมพลางปลดเข็มขัดของลั่วอวี้เหิง และก้มศีรษะจูบบริเวณลำคอของนาง

“ปล่อยมือ!”

ลั่วอวี้เหิงใช้มือข้างหนึ่งผลักหน้าอกเขา อีกข้างหนึ่งจับมือที่เอวไว้ แล้วถลึงตาจ้องมอง

“เมื่อไฟแห่งกรรมของข้าสะท้อนกลับ ข้าจะไปหาเจ้าเอง ลุกออกไป ความอดทนของข้ามีจำกัด”

กระบี่เทพปล่อยจิตกระบี่ทะยานฟ้าออกมา

สวี่ชีอันกอดนางแน่นและแย้มยิ้ม

“เช่นนั้นพวกเราก็มาสานสัมพันธ์กันเถอะ ได้สังเวยชีวิตเพื่อบูชารักกับราชครู ถึงตายข้าก็ไม่เสียใจ”

ขณะพูด เขาก็ผลักลั่วอวี้เหิงลงบนเตียง

“ลุกออกไป!”

“ไม่!”

“สวี่ชีอัน เจ้ารนหาที่ตายหรืออย่างไร”

“อืม”

“…”

หลังจากไม่ยอมอ่อนข้อให้อยู่ครู่หนึ่ง หน้าอกสูงก็กระเพื่อมขึ้นลง ลั่วอวี้เหิงรู้สึกรำคาญเล็กน้อย จึงเบือนหน้าหนี แล้วเอ่ยเสียงเย็น

“แค่ครั้งนี้เท่านั้น!”

กระบี่เทพตกลงพื้นเสียงดัง ‘เคร้ง’ ม่านเตียงที่ถูกเลิกขึ้นก็ร่วงลงมาโดยอัตโนมัติ กำบังทัศนียภาพข้างในเตียง

ภายในปีกตะวันตกเงียบสงัด มีเพียงเสียงเปลื้องผ้า ‘สวบสาบ’ ดังมาอย่างแผ่วเบา

ครู่หนึ่ง ม่านเตียงที่ห้อยลงก็ขยับ เสื้อคลุม ชุดกระโปรงและชุดชั้นในเผยออกมา

ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ม่านเตียงที่ห้อยต่ำก็เริ่มสั่น เตียงไม้หลังใหญ่ฉายเดี่ยวในคืนอันเงียบสงบ

เมืองหลวง ยามเหม่า

นี่เป็นการประชุมราชสำนักครั้งที่สองตั้งแต่องค์หญิงใหญ่ขึ้นครองบัลลังก์

เดิมทีเหล่าขุนนางข้าราชการคิดว่าจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์คงจะแสดงท่าทีขยันทรงงาน จากนั้นนานวันเข้าก็ปรากฏตัวที่ราชสำนักตอนเช้าทุกวัน

หยวนจิ่งในสมัยนั้นและหย่งซิ่งที่สละราชบัลลังก์ไปได้ไม่นานต่างก็ทำเช่นนั้น

แต่ฮว๋ายชิ่งไม่ทำ นางแสดงความมั่นใจและความขมีขมันอันมากล้นออกมา แต่ไม่ได้แสดงท่าทีขยันทรงงานออกมาผ่านวิธีดังกล่าว

การประชุมราชสำนักในวันนี้ ท่ามกลางเสียงระฆังกับกลอง ขุนนางข้าราชบริพารเดินผ่านประตูอู่และข้ามสะพานจินสุ่ย ข้าราชการบางส่วนยืนอยู่บนขั้นบันได บางส่วนเข้าไปในตำหนักกระดิ่งทอง

ในบรรดาขุนนางมีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเพิ่มมากขึ้น

นอกจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในการกวาดล้างท้องพระโรง ยังมีผู้นำแต่ละแคว้นชุดแรกที่เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ด้วย

หลังจากสถานการณ์ในเมืองหลวงสงบลง ฮว๋ายชิ่งก็ออกคำสั่งให้สมุหเทศาภิบาล ผู้บัญชาการและเจ้าหน้าที่ที่มีตำแหน่งค่อนข้างสูงเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่

เวลานี้เจ้าหน้าที่ชุดแรกมาถึงเมืองหลวงแล้ว

พวกเขารออย่างหวั่นวิตกอยู่ในจุดพักม้าเป็นเวลาสามวันแล้ว ทว่าไม่ได้รับการต้อนรับจากจักรพรรดินี ซึ่งน่าอายมาก เพราะก่อนที่จะพบจักรพรรดิ พวกเขาไม่สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ในเมืองหลวงเป็นการส่วนตัวได้

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการแจ้งเชิญเข้าร่วมการประชุมราชสำนัก

เจ้าหน้าที่ที่กลับมาเมืองหลวงเพื่อรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้จึงระงับความไม่พอใจและความหวั่นวิตกลง ก่อนตามขุนนางเข้าไปในตำหนักกระดิ่งทอง

“ฝ่าบาท เทศกาลไหว้วสันต์ใกล้เข้ามาแล้ว กระหม่อมส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ของชาวนาในแต่ละแคว้นแล้ว และพบว่าการควบรวมที่ดินเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิจะกลับคืนสู่แผ่นดินกว้าง ผู้ลี้ภัยก็อยากกลับบ้านเกิดเพื่อทำไร่ทำนา แต่ไม่มีที่ดินให้พวกเขาเพาะปลูก”

เจ้ากรมการคลังก้าวออกมา

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อาจเอาชีวิตรอดได้ ประชาชนธรรมดาขายที่ดินเป็นกิจวัตร ซึ่งเปิดโอกาสให้เหล่าขุนนางกับเจ้าของที่ดินรายใหญ่กว้านซื้อที่ดินในราคาต่ำ โดยไม่จำเป็นต้องข่มขู่ประชาชน เพราะประชาชนที่ไม่อาจเอาชีวิตรอดได้ก็จะเริ่มขายที่ดิน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง