ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 761

บทที่ 761 หนังสือปฐพีและคนเฝ้าประตู (2)

‘ที่แท้ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นนี่เอง ชักน่าสนใจแล้วสิ ตั้งแต่ออกมาจากคุก ความลับที่ข้ารู้มาจากภายในของพรรคฟ้าดินนั้นมากกว่าข้อมูลที่ข้าสะสมมากว่าพันปีเสียอีก’…จู่ๆ อาซูหลัวก็ได้ลิ้มรสความหวานของความราบรื่น

หลังจากใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือนกับกลุ่มเผ่ามนุษย์ระดับลูกกระจ๊อก ทำให้เขาได้เข้าใจอะไรหลายอย่างและรับรู้ความลับระดับสูงมากมาย

‘พวกเขากำลังพูดถึงอะไร รู้สึกได้ถึงความร้ายแรง แต่ข้ากลับไม่ค่อยเข้าใจอะไรเลย’…ลี่น่าเกาศีรษะด้วยความกังวลเล็กน้อย แต่ก็กลัวว่าจะถูกสมาชิกพรรคฟ้าดินหัวเราะเยาะ นางจึงกลั้นใจที่จะไม่ถามออกไป

อย่างไรนางก็แสร้งทำว่าตนเองฉลาดพอๆ กับสวี่ชีอันมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้ก็ยังแสร้งทำได้แนบเนียนมาก ไม่มีใครจับได้เลย

ไต้ซือเหิงหย่วนประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากประหลาดใจแล้ว เขาก็ไม่สนใจมันมากนัก เพียงแค่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

สมแล้วที่เป็นใต้เท้าสวี่!

ลั่วอวี้เหิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นและมองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างเหม่อลอย

ด้วยสติปัญญาของนาง แน่นอนว่านางสามารถตีแผ่ความจริงออกมาภายใต้ข้อมูลที่สวี่ชีอันให้มาได้อย่างง่ายดาย

ความจริงที่ทำให้ความรู้สึกว่าในกะโหลกศีรษะถึงจุดสูงสุด

สำหรับบทสนทนาในหนังสือปฐพีวันนี้ หากไม่ได้บำเพ็ญร่วมกับไอ้บ้าหื่นกามนี่พอดี ต่อให้เป็นตำแหน่งที่นางอยู่ก็ยังยากที่จะล่วงรู้ความลับเหล่านี้

ระดับบุคลิกของกลุ่มคนในพรรคฟ้าดินมีความสะเพร่าเป็นส่วนใหญ่ ระดับการติดต่อก็ยิ่งใหญ่เกินจริง

ในขณะที่ความคิดของนางกำลังโลดแล่นอยู่นั้นก็รู้สึกว่ามีฝ่ามือร้อนๆ ยื่นเข้ามาบริเวณต้นขา

ลั่วอวี้เหิงจึงระเบิดโทสะอย่างแรง “ไปให้พ้น!”

กระบี่เทพซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษแล่นผ่านม่านเตียงดัง ‘ฝวับ’ เจาะเข้าที่ท้องน้อยของสวี่ชีอันสามนิ้วอย่างแม่นยำ ‘แขวก’ ผ้าห่มขาดวิ่นและเสียงเจาะก็ดังออกมาจากด้านใน

‘ฉึกฉึกฉึก’…ครั้งนี้ลั่วอวี้เหิงลงมืออย่างโหดเหี้ยม กระบี่เทพแทงไม่หยุด

มาเลย แทงมาเลย…ในใจสวี่ชีอันกลับไม่มั่นใจว่าร่างขั้นสองของตนเองจะแข็งแกร่งกว่าอาวุธเทพไร้เทียมทาน

แต่เขารู้ว่าการกระทำอย่างสนิทสนมเมื่อครู่ทำให้ลั่วอวี้เหิงรู้สึกว่าตนเองถูกหยอกเล่น

ต้องรีบพูดดีๆ เพื่อเกลี้ยกล่อมนาง อ้อนวอนขอความเมตตาและยอมรับความผิดพลาด

ปลาตัวนี้ต้องกินเหยื่อนี้แน่นอน

“ราชครู ข้ายังพูดไม่จบเลย เดี๋ยวค่อยคิดบัญชีข้าทีหลังได้หรือไม่”

ลั่วอวี้เหิงสบถด้วยความเย็นชา ปล่อยให้กระบี่เทพปลิวตกก่อนจะล้มตัวลงนอนที่ข้างหมอนพลางอ่านข้อความของพรรคฟ้าดินต่อไป

หมายเลขเจ็ด ‘นี่ๆ นักบวชเต๋าจินเหลียน ท่านรู้มานานแล้วว่าระบบโหรในยุคโบราณกับวิถีแห่งควันธูปที่หายไปมีความเกี่ยวข้องกันใช่หรือไม่? เอาล่ะ พวกเราปฏิบัติต่อท่านด้วยความจริงใจ ท่านกลับซ่อนความลับไว้ ราวกับไม่คิดว่าพวกเราคือคนของท่านโดยสิ้นเชิง ข้าหลี่หลิงซู่กำลังแนะนำว่าควรให้นักบวชเต๋าจินเหลียนออกจากพรรคฟ้าดิน’

หมายเลขสอง ‘ข้าเห็นด้วย’

หมายเลขสี่ ‘ข้าเห็นด้วย’

กลุ่มคนทั้งสามกำลังแก้แค้น

นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อยและส่งข้อความว่า ‘ประการแรก ระดับของพวกเจ้าต่ำเกินไป การรับรู้สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรกับพวกเจ้า ประการที่สอง ตอนแรกท่านโหราจารย์ไม่ได้ถูกปิดผนึก ใครจะกล้าเปิดเผยความลับของระบบโหรออกไป? ตาแก่นั่นดูท่าทางใจดีและมีเมตตามาโดยตลอด แต่ความจริงเขาโหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด’

อย่างไรก็ไม่มีท่านโหราจารย์แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดในคำพูดมากนัก

นักบวชเต๋า ท่านชะล่าใจเกินไปแล้ว ท่านโหราจารย์เพียงแค่ถูกปิดผนึก ไม่ได้ตายจริงๆ สักหน่อย…จิตใจของสวี่ชีอันสั่นสะท้านแต่ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องตักเตือนนักบวชเต๋าจินเหลียนแต่อย่างใด

หมายเลขหนึ่ง ‘พวกเจ้ามีแผนอย่างไรต่อไป?’

ฮว๋ายชิ่งส่งข้อความไปถาม

หมายเลขสอง ‘ข้าวางแผนจะนำทหารภายใต้บังคับบัญชาของข้าไปทำสงครามที่ยงโจว’

คนอื่นๆ ก็คิดเช่นเดียวกับหลี่เมี่ยวเจิน หลังจากฝึกฝนและสร้างสมกำลังทหารมาหลายวัน ตอนนี้ถึงเวลาที่จะลงสู่สนามรบแล้ว

หมายเลขหนึ่ง ‘ถึงแม้จะได้ชัยชนะครั้งใหญ่ที่สวินโจว แต่นี่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น หากไป๋ตี้กลับมา ต้าฟ่งจะเผชิญกับวิกฤตใหญ่อีกครั้ง ทุกท่านต้องมีวิธีการและแผนการที่จะรับมือ’

ช่องว่างในพลังอันแข็งแกร่งนั้น ยากที่จะชดเชยด้วยกลอุบาย

สวี่ชีอันก็ไร้หนทางเช่นกัน ทั้งจิตใจและศีรษะรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย

หมายเลขหนึ่ง ‘ไม่เป็นไร ในเมื่อไป๋ตี้ยังไม่กลับมา เช่นนั้นก็ยังพอมีเวลา ถ้ามีแผนอะไรในช่วงเวลานี้ก็แนะนำขึ้นมาในหนังสือปฐพีได้ แล้วพวกเราค่อยมาหารือกัน’

การประชุมภายในของพรรคฟ้าดินสิ้นสุดลงแล้ว

หลังจากเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้ว ลั่วอวี้เหิงก็รับรู้ถึง ‘ความผิดปกติ’ บางอย่าง ในขณะที่นางกำลังบิดสะโพกเพื่อลุกขึ้นไปแต่งตัว จู่ๆ ก็ได้ยินสวี่ชีอันถอนหายใจกล่าวว่า “อันที่จริงเมื่อครู่ข้ายังมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้พูด”

ลั่วอวี้เหิงหันศีรษะไปด้านข้างในขณะที่ยังคงนอนทอดกายอยู่บนเตียง

“ในที่สุดตอนนี้ข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพระพุทธเจ้าและเทพพ่อมดถึงต้องการช่วงชิงที่ราบกลาง ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมพวกเขารวบรัดดวงชะตาแต่กลับยังคงมีชีวิตยืนยาวได้”

หัวใจของลั่วอวี้เหิงกระตุกวูบ

“เจ้าพูดเองไม่ใช่รึ ว่าพวกเขาก็ใช้วิธีการของวิถีแห่งควันธูปเช่นเดียวกัน?”

สวี่ชีอันพยักหน้า

“มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะสามารถรวบรัดดวงชะตาได้โดยไม่ต้องติดพันธนาการเรื่องอายุยืน จนถึงตอนนี้ข้าก็เพิ่งเข้าใจว่าในบรรดาผู้คน สิ่งของหรือระบบที่มีความเกี่ยวข้องกับดวงชะตา ลัทธิขงจื๊อเป็นสิ่งที่พิเศษที่สุด วิธีการรวบรัดดวงชะตาของลัทธิขงจื๊ออาจจะแตกต่างกับวิถีแห่งควันธูปอย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้ยังทำให้ลัทธิขงจื๊อมีอายุสั้นแต่กลับทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว”

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของเขา

“ช่างเถอะ สิ่งเหล่านี้ยังห่างไกลจากตัวข้ามาก”

จู่ๆ สวี่ชีอันก็ทำตัวนอกรีตอีกครั้งพลางหัวเราะเฮอะๆ “ราชครู ต้าฟ่งขึ้นอยู่กับท่านแล้ว พวกเรามาระงับไฟแห่งกรรมกันต่อเถอะ”

ลั่วอวี้เหิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“เจ้าลืมที่เพิ่งพูดไปเมื่อวานแล้วรึ?”

สวี่ชีอันไม่ยอมรับ

“แต่เมื่อครู่ข้าก็พูดแล้วเช่นกัน หากข้าสามารถตอบข้อสงสัยของพวกเขาได้ ท่านจะบำเพ็ญคู่กับข้าอีกครั้ง”

ลั่วอวี้เหิงตะคอกด้วยความเย็นชา “ข้ารับปากรึ?”

“แต่ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน” สวี่ชีอันกล่าวอย่างฉะฉาน ก่อนจะกล่าวด้วยความน้อยใจอีกครั้งว่า “หรือว่าไม่ใช่รู้ๆ กันอยู่รึ? อีกอย่าง พวกเราก็ยังไม่ได้ลุกออกจากเตียงนี่ ไม่นับว่าเป็นครั้งที่สอง ข้าสัญญา แค่ครั้งเดียว ลุกออกจากเตียงแล้ว ข้าจะไม่รบกวนท่านอีก”

ในขณะที่กล่าว เขาก็เลื่อนไหล่ของลั่วอวี้เหิง พยายามให้นางนอนราบลงไป

ท่านน้ารีบหันข้างเพื่อไม่ให้เขาทำสำเร็จ และหันหลังให้เขาทันที

แต่ทันทีที่ตระหนักได้ว่าท่าทีอันตรายยิ่งกว่าก็รีบหันกลับมาอีกครั้ง เบิกตาโพลงและจ้องมองเขาด้วยความเกรี้ยวกราด

สวี่ชีอันสูดกลิ่นหอมจากเส้นผมของนางเบาๆ ใช้แขนโอบรอบเอวอันบอบบางและเนียนนุ่มของนางไว้แน่น

“แค่ครั้งเดียว ครั้งนี้ครั้งเดียวจริงๆ”

ลั่วอวี้เหิงถอนหายใจออกช้าๆ ราวกับทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย นางหันศีรษะไปด้านข้างและกล่าวด้วยความเย็นชา “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”

สวี่ชีอันดันตัวขึ้นและใช้แขนทั้งสองข้างโอบรอบเอวของนางทันที

ในที่พักยังมีทาสรับใช้ ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องดูแลสิ่งจำเป็นพื้นฐานของเจ้านาย

เมื่อหยางกงยังหนุ่ม เขาก็เป็นปัญญาชนผู้รักอิสระที่ร่าเริงเช่นกัน สิ่งที่เขาจัดเตรียมให้ฆ้องเงินสวี่ทั้งหมดจึงล้วนเป็นสตรีที่งดงาม

เดิมทีเขาใช้เพื่อให้ฆ้องเงินสวี่อุ่นเตียง

ต้องรู้ก่อนว่าบรรดาสตรีสาวที่ถูกส่งไปปรนนิบัติรับใช้ฆ้องเงินสวี่ต่างก็ตื่นเต้นมาก หากฆ้องเงินสวี่ถูกใจและพาเข้าไปในห้อง ก็จะเปลี่ยนจากไก่ดินเป็นนกฟีนิกซ์ และต้องโรจน์รุ่งพุ่งแรงตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป

ใครจะไปคิดว่าวันที่ฆ้องเงินสวี่เข้ามาอยู่ก็พาเทพธิดาที่สวยสดงดงามกลับมาด้วย มองแวบเดียวก็รู้ว่านางไม่ธรรมดา

ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงโด่งนานแล้ว จวนถึงเวลาอาหารกลางวัน นางยังตรึงฆ้องเงินสวี่ไว้บนเตียงอย่างแน่นหนา

นางคือปีศาจตัวร้ายอย่างแท้จริง ชัดเจนว่านางดูเหมือนเทพธิดาไม่มีผิด แต่ความเจ้าเล่ห์เต็มร้อย

เหล่าสาวใช้แสร้งทำงานตามหน้าที่อยู่ในจวน ฟังเสียงเตียงในห้องดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ในใจคิดว่าทนได้จริงๆ ทว่าตั้งแต่เช้าตรู่จนใกล้เที่ยง กลับไม่มีเสียงอื่นเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย

เช้าวันเดียวกัน

จวนตระกูลสวี่ ณ เมืองหลวง อาสะใภ้สวมเสื้อผ้าของฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่งภายใต้การปรนนิบัติของลวี่เอ๋อและสาวใช้จำนวนหนึ่ง

หลังจากฮว๋ายชิ่งขึ้นครองบัลลังก์ นางก็ได้รับพระราชทานยศเป็นฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง สวี่ชีอันไม่มีพ่อแม่ ถูกเลี้ยงดูโดยท่านอาและอาสะใภ้ ดังนั้นผลประโยชน์นี้ย่อมตกสู่ท่านอาสะใภ้ของเขาโดยธรรมชาติ

ตราตั้งขั้นหนึ่งมีความหมายว่าอะไร?

สามีหรือลูกชายต้องเป็นข้าราชการระดับหนึ่ง ผู้หญิงถึงจะได้รับพระราชทานยศเป็นฮูหยินตราตั้ง

ข้าราชการระดับหนึ่งคือขุนนางระดับซานกง ฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่งของยุคสมัยนี้จึงล้วนมีผมสีขาวแกมเทา หรือไม่ก็เข้าสู่วัยชรา หรือล่วงลับไปนานแล้ว และทั้งหมดล้วนเป็นภรรยา ไม่มีมารดา

แต่ใครก็ตามที่ปีนขึ้นไปจนถึงขั้นที่หนึ่ง ไม่ใช่ขาเข้าไปอยู่ในโลงศพครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ทั้งร่างล้วนเข้าไปในโลงศพแล้วต่างหาก แน่นอนว่าพ่อแม่ต้องเข้าไปนอนในโลงศพและเวียนว่ายตายเกิดนานแล้ว

อาสะใภ้น่าจะเป็นบุคคลอัจฉริยะเพียงคนเดียวที่ได้รับพระราชทานยศตราตั้งขั้นหนึ่งในฐานะ ‘มารดา’ ที่อายุน้อยที่สุดในยุคสมัยนี้

ในโลกของการบำเพ็ญธรรม เหล่าสหายต้องหัวใจตกไปถึงตาตุ่มและกล่าวว่า ‘สตรีผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก!’

แต่แท้จริงแล้วอาสะใภ้ไม่ได้ทำอะไรเลย นางปลูกดอกไม้ ให้อาหารปลาอยู่ในจวนก็ทุบสังเวียนได้อย่างงงๆ แต่กลับกลายเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร

แม้แต่อารองสวี่ เมื่อได้ยินว่าอาสะใภัได้รับพระราชทานยศฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่งก็ยังอดที่จะเกิดความรู้สึกลึกๆ ในใจไม่ได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง