บทที่ 763 วิธีเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง
สวี่ชีอันซึ่งมีด้ามดาบเสียบอยู่กลางกระหม่อมนั่งเป็นประธานอยู่ที่โถงห้องประชุม
ตำแหน่งที่เขานั่งนี้ ใช่ว่าทุกคนจะเคารพชื่อเสียงบารมีของเขาและหวาดกลัวตบะของเขา
ว่ากันตามทฤษฎีแล้ว ตำแหน่งขุนนางของสวี่ชีอันในตอนนี้คือหัวหน้าที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มีอำนาจเทียบเท่าขุนนางราชสำนัก แม้ไม่มีอำนาจแท้จริง ทว่าหัวโขนที่สวมอยู่นั้นใหญ่กว่าตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลของหยางกงเสียอีก
“ทุกท่านแค่เอ่ยมาเถอะ ข้าฟังอยู่”
สวี่ชีอันมองไปรอบๆ ขุนนางสองฝั่งแล้วเงยหน้าขึ้น
เรื่องต่างๆ อาทิ การเดินทัพออกศึก การจัดเสบียงโยกย้ายกำลังพล และการรักษาเสถียรภาพของแนวหลังนั้น เขาเป็นคนธรรมดาซึ่งไร้ประสบการณ์โดยสิ้นเชิง
ในขอบเขตเหล่านี้ การออกความคิดและชี้ให้เห็นข้อบกพร่องนั้นทำได้ ทว่าการปล่อยให้เขาวางแผนและจัดการประสานงานรังแต่จะทำให้เกิดการขัดขวาง
หยางกงพยักหน้ารับอำนาจในการพูดแทนสวี่ชีอัน แล้วเอ่ยว่า
“การประชุมครั้งนี้ มีสามเรื่องที่ต้องการหารือกับทุกท่าน คือเรื่องเงินและเสบียง แหล่งที่มาของกองกำลัง และแนวป้องกัน
“ในสามเรื่องนี้ เงินและเสบียงเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับแหล่งที่มาของกองกำลัง หลังเสียชิงโจว แม้พวกเราจะนำสัมภาระและยุทธปัจจัยส่วนใหญ่ไป ทว่าปัญหาการขาดแคลนเงินและเสบียงก็สร้างความลำบากให้พวกเราโดยตลอด
“ก่อนหน้านี้ไม่นานหญ้าและเสบียงที่ขนส่งมาจากจางโจวได้จมลงแม่น้ำ กองทัพใหญ่ที่คุ้มกันเสบียงมาส่งก็ถูกกวาดล้างสิ้น”
จางโจวคือหนึ่งในอู่ข้าวอู่น้ำของต้าฟ่ง มีการสำรองเสบียงอาหารไว้อย่างเพียงพอที่สุด สิบวันก่อน ระหว่างการเจรจาสงบศึก คาราวานเรือขนส่งจากจางโจวมาต้าฟ่งได้ถูกโจมตี ไม่ต้องเอ่ยถึงเสบียงและหญ้าที่จมแม่น้ำ กองทัพคุ้มกันที่ตามมาด้วยก็ถูกกวาดล้างจนสิ้น
นี่คือจุดประสงค์ของทัพกบฏอวิ๋นโจวเพื่อสกัดกั้นเสบียงอาหารและหญ้าที่ขนส่งจากมณฑลต่างๆ ไปยังยงโจว
ต้าฟ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ไม่ว่าจะทางน้ำหรือทางบกล้วนมีระยะทางยาวไกลยิ่งนัก การเผชิญหน้ากับศัตรูที่ซุ่มโจมตีระหว่างการคุ้มกันขนส่งนับเป็นเหตุสุดวิสัย
แน่นอนว่ากองทัพต้าฟ่งเองก็ส่งยอดฝีมือเกรียงไกรแฝงเข้าไปในอวิ๋นโจวและชิงโจว เพื่อดำเนินการปล้นระหว่างทาง
เมื่อเทียบอวิ๋นโจวกับต้าฟ่ง ข้อได้เปรียบใหญ่ที่สุดคือการขาดกลยุทธ์เชิงลึก ไม่ผิดที่เขตอิทธิพลเล็กๆ ก็มีข้อดีอยู่บ้าง ซึ่งหมายถึงระยะทางในการคุ้มกันขนส่งสั้น ภูมิประเทศไม่ซับซ้อน โอกาสผิดพลาดก็จะลดลงตามลำดับ
หลี่มู่ไป๋ครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า
“ยงโจวอุดมสมบูรณ์มีประชากรอยู่มาก แต่ในขณะที่ต้องรักษาเสถียรภาพของผู้ประสบภัยก็ต้องเลี้ยงดูกองทัพด้วย ประคองได้หนึ่งเดือนเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นพวกเราจำต้อง ‘ขูดเลือดขูดเนื้อ’ ประชาชนแล้ว”
สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยแทรกว่า
“หากมีการเกณฑ์ทหารก็จะสามารถลดต้นทุนเงินและเสบียงได้อย่างมาก”
ดึงเหล่าผู้ลี้ภัยที่กินอย่างเสียเปล่าเข้ากองทัพ เพื่อใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
หลี่มู่ไป๋เอ่ยเสียงเข้มว่า
“หากทำเช่นนี้ ก็จะประคองได้สามเดือน…”
เขาเหลือบมองโม่ซาง นักรบฝ่ายลี่กู่ซึ่งอยู่ข้างกายเหมียวโหย่วฟางแล้วเปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า
“สองเดือนไม่มีปัญหา”
บรรดาขุนนางและแม่ทัพเงียบขรึมพลางขมวดคิ้วมุ่น
ปัญหาเรื่องเงินและเสบียงเป็นปัญหาหลักที่ต้าฟ่งต้องเผชิญมาโดยตลอด ไม่มีเงิน ไม่มีเสบียง แล้วจะทำศึกอย่างไร
ข้าให้เทพดอกไม้ทำให้ธัญญาหารสุกได้ แต่ก็เป็นเพียงการใช้น้ำหนึ่งถ้วยไปดับเกวียนฟืนลุกโชนเท่านั้น…สวี่ชีอันนึกถึงจิตวิญญาณของเทพดอกไม้ขึ้นมา
แต่ก็รู้ทันทีว่าข้อเสนอนี้พึ่งพาไม่ได้ มู่หนานจือทำให้ธัญญาหารสุกได้จำกัด ทว่าราชสำนักต้องการอาหารเท่าไรกันเล่า มีกี่ปากที่ต้องกินข้าว หาใช่การลำดับความสำคัญ ทว่า วิธีนี้ใช้ได้ในยามฉุกเฉิน
ถึงตอนนั้น เทพดอกไม้ซึ่งเร่งการสุกงอมจนสำเร็จคงจะร้องไห้และพูดว่า ไม่มีแล้ว ไม่มีแม้แต่หยดเดียว!
สวี่ชีอันคิดถึงตรงนี้จึงยกมุมปาก
‘ก๊อก ก๊อก!’
“ฝ่าบาทจะทรงตั้งชุมชนเล็กๆ ในอาณาเขตฉู่โจวและอวี่โจวพร้อมกับเปิดด่านการค้า ไม่นาน ต้าฟ่งก็จะมีเงินและเสบียง”
เขาแจ้งนโยบายที่ฮว๋ายชิ่งประชุมในราชสำนักให้ทุกคนทราบทันที
การถ่ายทอดคำสั่งทางการของราชสำนักไปแต่ละมณฑลต้องใช้เวลา นี่ย่อมว่องไวไม่เท่า ‘สายสืบตำหนักความลับสวรรค์’ ซึ่งเป็นองค์กรที่อาศัยวิชาส่งตัวในการส่งข้อมูล
แน่นอนว่าเมื่อรอจนค่ายกลส่งตัวที่ซุนเสวียนจีสร้างขึ้นแล้วเสร็จ ความรวดเร็วในการแลกเปลี่ยนข่าวสารในยงโจวนี้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“ประเสริฐ!”
จางเซิ่นลูบเคราพร้อมรอยยิ้มบาง
“คำสั่งทางการทั้งสองข้อนี้จะแก้ไขเรื่องเร่งด่วนและความห่วงหน้าพะวงหลังของต้าฟ่งได้”
การตั้งชุมชนขนาดเล็กและเปิดด่านการค้าสามารถเติมเต็มคลังหลวง บรรเทาเรื่องเร่งด่วนของราชสำนักเกี่ยวกับคลังหลวงอันว่างเปล่าได้ การนำพื้นที่เกษตรที่ถูกทิ้งร้างกลับคืนมาจะสามารถช่วยผู้ลี้ภัยให้มีที่ดินทำกินหลังวสันตฤดูเริ่มขึ้น
ที่จริงแล้วการเอาใจประชาชนในยุคสมัยนี้ง่ายดายนัก และการมอบที่ดินสองสามหมู่ให้เขา หากทัพกบฏอวิ๋นโจวคิดจะหาผู้ลี้ภัยไปเป็นหนังหน้าไฟก็ยากแล้ว
หลี่มู่ไป๋เอ่ยชมว่า
“ตอนที่ฝ่าบาททรงศึกษาอยู่ที่สำนักอวิ๋นลู่ได้แสดงให้เห็นความสามารถภาคปฏิบัติได้อย่างโดดเด่น นับเป็นสิริมงคลของราษฎรที่ได้ชื่นชมบัลลังก์จักรพรรดินีนี้”
ทุกคนต่างออกปากสรรเสริญ เมื่อเทียบกับหย่งซิ่งแล้ว การขึ้นสู่บัลลังก์ของจักรพรรดินีทำให้พวกเขามองเห็นความหวัง
และคงมีเพียงฆ้องเงินสวี่ที่มีความกล้าอย่างเด็ดเดี่ยวในการสนับสนุนสตรีผู้หนึ่งให้ขึ้นครองบัลลังก์เช่นนี้
บรรดาขุนนางและแม่ทัพมองไปยังสวี่ชีอันด้วยแววตาเลื่อมใส แต่เมื่อเห็นดาบที่กลางกระหม่อมของเขา จึงพากันก้มหน้าลงอีกครั้งเพื่อไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมา
ดวงตาสีฟ้าครามของผู้พิทักษ์หยวนกวาดมองฝูงชน ขณะที่เขาขยับริมฝีปากกำลังจะพูด ซุนเสวียนจีก็ยื่นถ้วยชามาตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกแล้วเอ่ยว่า
“ดื่ม!”
…เหล่าขุนนางและผู้นำทางการทหารต่างเหงื่อตกในใจ ก่อนส่งสายตาขอบคุณไปให้ซุนเสวียนจี
หากผู้พิทักษ์หยวนอ่านคำพูดในใจเมื่อครู่ของพวกเขาออกมา ตอนนี้ทุกคนจะแค่ยืนหารือหรืออาจจะคุกเข่าหารือกันแล้ว สรุปคือฆ้องเงินสวี่ไม่ปล่อยพวกเขาแน่
หยางกงกระแอมเบาๆ เพื่อดึงบทสนทนากลับมา แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังอย่างยิ่งว่า
“ปัญหาที่สาม แนวป้องกัน!
“แต่ก่อนหน้านั้น พวกเราต้องประเมินว่าการโจมตีครั้งต่อไปของกองทัพอวิ๋นโจวจะเกิดขึ้นเมื่อใด”
โจวมี่ อดีตผู้บัญชาการชิงโจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“กองทัพอวิ๋นโจวพบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ สงครามในเมืองสวินโจวนับเป็นความบาดเจ็บร้ายแรง จึงจะไม่กลับมาเร็วๆ นี้ น่าจะรอให้ไป๋ตี้ที่เล่าลือกันผู้นั้นกลับแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวเสียก่อน”
การมีอยู่ของไป๋ตี้นั้น สำหรับคนระดับสูงแล้วไม่ใช่ความลับอะไร
ไป๋ตี้ไม่ได้ปรากฏตัวระหว่างการตัดหัวเฮยเหลียน เผยให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่ามันไม่ได้อยู่ที่จิ่วโจว
“ไม่ ข้ารู้สึกว่าพวกเขาจะบุกโจมตียงโจวในเร็ววันนี้ละ”
หลี่มู่ไป๋ให้ความเห็นที่แตกต่าง ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่ผู้นี้วิเคราะห์ว่า
“อันดับแรก เทศกาลไหว้วสันต์ใกล้เข้ามา อวิ๋นโจวสามารถทนศึกครั้งนี้ได้ครึ่งถึงหนึ่งปี หลังจากต่อสู้มาหลายปี พวกเขาจะถูกสงครามลากยาวทำให้หมดแรง และกลยุทธ์ทั้งสองข้อของฝ่าบาทก็คือรากฐานสำหรับการต่อสู้ในสงครามอันยืดเยื้อ
“หากทัพกบฏอวิ๋นโจวรู้เข้า พวกเขาจะไม่ถ่วงเวลาและเข้าวังไปทันทีอย่างแน่นอน”
ทันใดนั้นเหมียวโหย่วฟางจึงเอ่ยว่า
“และมีความเป็นไปได้ที่จะบุกโจมตีอวี่โจวเพื่อยับยั้งแผนการของราชสำนักด้วย”
อวี่โจวอยู่ติดกับซินเจียงตอนใต้
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ถูกคัดค้านจากสวี่เอ้อร์หลางซึ่งอยู่ข้างกาย
“กำลังทหารของอวิ๋นโจวไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนให้พวกเขาทำศึกสองแนวรบ”
นี่เป็นเหตุผลในตอนแรกที่อวิ๋นโจวต้องการเจรจาสงบศึกและยึดครองอวี่โจวโดยไม่นองเลือด
ทุกคนจึงตระหนักอีกครั้งว่าหากตอนนั้นการเจรจาสงบศึกสำเร็จ และกองทัพอวิ๋นโจวเข้ายึดครองอวี่โจวหรือจางโจว เช่นนั้นจึงจะเป็นสถานการณ์ที่มิอาจหวนกลับได้อย่างแท้จริง การสูญสิ้นของราชสำนักเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
ต้าฟ่งได้วนเวียนคาบเกี่ยวในความพินาศไปแล้วครั้งหนึ่ง…เหล่าขุนนางบุ๋นและผู้นำทางการทหารต่างรู้สึกสะเทือนใจ
การรัฐประหารของฆ้องเงินสวี่ในครั้งนี้ได้พลิกชะตาของราชวงศ์ต้าฟ่ง
หยางกงสรุปส่งท้าย
“ตั้งแต่หยุดพักปรับปรุงจนถึงเคลื่อนทัพ ใช้เวลามากที่สุดไม่เกินครึ่งเดือน ก่อนเทศกาลไหว้วสันต์ อวิ๋นโจวและพวกเราจะสู้รบกันอย่างดุเดือด ต่อจากนั้น พวกเราต้องสร้างแนวป้องกันด่านแรก และคัดเลือกแม่ทัพ…”
…
ณ ที่ว่าการมณฑลชิงโจว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง