ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 765

บทที่ 765 หนีเคราะห์กรรมจวนจะเกิดอยู่รอมร่อ

Ink Stone_Fantasy

ความแตกต่างอยู่ที่ร่างกายของท่านเป็นเล็กเป็นน้อยก็สลายตัว จากนั้นก็ต่อสู้กับตนเอง

สวี่ชีอันแขวะไปประโยคหนึ่งก่อน และเงียบลงต่อจากนั้นพร้อมกับวิเคราะห์เงียบๆ ในใจ

กำจัดสายเลือดเทพมารเป็นลำดับแรก เผ่าอสูรคงจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดจากการผสมระหว่างเทพมารและมนุษย์ มีสายเลือดเทพมาร แต่สายเลือดยังไม่มากพอที่จะรวมตัวเป็นจิตวิญญาณ อย่างมากที่สุดคือการทำให้เผ่าอสูรแข็งแกร่งโดยกำเนิด

แต่ไม่ถึงระดับที่ได้รับพรสวรรค์พิเศษอย่างจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง

กำจัดร่างแยก ‘พระพุทธเจ้า’ เป็นลำดับสอง เพราะว่าสิ่งนี้ไม่อาจลอกเลียนได้ เป็นไปไม่ได้ที่เสินซูจะตอบเขาด้วยเรื่องนี้

ในที่สุดก็กลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง…ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของสวี่ชีอัน

“ความเป็นอมตะ”

ถูกต้อง ความแตกต่างที่มากที่สุดระหว่างเสินซูกับจอมยุทธระดับบรรลุธรรมทั่วไปก็คือความเป็นอมตะของเขา

ขณะนี้สวี่ชีอันก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นสองแล้ว และจอมยุทธ์ที่ตระหนักรู้ ‘ผสานเต๋า’ ยังคงเสียชีวิตได้

แต่สถานการณ์ของเสินซูนั้นยากที่จะเข้าใจในระดับหนึ่งอย่างแท้จริง

เขาถูกแบ่งร่างผนึกไว้ห้าร้อยปีจนเสบียงหมดลง จำต้องมีชีวิตอยู่อย่างเด็ดเดี่ยวด้วยการพึ่งพาพลังชีวิตของตนเองโดยไม่มีพลังวิญญาณจากภายนอกมาเสริม

กระทั่งพระพุทธเจ้าระดับบรรลุธรรมก็ฆ่าเขาไม่ตาย

“ไม่ผิดแน่ หากเทียบกับจอมยุทธ์คนอื่นๆ ความพิเศษที่มากที่สุดของข้าคือความเป็นอมตะ ระดับบรรลุธรรมก็ฆ่าข้าไม่ตาย”

สะดือของเสินซูแยกออกและกลายเป็นปาก ก่อนเอ่ยว่า

“สิ่งที่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งบำเพ็ญก็คือวิชาคงกระพัน”

สวี่ชีอันเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยว่า

“เรื่องนี้ฟังแล้วดูเหมือนธรรมดาไปหน่อย”

ร่างอมตะเป็นความสามารถของจอมยุทธ์ขั้นสาม เมื่อถึงขั้นสอง ความสามารถประเภทนี้จะมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ด้วยพลังชีวิตในปัจจุบันของสวี่ชีอัน ต่อให้ถูกแบ่งร่างก็คงไม่ตาย

หากมองเช่นนี้ จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแค่เพิ่มพลังชีวิตเท่านั้นเอง จึงดูเหมือนไม่คู่ควรแก่กันเลย

ต้องรู้ไว้ว่าจอมยุทธ์เป็นระบบที่วิชาโจมตีแข็งแกร่งที่สุด

ทั้งนี้ จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งโดยทั่วไปแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีพลังชีวิตแข็งกล้าอย่างเสินซู เนื่องจากเสินซูอยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์

ระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ถูกพระพุทธเจ้าระดับบรรลุธรรมผนึกไว้ เช่นนั้นต่อให้เป็นเสินซูก็เหมือนจะดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง

ซึ่งไม่คู่ควรกับคำว่า ‘สู้ตัวต่อตัวอย่างแข็งแกร่งที่สุด’ เลยจริงๆ

“ผิดหวังเล็กน้อยหรือ”

เสินซูทำเสียง ‘ฮึม’ ก่อนเอ่ยกับตนเองว่า

“เจ้าควรจะรู้ว่าระบบจอมยุทธ์แตกต่างกับระบบทั้งหมด เมื่อระบบหลักแต่ละอย่างถึงระดับสูงสุดแล้ว บางระบบสามารถแก้ไขกฎเกณฑ์ตามใจชอบ บางระบบสามารถเสกหินให้เป็นทองคำและควบคุมดินน้ำลมไฟ บางระบบสามารถควบรวมโชคชะตาและใช้พลังแห่งเวไนยสัตว์ บางระบบสามารถยืมพลังฟ้าดินมาใช้ได้โดยตรง”

“มีเพียงจอมยุทธ์ที่ไม่หลอมรวมกับฟ้าดิน มีเพียงการบำเพ็ญตน อภินิหารทั้งหมดล้วนมาจากตนเอง”

มิเช่นนั้นจะกล่าวว่าจอมยุทธ์หยาบช้าได้เช่นไรกันล่ะ…สวี่ชีอันรู้สึกเศร้ากับระบบของตนเอง

เสินซูเอ่ยว่า

“ที่จริงแล้วนี่ก็คือเส้นทางที่เป็นหัวใจสำคัญและเป็นเนื้อแท้ที่สุดของจอมยุทธ์ มันได้บอกเจ้าแล้วว่าควรจะเลื่อนขึ้นขั้นหนึ่งเช่นไร”

เสินซูเอ่ยคำตอบโดยไม่รอให้สวี่ชีอันไต่ถามว่า

“หลอมรวมแก่นแท้ ลมปราณและจิตให้เป็นหนึ่งเดียว จิตเดิมก็คือร่างกาย ร่างกายก็คือพลังปราณ พลังกายก็คือจิตเดิม พลังรอบตัวหลอมรวมเป็นหนึ่ง พลังยุทธ์ของเจ้าจะรุดหน้าไปอย่างพรวดพราด และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่เป็นสองรองใครแห่งกาลปัจจุบัน”

แบบนี้มันกล่าวเลยเถิดเกินไป สวี่ชีอันพยักหน้าเพื่อแสดงว่าสามารถยอมรับได้

แต่เสินซูกลับเอ่ยว่า

“แต่นี่ยังคงไม่อาจเข้ากับบุคลิกของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ระบบจอมยุทธ์ตั้งแต่ขั้นเก้าไปจนถึงขั้นสอง ทุกการเลื่อนหนึ่งระดับ ล้วนได้รับความสามารถใหม่อย่างหนึ่ง ระบบอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้”

“แต่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เพิ่มเพียงความสามารถของร่างอมตะขั้นสาม และเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น ไม่ได้รับความสามารถใหม่”

สวี่ชีอันขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน หากเรื่องที่เสินซูกล่าวถูกต้อง เช่นนั้นมันก็ช่างแปลกประหลาดเสียจริง

ขั้นหนึ่งเป็นระดับสุดท้ายของระบบจอมยุทธ์ กลับเสริมแกร่งเพียงความสามารถในช่วงขั้นสามและขั้นห้า ไม่ได้กล่าวเกินเลยไปจริงๆ

แม้สิ่งนี้จะทำให้จอมยุทธ์ถูกฆ่าตายยากขึ้น และพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอย่างมากก็ตาม

สะดือของเสินซูถอนหายใจและเอ่ยว่า

“อันที่จริงปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ได้ให้คำตอบไว้แล้ว”

เครื่องหมายคำถามผุดแวบขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน รูม่านตาขยายขึ้นเล็กน้อยในชั่วประเดี๋ยวนั้น รัศมีตรงศีรษะส่องวาบขึ้น เขาเอ่ยโพล่งออกจากปากไปว่า

“จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งไม่นับว่าเป็นระดับปรกติ แต่เป็นเพียงส่วนเกินอย่างหนึ่ง”

ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์แบ่งระบบหลักต่างๆ เป็นเก้าขั้น แต่ละระดับล้วนมีชื่อเรียกเป็นของตนเอง มีเพียงจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งที่เว้นว่างไว้

หลายร้อยปีมานี้ไม่มีใครทราบมูลเหตุของมัน

แต่ในขณะนี้ การคาดคะเนอย่างหาญกล้าผุดขึ้นในความคิดของสวี่ชีอัน

เสินซูกล่าวการคาดคะเนนั้นออกมาแทนเขาว่า

“เพราะว่าจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของเทพยุทธ์ มันไม่ใช่ระดับที่แยกออกมาเดี่ยวๆ”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สวี่ชีอันเองก็ถอนหายใจและเอ่ยเหมือนเสินซูว่า

“ข้าก็รู้ว่าระดับของระบบจอมยุทธ์นั้นล้ำลึก ทว่า ตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน เหมือนจะไม่เคยปรากฏเทพยุทธ์เลยไม่ใช่หรือ ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ทราบได้เช่นไร”

เสินซูส่ายศีรษะเล็กน้อยพร้อมเอ่ยว่า

“ข้าไม่รู้ ข้ายังมีความทรงจำที่สำคัญอีกมากมายหลงเหลืออยู่ในศีรษะ ไม่มีใครรู้ว่ามูลฐานของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์คืออะไร แต่หากอิงจากการแบ่งระดับของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่คาดเดาว่าจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเป็นระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ไม่ได้มีอยู่น้อยนัก”

“ไม่เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าคนของเผ่าพันธุ์กู่ที่ซินเจียงตอนใต้จึงเรียกข้าว่าครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์หรือ หากไม่ใช่ว่าต้องการกำหนดตำแหน่งที่ถูกต้องให้ข้า ข้าเป็นวิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นหนึ่ง”

จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทพยุทธ์ ดังนั้นเสินซูซึ่งเป็นวิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นหนึ่งจึงถูกเรียกว่า ‘ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์’

ดูเหมือนสิ่งที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่รู้ไม่น้อยเลย…สวี่ชีอันเคยฟังที่ลี่น่าบอกว่า ระหว่างการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีในปีนั้น มีครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์แสดงออกโรง

และลี่น่าก็ทราบมาจากหลงถูผู้เป็นบิดา จากการติดต่อระหว่างสวี่ชีอันกับฝ่ายลี่กู่ จึงรู้ซึ้งว่าเผ่าชนนี้มีคุณธรรมเพียงใด เช่นนั้นจึงมีเหตุผลให้สงสัย หลงถูเองก็ทราบมาจากแม่ย่าแห่งเทียนกู่

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งก็ยังคงแข็งแกร่งเพียงพอ ไม่มีทักษะใหม่ก็ไม่เป็นปัญหา เพียงสามารถต่อยตีไป๋ตี้และเตะถีบเจียหลัวซู่ก็เพียงพอแล้ว…สวี่ชีอันขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตนว่า

“ควรทำเช่นไรจึงจะควบรวมแก่นแท้ ลมปราณและจิตให้เป็นหนึ่งเดียว”

“มีสูตรหนึ่งที่ว่า ใช้กายเป็นเตา ใช้จิตเป็นฟืน ใช้ลมปราณเป็นเพลิง”

เมื่อเสินซูท่องสูตรจบ เขาเอ่ยว่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง