บทที่ 771 ยิ่งรบยิ่งห้าวหาญ
Ink Stone_Fantasy
ไป๋ตี้มีเกราะเกล็ดปกคลุมอยู่ทั่วตัว แข็งแกร่งยากที่จะเจาะทะลวงได้ สายเลือดเทพมารที่ได้รับพรสวรรค์เป็นพิเศษนี้ไม่อาจดูเบาได้ สวี่ชีอันไม่มีความมั่นใจในการถอนเกล็ด แต่เขาที่เสียดแทงจนเกิดเสียงดังติ๊งๆ ยังคงมีความเชื่อมั่นอยู่มาก
ประการแรกคือส่วนท้องไม่มีเกล็ด ค่อนข้างจะเปราะบาง และอวัยวะสืบพันธุ์เป็นส่วนที่เปราะบางสุดของสิ่งมีชีวิต คิดว่าเทพมารก็คงหนีไม่พ้นเช่นกัน
สวี่ชีอันใช้ ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ กำบังกลิ่นอายของตนเอง ไป๋ตี้ไม่ใช่ระบบจอมยุทธ์ ไม่มีลางสังหรณ์วิกฤต เมื่อไป๋ตี้รับรู้ว่าสวี่ชีอันอยู่ใต้ตะโพกของตนเองนั้น กระบี่คุ้มเมืองก็ระเบิดแสงกระบี่สีเหลืองอร่ามออกมา และแทงไปที่อวัยวะสืบพันธุ์ของไป๋ตี้ด้วยอานุภาพที่กะจะทำลายให้พินาศย่อยยับ
ไป๋ตี้ตั้งตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน
ขณะนี้ สวี่ชีอันที่กำลังแทงกระบี่คุ้มเมืองอยู่มองเห็นท้องของไป๋ตี้พองออกมาฉับพลัน อวัยวะสืบพันธุ์บวมขึ้นมาทันที
ลางสังหรณ์วิกฤตของจอมยุทธ์โหมซัดสาดเข้ามา ในสมองของสวี่ชีอันผุดภาพขึ้นมาภาพหนึ่ง ฉี่ของไป๋ตี้ฉีดทะลุศีรษะของเขา
เป็นถึงทายาทเทพมารที่เกิดมาพร้อมกับสามารถในการควบคุมวารีและอัสนี ไป๋ตี้อยากฉี่ก็สามารถฉี่ได้ทุกที่ทุกเวลา
ไม่คุ้ม…หลังจากสวี่ชีอันชั่งน้ำหนักดูผลลัพธ์ที่กระบี่แทงออกไปแล้ว ก็ตัดสินใจละทิ้งอย่างไม่ลังเล เขาพลิกตัวกลิ้งออกจากใต้ตะโพกของไป๋ตี้
ครู่ต่อมา เสาวารีขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งพุ่งออกจากใต้ตะโพกของไป๋ตี้ เสาวารีเจาะลึกลงพื้นราวกับตัดเต้าหู้ ระดับความลึกนั้นไม่อาจคาดเดาได้
ไม่ต้องบอกก็สามารถจินตนาการได้ หากฟองฉี่นี้ฉีดใส่หน้า สมองของสวี่ชีอันคงระเบิดในทันที
ร่างของไป๋ตี้แข็งทื่อในบัดดล พอลมพัดมาระลอกหนึ่ง ร่างก็ค่อยๆ สลายไป แท้จริงแล้วสิ่งนี้คือภาพลวงตา
ร่างจริงของมันลอบโจมตีมาด้านหน้าสวี่ชีอันด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนเหมือนคน กีบทั้งคู่ฟาดออกไปอย่างโหดเหี้ยม
เร็วมาก…สวี่ชีอันลุกขึ้นยืน ลมแรงปะทะราวกับถูกใบมีดกรีด เขาตั้งกระบี่ขวางไว้ตรงหน้าอก มือซ้ายค้ำยันตัวกระบี่ไว้ และทำการรับมือ!
‘เต๊ง!’
แต่สวี่ชีอันไม่สามารถป้องกันได้ พลังปราณระเบิดตู้ม เขาไถลออกไปด้านหลังอย่างรุนแรงราวกับขบวนรถไฟที่ติดตั้งใบพัด
รองเท้าหนังวัวที่สวี่หลิงเยวี่ยเย็บให้แตกกระจายตามเสียงระเบิด
ระหว่างที่ลื่นถอยออกไปอย่างควบคุมไม่ได้นั้น สมองของสวี่ชีอันก็ผุดภาพหนึ่งขึ้นมาก ไป๋ตี้ปรากฏตัวบนเส้นทางที่ลื่นถอย มันอ้าปากกว้างและกัดศีรษะของเขาจากด้านหลังจนขาด
สวี่ชีอันไม่ได้ตื่นตระหนก เขาปล่อยกระบี่คุ้มเมือง แขนทั้งสองอ้าออกแล้ววาดวงกลมขนาดใหญ่ พลังแห่งเวไนยสัตว์รวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งและเพิ่มพลังให้กับร่าง ขณะเดียวกัน ร่างของเขาก็พองตัวเป็นมนุษย์กล้ามเนื้อที่มีขนาดสองจั้งจนเสื้อผ้าฉีกขาด
เจดีย์พุทธะปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ พลังคุมขังกระเพื่อมไปปราบปรามศัตรูทั้งหมดที่อยู่บริเวณรอบๆ
‘เต๊ง!’
เขาหมุนตัวผลักกำปั้นทั้งสองไปปะทะกับไป๋ตี้ที่กระโจนงับมาจากด้านหลังพอดี
หนึ่งมนุษย์หนึ่งอสูรปะทะกันจนเกิดอานุภาพราวกับทลายภูเขาได้ พื้นดินในรอบรัศมีหลายร้อยจั้งยุบลงไปทันที ฝุ่นนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา แต่ครู่ต่อมาก็ถูกพลังปราณโหมกระหน่ำพัดสลายไป
แขนทั้งสองของสวี่ชีอันแตกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเพราะหมดความรู้สึกแต่แรกแล้ว
เขาถูกเขวี้ยงออกไปราวกับเรือลำเล็กท่ามกลางคลื่นที่โหมซัดสาด พลังสลายแรงไม่อาจต้านทานพลังมหาศาลนี้ได้ การถูก ‘สะเทือนกระเด็น’ โดยไม่อาจควบคุมได้เช่นนี้ มันอันตรายถึงชีวิต
ซึ่งฝ่ายตรงข้ามสามารถใช้โอกาสนี้ประชิดตัวโจมตีเขาจนพิการได้
ไป๋ตี้ย่อมไม่ปล่อยโอกาสเช่นนี้ไป พลังคุมขังของเจดีย์พุทธะแค่ทำให้มันชะงักงันเล็กน้อย ไม่อาจกำราบได้ ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้มาเองก็ไม่อาจกำราบมันได้เช่นกัน
เขากลายร่างเป็นวายุพุ่งใส่สวี่ชีอันที่กระเด็นออกไป
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากสวี่ชีอันเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองธรรมดา คงตายอย่างน่าอนาถ ดูเหมือนไม่มีโอกาสพลิกเกมเสียด้วยซ้ำ
ในระบบที่ขอบเขตใกล้เคียงกัน ขั้นหนึ่งกับขั้นสองไม่อาจล้ำขอบเขตกันได้
แต่สวี่ชีอันไม่ใช่จอมยุทธ์ขั้นสองธรรมดา เขาควบคุมระบบอีกระบบอยู่ ซึ่งก็คือไสยศาสตร์กู่!
ร่างของสวี่ชีอัน ‘จำแลงเงามืด’ อย่างรวดเร็ว อาศัยวิชากระโดดสู่เงาหลบหลีกการไล่สังหารของไป๋ตี้
เขารักษาลักษณะท่าทีที่ถูกเขวี้ยงกระเด็นไว้ เงาร่างปรากฏตัวในรอยแยกบนพื้น ปรากฏตัวในเงามืดของหินยักษ์ ปรากฏตัวในเงาต้นไม้ ปรากฏตัวในเงาของสรรพสิ่งต่างๆ ที่อยู่บริเวณรอบๆ จากนั้นก็หายไป
เขาแสดงวิชากระโดดสู่เงาอย่างไม่ขาดสาย อาศัยวิธีการนี้หาทางหลีกเลี่ยงการไล่สังหารของไป๋ตี้
‘เคราะห์อัสนียี่สิบเจ็ดสาย…’ ไป๋ตี้กวาดสายตาดูลั่วอวี้เหิงทีหนึ่งก่อนละสายตากลับมา ภายในลูกตาสีครามเข้มสะท้อนเงาร่างขาดๆ หายๆ ของสวี่ชีอัน มันรู้ถึงความแปลกประหลาดของไสยศาสตร์กู่ดี จึงเลิกไล่สังหารทันที เพราะไม่อยากทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์
‘เปรี๊ยะๆ!’
เขาที่อยู่บนหัวไป๋ตี้มีประกายสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
‘เปร๊ยะๆ เปรี๊ยะๆ…’ ประกายสายฟ้ากระโดดไปมากลางอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ มันครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ ทำให้ฟ้าดินทางด้านนี้กลายเป็นขอบเขตของอสนีบาตที่ฟาดเปรี้ยงๆ
เคราะห์สวรรค์ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังอสนีบาตที่มีมากกว่าปกติ สำหรับไป๋ตี้แล้วสามารถพูดได้ว่าเป็นเสือติดปีกเลยทีเดียว
แน่นอน ข้อเสียก็คือเจียหลัวซู่ไม่กล้าพุ่งเป้าไปที่นักบวชเต๋าจินเหลียนอีก
ในช่วงเวลาหลายร้อยปีนี้ นักพรตเฒ่าจากนิกายปฐพีผู้นี้สะสมพลังบุญกุศลมหาศาล หากสังหารคนเช่นนี้จะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ และสถานที่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งเคราะห์ พลังของทัณฑ์สวรรค์ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เสียเปรียบไปแล้วครั้งหนึ่ง
กระแสสายฟ้าปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า กลายเป็นตาข่ายอัสนี ทำให้สวี่ชีอันที่กระโดดอยู่ในเงามืดหยุดชะงักและตัวแข็งทื่อ
ไป๋ตี้คว้าโอกาสนี้อ้าปากพ่นเสาวารีสีดำฉีดทะลุหน้าอกสวี่ชีอัน
‘ตุบ ตุบ ตุบ!’ ประเดี๋ยวเดียวมันก็วิ่งอย่างบ้าคลั่ง และงับคอสวี่ชีอันทันที ‘ฉับ!’ คอของเขาถูกกัดขาด ปากขนาดใหญ่เริ่มทำการกัดแทะ พริบตาเดียวร่างส่วนบนของชายหนุ่มผู้นี้ก็ถูกเคี้ยวจนละเอียดและกลืนลงไป
“สวี่ชีอัน!”
ลั่วอวี้เหิงที่อยู่ภายใต้เคราะห์อัสนีส่งเสียงร้องแหลมเศร้ากำสรดออกมาทันที
‘ตู้ม!’
จากนั้นแท่งอัสนีขนาดใหญ่เท่าอ่างน้ำก็กลืนนางจนมิด ทำให้นางจำเป็นต้องต่อต้านด้วยพลังทั้งหมด
เจียหลัวซู่ที่อยู่ไกลๆ ได้ยินเสียงร้องแหลมของลั่วอวี้เหิงก็หยุดโจมตีแล้วมองไปทางไป๋ตี้
แต่พอมองไปก็ต้องหดรูม่านตาเล็กน้อยก่อนตะโกนออกมา
“ระวัง!”
สิ่งที่อยู่ด้านหลังของไป๋ตี้คือสวี่ชีอันที่มีสภาพสมบูรณ์ เขาจับกระบี่คุ้มเมืองไว้แน่น ทลายพลังปราณทั้งหมด ระงับอารมณ์ทั้งหมด พลังแห่งเวไนยสัตว์สถิตอยู่บนกระบี่ทองเหลือง
เขากล่าวเสียงทุ้ม
“ความปรารถนาที่สอง กระบี่นี้มีอานุภาพราวกับหักไม้ไผ่!”
แสงสีทองจางๆ ปรากฏขึ้นในจุดตันเถียน มันเกาะตัวเป็นกระบี่คุ้มเมืองและเพิ่มพลังชุดหนึ่งให้กับหยกสลาย
ทานพละระดับเต๋าที่อาซูหลัวคว้ามาอยู่บนตัวเขา และอาศัยโอกาสนี้แลกเปลี่ยนกับดาบไท่ผิง
ก่อนเปิดศึก ระดับเหนือมนุษย์ทางฝั่งต้าฟ่งเคยชุมนุมกันครั้งหนึ่ง และทำการวิเคราะห์กำลังรบของทั้งสองฝ่ายอย่างละเอียด กำหนดยุทธวิธีการรบไว้หลายชุด
ละเอียดถึงขั้นที่ว่าใช้ของวิเศษอะไรตอนไหน แสดงวิชาอะไรเมื่อไร จะสร้างความเสียหายให้กับเจียหลัวซู่และไป๋ตี้ได้อย่างไร จะถูกพวกเขาป้องกันอย่างไร…นั่นเป็นการอนุมานที่พอจะเรียกได้ว่าทำให้สมองระเบิดได้
‘ศึกพิทักษ์’ ในรอบนี้ ผู้ที่เสี่ยงอันตรายสุดคือสวี่ชีอัน เขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งผู้หนึ่ง
ที่เขาขาดแคลนไม่ใช่วิธีการปล่อยพลัง แต่เป็นวิชาควบคุมศัตรู (วิธีการที่แพรวพราว) ดังนั้นดาบไท่ผิงกลับคืนสู่อาซูหลัว อัฐิธาตุกลับคืนสู่สวี่ชีอัน
สวี่ชีอันในเมื่อครู่เป็นร่างปลอม เป็นร่างอวตารที่ทานพละระดับเต๋าสร้างขึ้นมา เป็นร่างอวตารที่ดูเหมือนจริง
ทานพละระดับเต๋าสามารถคัดลอกบุคคลได้อย่างสมบูรณ์แบบ สวี่ชีอันแค่ท่องในใจเงียบๆ หนึ่งประโยค
‘ความปรารถนาแรก ต้องการผู้ช่วยที่เหมือนกับข้า’
นอกจากพลังรบจริงจะด้อยกว่าร่างจริงแล้ว ส่วนอื่นๆ ไม่มีอะไรแตกต่างเลย
วิชากระโดดสู่เงาในเมื่อครู่ สวี่ชีอันเรียกร่างปลอมร่างนี้ออกมา แล้วใช้วิชาดวงดาราผันเปลี่ยนกำบังกลิ่นอายของตนเองไว้ อาศัยวิชากระโดดสู่เงามาปรากฏตัวด้านหลังไป๋ตี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง