ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 772

บทที่ 772 อุปนิสัยชี้ดวงชะตา

Ink Stone_Fantasy

‘ปัง!’

เขากวาดแขน แล้วกระหน่ำหมัดเข้าที่ใบหน้าด้านข้างของไป๋ตี้ ท่ามกลางคลื่นระเบิด ไป๋ตี้ก็พลิกตัวเหาะหนีออกมา

มันมิได้สูญเสียการควบคุมร่างกายจากการถูกหมัดอันหนักหน่วงโจมตีแต่อย่างใด ระหว่างที่พลิกตัวกลางเวหานั้น มันก็ได้ปรับสภาพร่างกายทั้งหมดแล้ว ครั้นลงสู่ผืนดิน เท้าทั้งสี่ก็ไถลลื่นจนทิ้งระยะห่างไปเล็กน้อย ก่อนจะทรงตัวให้มั่นคงได้

“แค่ก…”

ไป๋ตี้พลันแยกเขี้ยวกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ในเวลานั้นเองที่นัยน์ตาของมันเพิ่งจะหายดี มันจึงก้มหน้าเหลือบมองฟันที่หักไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ พลางมองไปทางมนุษย์ที่ร่างสูงกำยำขนาดสามเมตร

หมัดเมื่อครู่ทำให้มันเจ็บปวดแสบร้อน และได้รับความเสียหายบริเวณผิวหนังเล็กน้อย แต่สำหรับลูกหลานเทพมารที่มีร่างกายอันแข็งแกร่งนั้น อาการบาดเจ็บกระจ้อยร่อยเหล่านี้หาได้สนใจไม่

ทว่าภายในแววตาที่ตกตะลึงของไป๋ตี้กลับดูเสมือนคลื่นทะเลโหมซัดสาด

“นี่มันเป็นไปไม่ได้ เจ้ามีพลังขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”

หากกล่าวกันตามปกติ หากระเบิดพลังที่ซ่อนเร้นไว้มันก็มีผลเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น และการจะรักษาคงสภาพแม้เป็นเวลาสั้นๆ ก็ยังไม่ง่ายเลย

แต่ตอนนั้นเองไป๋ตี้ก็รู้สึกได้ว่า พลังของสวี่ชีอันได้เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว ทั้งยังดูเสถียรมั่นคงอีกด้วย

‘นี่มันหมายความว่าอย่างไร?’

‘ชักจะเกินไปแล้วนะ!’

‘ระดับพลังของผู้บำเพ็ญพรตต้องค่อยๆ สะสมทีละย่างก้าวสิ หากอยู่ขั้นสองตอนต้นก็ควรจะเป็นเช่นนั้น มิใช่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีเหตุผล แล้วพลังอันไร้มูลเหตุแบบนั้นมาจากที่ใด?’

‘นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด’

กระทั่งไป๋ตี้ที่มีชีวิตมาอย่างยาวนานนั้น ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มันก็ไม่เคยประสบเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้มาก่อน

หากสามารถทำเยี่ยงนี้ได้ แล้วการฝึกบำเพ็ญจะยังมีความหมายอยู่หรือ?

เจ้าเด็กนี่ยังไม่ได้แตะพลังต่อสู้ขั้นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อเทียบกับเมื่อครู่ ก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมากโข

ไป๋ตี้เริ่มกังวลแล้วว่าพลังที่เพิ่มพูนแบบนี้จะจบลงเมื่อใดกัน?

ตอนนั้นเองสวี่ชีอันกางนิ้วทั้งห้า ซึ่งนิ้วที่หักไปก็ฟื้นคืนสภาพอย่างรวดเร็ว ส่วนกำปั้นที่โชกเลือดก็ถูกรักษาจนหายดีในพริบตาเดียว

พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ลั่วอวี้เหิงก็ราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก ร่างพลันอ่อนยวบ เนื่องจากตึงเครียดมากเกินไป จึงรู้สึกแขนขาอ่อนแรง

‘ข้าเคยพูดไว้เมื่อครั้งทำสงครามที่สวินโจวแล้ว สภาพของเขามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพราะยิ่งโจมตีก็ยิ่งแข็งแกร่ง…’ อาซูหลัวแอบโล่งใจ

ด้านนักบวชเต๋าจินเหลียนและจ้าวโส่วก็พลันทำจิตใจให้ผ่อนคลายสลัดความตึงเครียดทันใด และเช่นนี้ถึงจะยังสู้ต่อได้

โดยเฉพาะนักบวชเต๋าจินเหลียน จิตใจของเขาสับสนว้าวุ่นยิ่ง ช่วงยามศึกสงครามที่สวินโจวนั้น เขากำลังร้อนใจเร่งปลอมบงกชดำอยู่ จึงไม่ได้เข้าร่วมต่อสู้ และไม่เคยล่วงรู้ถึงพลังต่อสู้ของสวี่ชีอัน

แต่วันนี้ได้ทราบแล้ว พลังต่อสู้ของเจ้าเด็กคนนี้มาถึงระดับนี้ก็ดูเกินความเป็นจริงเสียด้วยซ้ำ

ยามนี้ใบหน้าพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ฉายความไม่พอใจอย่างยิ่ง ครั้นพลังสวี่ชีอันอยู่ขั้นสอง สุดท้ายเขารู้แจ้งอันใด จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นปริศนา

และเขายังเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ที่สุดอีกด้วย

สิ่งเดียวที่สามารถปลอบใจได้ก็คือ หากเป็นไปตามที่ไป๋ตี้คิดไว้ พลังของผู้บำเพ็ญพรตจะต้องค่อยๆ สะสมทีละย่างก้าว และสิ่งที่เรียกว่ายิ่งโจมตียิ่งแข็งแกร่งนั่นก็น่าจะมีขีดจำกัดอยู่

และเป็นไปไม่ได้เกินครึ่งส่วนที่พลังของเขาจะสามารถก้าวข้ามขึ้นขั้นหนึ่ง

ตราบใดที่พลังยังต่ำกว่าขั้นหนึ่ง เช่นนั้นก็มิใช่ปัญหาใหญ่อะไร

ตอนนั้นเองสวี่ชีอันกวาดตามองไปยังทิศใต้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองยงโจว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มเอ่ยว่า

“ข้าอุ่นเครื่องเสร็จแล้ว เจ้าทั้งสามยังไหวอยู่หรือไม่?”

อาซูหลัวที่ได้ฟังก็ส่งเสียง ‘ถุย’ พ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง แล้วยิ้มหยันกล่าว

“ไม่ต้องถึงสิบสามวันหรอก ต่อสู้เป็นเวลาหนึ่งเดือนข้าก็ไม่มีปัญหา”

จ้าวโส่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“หากไม่ใช่ว่าท่านโหราจารย์เสียพลังส่วนใหญ่ไปกับมงกุฎขงจื๊อและดาบสลัก ตอนนี้เหล่าฟูก็คงให้เจียหลัวซู่กลับแดนประจิมแล้ว”

นักบวชเต๋าจินเหลียนเหล่ตามอง พลางคิดในใจว่าพวกคงแก่เรียนน่าจะกินกระเทียมทุกวัน กลิ่นปากถึงได้ร้ายแรงนัก

“ร่างธรรมของลัทธิเต๋าเชื่อมโยงกับพลังวิญญาณฟ้าดิน มีวรยุทธ์ลึกล้ำดั่งมหาสมุทร ย่อมมิเกรงกลัวสงครามอันยาวนาน”

ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งจิ่วโจว แต่ไหนแต่ไรมาพละกำลังทางกายและพลังเวทมนตร์ล้วนไม่เคยเป็นปัญหาที่ต้องกังวล

ปัญหาเดียวคือสวี่ชีอันจะสามารถอดทนยืนหยัดต่อไปได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี้จะทานทนกว่าที่ทุกคนเคยจินตนาการเอาไว้

ทั้งสามคนจึงมั่นใจกว่าเดิม

สวี่ชีอันมองไปยังทิศใต้อีกครา บัดนี้เขามองทิศใต้สองครั้งแล้ว

ตอนนั้นเองเจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วก็เอ่ยเสียงเบาว่า

“เจ้าเป็นกระดูกสันหลังของต้าฟ่ง คือศรัทธาของเหล่าทหาร ตราบใดที่เจ้าไม่ล้ม ศรัทธาของต้าฟ่งก็จะไม่ล้มลงเช่นกัน!”

สวี่ชีอันดึงสายตากลับมา พ่นลมหายใจอย่างภาคภูมิใจ

“ชายชาตรีถึงตายก็ต้องตายดั่งเหล็กกล้า ดูนี่สิ…”

เขาเคลื่อนตัวไปทางไป๋ตี้ ท่าทีราวกับนักรบผู้ไม่หวั่นเกรงสิ่งใด

ดูนี่สิ เพียงมือนี้ของข้าสามารถกอบกู้มาตุภูมิได้

ณ ภูเขาเซียนซานที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆในนิกายสวรรค์

เทพธิดาปิงอี๋และนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงมายังตำหนักเทพสวรรค์ที่ตั้งอยู่บนยอดหน้าผาอันวิจิตร โดยคนหนึ่งขี่นกกระเรียนเซียน อีกคนขี่กระบี่บิน

เทพสวรรค์ผมขาวแกมเทากำลังนั่งขัดสมาธิบนแท่นดอกปทุม โดยโค้งร่างกาย ก่อนจะก้มศีรษะคำนับ

“คารวะท่านเทพสวรรค์!”

เทพเจ้าหยางแห่งลัทธิเต๋าทั้งสองคารวะด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก

“ข้าเห็นชะตาแห่งความตายของเทพธิดา พวกเจ้าจงไปยงโจว แล้วนำสองคนนั้นกลับมาเสีย”

น้ำเสียงเทพสวรรค์ดังกึกก้องภายในตำหนัก

เทพธิดาปิงอี๋และนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงสบตากัน ก่อนจะกล่าวรับคำด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์เจือปน

“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านเทพสวรรค์!”

น้ำเสียงของเทพสวรรค์ที่ไร้ความปรานีดังสะท้อนก้องมาอีกครั้ง

“หายนะครั้งใหญ่กำลังจะมา หลังจากศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ นิกายสวรรค์ก็ปิดเขาและตัดการติดต่อจากโลกภายนอกมาโดยตลอด แต่ก่อนอื่นใด พวกเจ้าห้ามมีส่วนร่วมกับเรื่องในแดนโลกีย์ และห้ามก่อเรื่องจนเกิดเหตุต้นผลกรรม

“มิเช่นนั้น จะถูกขับไล่ออกจากนิกายสวรรค์”

เทพธิดาปิงอี๋และนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงทราบข้อห้ามดังกล่าวดี สาเหตุที่เทพสวรรค์กำชับพวกเขา ก็เพราะไม่อยากให้ใครคนไหนหรือเรื่องอันใด เข้าไปแทรกแซงสงครามของที่ราบลุ่มภาคกลาง

คราวก่อนตอนไปตามหาหลี่หลิงซู่ที่ยงโจว ทั้งสองคนก็เข้าไปติดกับหลุมพรางของสวี่ชีอัน และโดนบังคับให้ป้องกันศัตรูแทนเจ้าตัว และขัดขวางเหล่าเทพอารักษ์ของลัทธิเต๋า

“ศิษย์เข้าใจแล้ว!”

จากนั้นเทพหยางทั้งสองก็ออกจากตำหนักเทพสวรรค์ไป

สำนักงานใหญ่ของข้าหลวงแห่งสวินโจว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง