ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 773

บทที่ 773 ไหตักน้ำแตกเพราะปากบ่อน้ำ

Ink Stone_Fantasy

‘ตึงๆๆ!’

ณ กำแพงเมืองสวินโจว เสียงกลองอึกทึกดังก้องไปทั่วฟ้า ทหารอารักขาสวมเกราะถืออาวุธเรียงแถววิ่งมาที่กำแพงเมือง

ทหารอาสาเองก็ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี พวกเขาขนย้ายอุปกรณ์ป้องกันเมืองมาตั้งอย่างเป็นระเบียบ

ท่ามกลางเสียงกลองประจัญข้าศึก ตั้งแต่ทหารอาสาไปจนถึงเหล่าทหาร จากเหล่าทหารไปยังแม่ทัพ ทุกคนล้วนแสดงท่าทีเตรียมพร้อม มากด้วยประสบการณ์ สำหรับชาวเมือง การมีกองทัพที่แข็งแกร่งคอยปกป้องเมือง ถือเป็นพรอันประเสริฐ

สำหรับทหารอารักขาแล้ว ความขมขื่นจากสิ่งที่ประสบ มิใช่สิ่งที่คนนอกจะเข้าใจได้

ต้องผ่านการล้างบาปด้วยเหล็กและโลหิตกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก่อนจะสงบจิตใจเข้ารับการฝึกฝนได้อย่างเช่นทุกวันนี้

ขณะที่เสียงกลองดังขึ้นเหนือกำแพงเมือง ณ จวนข้าหลวง หยางกงสวมหมวกขุนนาง แต่งกายในชุดทางการ มองไปทางจางเซิ่นและหลี่มู่ไป๋ที่อยู่ในห้องโถง

“กองทหารชั้นยอดที่พามาจากชิงโจวถูกกำจัดจนเกือบสิ้นแล้ว กองทัพของยงโจวก็ถูกทำลายไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน ตอนนี้ถึงตาพวกเราต้องออกไปต่อสู้ด้วยตนเองแล้ว”

หยางกงกล่าวยิ้มๆ ว่า “จิ่นเหยียน มู่ไป๋ พวกเรารู้จักกันมาครึ่งค่อนชีวิต แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันเลยสักครั้ง”

จางเซิ่นถอนหายใจ “สำนักอวิ๋นลู่เก็บตัวเงียบมานานกว่าสองร้อยปี จนชาวโลกหลงลืมไปนานแล้วว่าลัทธิขงจื๊อของข้านั้นแข็งแกร่งเพียงใด”

ปัญญาชนสำนักอวิ๋นลู่ในยุคสมัยที่ผ่านมาต่างมีความปรารถนาสองประการ

หนึ่ง ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อได้หวนคืนสู่ราชสำนัก

สอง นักพรตสำนักใหญ่ในจิ่วโจวจะต้องระลึกถึงความหวาดกลัวที่ถูกลัทธิขงจื๊อครอบงำ

ก่อนที่ระบบโหรจะปรากฏขึ้นในที่ราบลุ่มภาคกลาง ผู้ค้ำจุนแผ่นดินอดีตราชวงศ์ทุกราชวงศ์ ผู้โอบอุ้มกระดูกสันหลังของราชวงศ์แห่งที่ราบลุ่มภาคกลาง หาใช่จอมยุทธ์กักขฬะ แต่เป็นลัทธิขงจื๊อ!

เป็นลัทธิขงจื๊อต่างหากที่ปราบพ่อมด ขับไล่สำนักพุทธ

ดินแดนประจิมทิศมีพุทธศาสนา ดินแดนอีสานทิศมีพ่อมด ซินเจียงตอนใต้มีเผ่ากู่ ดินแดนทิศอุดรมีคนเถื่อน…มีแต่พวกเศษสวะ!

มีเพียงลัทธิขงจื๊อแห่งที่ราบลุ่มภาคกลางเท่านั้นที่ทรงเกียรติที่สุดในจิ่วโจว

เมื่อสองร้อยปีก่อน รองปราชญ์เอกเฉิงประจบสอพลอจวิ้นอ๋อง ก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง ทำให้สำนักอวิ๋นลู่รวมถึงลัทธิขงจื๊อทั้งหมดต้องถูกขับออกจากราชสำนัก

ซ้ำร้ายยังมีโหราจารย์คอยเติมเชื้อไฟ

ส่งผลให้ลัทธิขงจื๊อต้องเก็บตัวเงียบตลอดสองร้อยปี ยอดฝีมือขั้นสามหายาก ขั้นสองและขั้นหนึ่งสาบสูญนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ผู้บำเพ็ญตนในจิ่วโจวทุกวันนี้ลืมเลือนความรุ่งโรจน์ของลัทธิขงจื๊อในยุครุ่งเรืองไปนานแล้ว

หลี่มู่ไป๋ขึงขังกว่าเดิม “กองทหารชั้นยอดของอวิ๋นโจวล้วนเดินทางมาที่นี่ทั้งหมด หากสังหารไปเรื่อยๆ กองทหารหัวกะทิของอวิ๋นโจวต้องสิ้นซากที่สวินโจวอย่างแน่นอน

“เจ้าสำนักอนุญาตให้จักรพรรดินีเข้าสู่ราชสำนักแล้ว หลังสิ้นศึกคราวนี้ คุณูปการของข้าและจิ่นเหยียนจะทำให้พวกข้าได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง ขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดี ภายภาคหน้าเมื่อพวกเราได้เลื่อนขั้นสู่ระดับเหนือมนุษย์แล้ว ค่อยไปแก้แค้นเจ้าสำนักเฒ่านั่นย่อมได้

“มันแย่งบทกวีไปจากพวกเราเสียหลายบท”

‘ไม่สิ แย่งไปจากข้าต่างหาก…’ หยางกงและจางเซิ่นต่างโต้เถียงกันอยู่ในใจ

สามปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มองหน้ากันและกัน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่ที่ข้าอยู่ หาใช่ที่โถงจวน แต่เป็นกำแพงเมืองสวินโจว”

ลั่นประกาศิต!

ดวงไฟสุกใสสามดวงลุกโชนโอบคลุมร่างของทั้งสามคนไว้ พาพวกเขาหายวับไปจากโถงใหญ่

‘ตู้มๆๆ!’

บนกำแพงเมืองมีเสียงปืนใหญ่ดังลั่น กระสุนปืนใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าลอยไปตกกลางทัพที่ปิดล้อมเมืองไว้อย่างแน่นหนา

กระสุนปืนใหญ่แต่ละลูกล้วนแผ่ขยายเป็นดวงไฟ เศษดินปืน เศษหิน และแขนขาระเบิดกระจัดกระจาย

หลังจากที่ทัพกบฏอวิ๋นโจวต้องจ่ายความสูญเสียเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนถึงระดับหนึ่ง ก็ประสบความสำเร็จในการเคลื่อนปืนใหญ่ และรถยิงหน้าไม้เข้าใกล้ระยะโจมตีกำแพงเมือง

จากนั้นทั้งสองทัพก็เปิดฉากยิงใส่กัน แข่งขันพลานุภาพคลังแสง

กองทัพข้าศึกที่หนาแน่นใช้ปืนใหญ่ของตนเป็นแนวขวาง เร่งรุดไปใต้กำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว จากนั้นเปิดฉากบุกโจมตีเมืองราวกับฝูงมด

ทัพที่บุกไปชุดแรกคือทัพเบิกทางและทัพฝ่ากำแพงเมือง ทั้งสองทัพใหญ่แบ่งออกเป็นเก้าทัพเล็ก มีจำนวนคนทั้งสิ้นสามพันหกร้อยนาย ประกอบด้วยชาวยุทธ์และทหารใหม่ มีจอมยุทธ์ขั้นสลายแรงหรือนักรบกระดูกเหล็กผิวทองแดงเป็นผู้นำ

บทบาทของทั้งสองทัพมีความชัดเจน คือเพื่อเปิดทางให้ร้อยกองทัพยอดทหารราบที่ติดตามมา

ดังนั้นการบาดเจ็บล้มตายของทัพเบิกทางและทัพฝ่ากำแพงเมืองจึงสูงที่สุด ทว่าชีก่วงป๋อหาได้ใส่ใจ การจะเป็นแม่ทัพได้ต้องเข้าใจหลักการที่ว่าความเมตตาสั่งการทหารไม่ได้ และต้องจำให้ขึ้นใจว่าควรใช้ทหารดั่งโคลนตม

นับแต่โบราณกาล การฝ่ากำแพงเมืองจำเป็นต้องแลกมาด้วยชีวิตของทหาร

ชีก่วงป๋อหยิบกล้องส่องทางไกลออกมา ดูการสู้รบฝ่ากำแพงอย่างดุเดือดบนกำแพงเมืองอยู่ไกลๆ

ภายใต้เกราะกำบังจากปืนใหญ่ ทัพเบิกทางและทัพฝ่ากำแพงเมืองต้องเผชิญหน้ากับท่อนซุงและลูกธนู หลังจากที่จ่ายด้วยราคาอันน่าสยดสยอง พวกเขาก็ปีนขึ้นไปบนกำแพง และเปิดฉากเข่นฆ่าทหารอารักขาได้ในที่สุด

ช่องโหว่ถูกเปิดออกแล้ว

ชีก่วงป๋อหยิบธงเล็กสองสี ได้แก่สีแดงและสีดำออกมาจากถุงสัมภาระหลังม้า ด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ

ธงสีดำสื่อถึงร้อยยอดกองทัพ ประกอบด้วยทหารราบทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นนาย โดยมีหยางชวนหนาน อดีตสมุหเทศาภิบาลอวิ๋นโจว รวมถึงยอดฝีมือขั้นสี่อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้นำ เป็นทหารชั้นยอดผู้สืบทอดสายเลือดมาอย่างแท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นต้าฟ่งหรืออวิ๋นโจว กองกำลังหลักคือทหารราบ

จะมีทหารม้าสักกี่มากน้อย ที่ราบลุ่มภาคกลางก็เทียบกับแดนเหนือไม่ได้ ที่นั่นมีทั้งทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีแกะ วัวและม้าพันธุ์ดีอยู่รวมกันเป็นฝูง

‘ตึงๆๆ!’

เสียงกลองรบดังขึ้น ร้อยกองทัพที่กระตือรือร้นอยากจะเข้าสู่สนามรบเต็มแก่ก็รีบกรูออกไป กองทัพเรือนหมื่นแผ่ขยายตัวออกไป ตามผู้นำของแต่ละกองไปยังกำแพงเมือง

“ปืนใหญ่บนกำแพงเมืองรุนแรงใช่ย่อย”

ชีก่วงป๋อโยนธงสีแดงให้กับรองแม่ทัพ

รองแม่ทัพทำตามคำสั่งของเขาทันที ไม่นาน ธงที่ปักลายนกยักษ์สีแดงผืนใหญ่ก็โบกสะบัดอย่างแรง

“แกว๊ก!”

เสียงร้องดังก้องไปทั่วฟ้า ทัพวิหคแดงก็พุ่งทะยานจากด้านหลังทัพใหญ่ กระพือปีกทะยานออกไป

คนขี่นั่งตัวสั่นบนหลังวิหคยักษ์ขนสีแดงก่ำ กรงเล็บของมันเกี่ยวถังน้ำมัน โผบินไปสู่กำแพงเมือง

น้ำมันสาดกระจายเหนือกำแพงเมือง ราดลงบนกำแพง ทางม้า และบนตัวทหาร

บนกำแพงเมืองเกิดรอยไหม้และเปลวไฟขึ้นทั่วบริเวณ น้ำมันที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเป็นน้ำมันเดือดปุดๆ ที่ใช้ย่างสดทหารอารักขาต้าฟ่ง

พลอากาศถือเป็นปรมาจารย์ของทหารชั้นยอด ถือเป็นอันดับหนึ่งเหนือทหารจำพวกใด เหนือกว่าทั้งทหารม้าเกราะหนักและพลปืนใหญ่

ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีแนวคิดเรื่อง ‘การครองอากาศ[2]’ รู้แค่ว่าเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งควบคุมการโจมตีทางอากาศได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็ถือเป็นหายนะร้ายแรงสำหรับอีกฝ่ายหนึ่งเลยก็ว่าได้

การรุกรานจากทัพวิหคแดงประกอบกับการปิดล้อมเมืองของร้อยกองทัพ ทำให้สถานการณ์ฝั่งกำแพงเมืองสวินโจวสูญเสียการควบคุม

หยางกงและปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ต่างระดมกำลังลั่นประกาศิต และพยายามดับไฟให้ได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง