บทที่ 804 สวี่เป็นล่อชนิดใด? (1)
ทันทีที่เจ็ดยอดกู่เลื่อนขั้นเป็นระดับเหนือมนุษย์ นอกเหนือจากความสามารถเดิมจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดแล้ว ยังได้ทักษะระดับเหนือมนุษย์เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ทักษะระดับเหนือมนุษย์ของเผ่าลี่กู่ เรียกว่า ‘การสังเวยโลหิต’
สาระสำคัญคือการเผาผลาญแก่นโลหิต บีบเค้นศักยภาพ เพื่อเพิ่มกำลังรบในระยะเวลาสั้นๆ เหมือนกับ ‘ความบ้าคลั่ง’ ขั้นสี่ แต่ ‘ความบ้าคลั่ง’ จะเพิ่มความแข็งแกร่งเพียงบางส่วนและเพิ่มขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว
ทว่า ‘การสังเวยโลหิต’ จะทำให้ระดับเพิ่มสูงขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น สวี่ชีอันประเมินแบบคนหัวโบราณว่า ในกรณีที่เพิ่งขึ้นเป็นนักรบลี่กู่ขั้นสาม หากผ่านจากสังเวยโลหิตแล้ว ก็น่าจะประชันขันแข่งกับพวกขั้นสามช่วงกลางๆ ได้
เทียบเท่ายกระดับขึ้นมาเล็กน้อย
“แท้จริงแล้วนี่คือกำลังรบที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาเจ็ดไสยศาสตร์กู่หลัก ลี่กู่เองก็ละม้ายคล้ายคลึงจอมยุทธ์ ทว่าทอดทิ้งเสียงกระดิ่งและนกหวีดทั้งปวงไป แสวงหาแต่เพียงพลังทำลายล้างขั้นสูงสุดอย่างเดียว”
หลังจากลี่กู่เลื่อนขั้นเป็นเหนือมนุษย์แล้ว เรื่องน่าประหลาดใจที่สุดคือสวี่ชีอันสามารถ ‘สังเวยโลหิต’ เพื่อเพิ่มกำลังรบของเขาขึ้นได้หนึ่งระดับ เดิมที หลังเข้าสู่ ‘ความบ้าคลั่ง’ ขั้นหนึ่งแล้ว ลี่กู่จะไม่มอบกำลังรบพิเศษอื่นใดให้อีก ดังนั้นในตอนนี้ มันจึงมีประโยชน์มาก
ข้อเสียก็ชัดเจนเช่นกัน ยิ่งสังเวยโลหิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสียแรงกายมากเท่านั้น ความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ก็ย่อมต้องลดลง
คำอธิบายง่ายๆ ก็คือ เมื่อสวี่ชีอันประมือกับจอมยุทธ์ในระดับเดียวกัน การสังเวยโลหิตอาจทำให้เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่จะยืนหยัดอยู่ได้ไม่นานเท่าคู่ต่อสู้
หากสวี่ชีอันเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งธรรมดา การสังเวยโลหิตจะไม่มีความหมาย เพราะเขาจะไม่สามารถสังหารจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันได้ แม้เขาจะ ‘สังเวยโลหิต’ แล้วก็ตาม
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ด้วยไพ่ตายและวิธีการที่หลากหลาย หากเขาเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะกำจัดจอมยุทธ์ระดับเดียวกันได้
ยกเว้นตัวตนพิเศษของเจียหลัวซู่
“ถ้าอยู่ในที่ราบลุ่มภาคกลาง ด้วยพรทั้งสองประการจากพลังแห่งเวไนยสัตว์และ ‘การสังเวยโลหิต’ เสริมด้วยวิธีการที่หลากหลาย ข้าคงเหมือนเสินซูที่สามารถทำลายพระโพธิสัตว์มัญชุศรีของเจียหลัวซู่และกำจัดเขาได้จริงๆ”
ขณะที่ความสามารถในการขยายความแข็งแกร่งและการฟื้นฟูลี่กู่ของสวี่ชีอันยังคงไร้สีสัน
หลังจากฉิงกู่เลื่อนขั้นเป็นเหนือมนุษย์แล้ว ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย
อย่างแรก ฉิงกู่มีวิธีการบำเพ็ญหลายวิธี ในตอนนี้ สวี่ชีอันหล่อเลี้ยงฉิงกู่ด้วยการดูดซับตัณหาจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบๆ ก่อนหน้านี้แม้เขาจะดูดซับพลังแห่งตัณหาได้ แต่เขาก็ทำได้เพียงกักเก็บและใช้มันเพื่อต่อต้านศัตรู ทว่า ไม่สามารถดูดซับให้ฉิงกู่ได้
ตราบเท่าที่เขายังคงอยู่ในหอนางโลมและสำนักสังคีต ฉิงกู่ย่อมสามารถดูดซับตัณหาของแขกและสาวๆ โดยรอบได้ทันทีและคราวละมากๆ
ประการที่สอง สตรีที่มีสัมพันธ์กับเขาเป็นเวลานานจะไม่สามารถแยกจากเขาไปได้ และจะมีอารมณ์ก็ต่อเมื่อเจอหน้าเขาเท่านั้น จึงไม่สนใจชายอื่นอีกต่อไป และไม่ได้จำกัดอยู่แค่สตรี ถ้าสวี่ชีอันชมชอบต่อสู้ด้วยดาบปลายปืน[1] ก็ย่อมมีผลกับเพศเดียวกันด้วย
นอกจากนั้น เขายังเชี่ยวชาญความสามารถที่เรียกว่า ‘เสน่ห์’ ซึ่งช่วยเพิ่มแรงดึงดูดใจต่อเพศตรงข้ามเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่เขาขมวดคิ้วหรือยิ้มแย้มก็สามารถดึงดูดใจผู้หญิงได้
หลวนอวี้หัวหน้าเผ่าฉิงกู่ก็เป็นโฉมงามน่าหลงใหลที่สามารถเกลี้ยกล่อมผู้ชายได้ตลอดเวลา
นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงข้างต้นแล้ว สวี่ชีอันยังสามารถระเบิดตัณหาของบุคคลเป้าหมายได้อีกด้วย เขาจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาจื่อกู่หรือยาเสน่ห์ เขาเพียงแค่สัมผัสร่างกายเท่านั้น ตราบใดที่อีกฝ่ายหนึ่งยังมีอารมณ์ความรู้สึกอยู่ก็ย่อมก่อเกิดตัณหาราคะได้
แน่นอนว่าความสามารถนี้เป็นแค่ทักษะเสริม แต่ยอดฝีมือทุกคนที่เลื่อนชั้นเป็นเหนือมนุษย์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลผู้มีเจตจำนงอันแรงกล้าและไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเข่าอ่อนหรือจมน้ำในฤดูใบไม้ผลิหรือเสาที่ค้ำยันท้องฟ้าหรือมีหัวโตเท่าถัง
แต่ภายใต้ตัณหาราคะนับครั้งไม่ถ้วน ยอดฝีมือเหนือมนุษย์ย่อมต้องจัดสรรพลังงานส่วนหนึ่งเพื่อต่อสู้กับตัณหา จึงทำให้กำลังรบอ่อนด้อยลง
ต้องบอกไว้ก่อนว่ามันไม่มีผลกระทบกับยอดฝีมือเหนือมนุษย์ของนิกายสวรรค์
บอกได้ว่า การลืมเสน่หาขั้นสูงสุดย่อมต้องเป็นการควบคุมอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกได้อย่างเด็ดขาด
ความสามารถของซินกู่ในระดับเหนือมนุษย์ที่มีเพิ่มขึ้นเรียกว่า ‘ความเห็นอกเห็นใจ’
สามารถเชื่อมโยงอารมณ์ของตนเองกับบุคคลเป้าหมายได้ หากจิตเดิมของตัวเองแข็งแกร่งกว่าบุคคลเป้าหมายก็สามารถกำจัดเจตจำนงในการต่อสู้ผ่านทางอารมณ์ของบุคคลผู้เป็นเป้าหมายได้ เช่น ‘การควบคุมความโกรธ’ และ ‘ความเมตตา’
สามารถชักจูงให้อีกฝ่ายฆ่าตัวตาย แทงข้างหลังเพื่อน หรือทำอย่างอื่น มีลูกเล่นมากมาย ขึ้นอยู่กับว่า ปรมาจารย์ซินกู่จะใช้มันอย่างไร
หากจิตเดิมของตนเองไม่แข็งแกร่งเท่าบุคคลเป้าหมายก็จะได้รับอิทธิพลจากอีกฝ่ายซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ตัวอย่างเช่น ในวันนั้นตอนที่หัวหน้าเผ่าปิดล้อมสวี่ชีอัน ฉุนเยียนใช้กระบวนท่านี้หลอกให้สวี่ชีอัน ‘เห็นอกเห็นใจ’ ฉิงกู่
เป็นผลให้ฉวยโอกาสพลาด ทั้งยังเสียเปรียบเสียเองอีก
แน่นอนว่านี่เป็นข้อเสีย แต่ข้อดีคือเมื่อเห็นอกเห็นใจคู่ต่อสู้ ไม่ว่าจิตเดิมจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่าอีกฝ่าย ตนเองกับคู่ต่อสู้ก็จะกลายเป็น ‘หนึ่งเดียวกัน’ และไม่มีใครจะโจมตีใส่ตนเอง ดังนั้น หัวใจของสถานะเห็นอกเห็นใจก็คือ ปรมาจารย์ซินกู่จะปลอดภัยอย่างแน่นอน
ในยามคับขัน ก็สามารถใช้เคล็ดวิชานี้เอาตัวรอดได้
ข้อจำกัดคือ ในยอดฝีมือระดับเดียวกัน ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ จะคงอยู่ได้เพียงยี่สิบวินาทีเท่านั้น
หากคู่ต่อสู้มีระดับสูงกว่าตัวเองหนึ่งขั้นก็จะคงอยู่ได้เพียงสิบวินาที หากสูงกว่าสองขั้นจะคงอยู่ได้เพียงห้าวินาทีและหากสูงกว่าสามขั้นก็จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
นั่นคือ สวี่ชีอันสามารถใช้ ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ ได้เพียงห้าวินาทีเท่านั้นเมื่อใช้เคล็ดวิชานี้จัดการกับขั้นหนึ่ง แต่จะไม่มีผลอะไรกับระดับขั้นสุดยอด
“เป็นความสามารถที่ทรงพลังมาก ข้าสามารถใช้ความเห็นอกเห็นใจกับยอดฝีมือขั้นหนึ่งเป็นเวลาถึงห้าวินาที”
สวี่ชีอันพอใจกับเรื่องนี้มาก
ระยะ ‘วิชากระโดดสู่เงา’ และจำนวนคนที่อั้นกู่แบกก็เพิ่มขึ้น ‘อำพราง’ ที่ปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งหมดของคู่ต่อสู้ และ ‘ร่างเงา’ ที่กลายเป็นเงาเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี ทักษะทั้งสองอย่างนี้ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน
ในหมู่พวกเขา ‘อำพราง’ สามารถส่งผลกระทบต่อยอดฝีมือในระดับเดียวกันได้ และเนื่องจากสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีทางกายภาพของร่างเงาได้ ‘ร่างเงา’ จึงถูกมองว่าอ่อนแอ ในที่สุดก็มีการพัฒนาเพิ่มความสามารถในการหลีกเลี่ยงการโจมตีด้วยธาตุ
แต่ไม่สามารถก้าวข้ามขั้นของตัวเองได้ ในช่วงเริ่มต้นขั้นสาม อาจหลบเลี่ยงการโจมตีของวิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นสามได้ แต่ไม่สามารถต้านทานผลลัพธ์ของขั้นสอง
และไม่สามารถหลีกเลี่ยงวรยุทธ์อย่างวิชาสาปสังหารหรือหยกสลายได้
ทักษะของอั้นกู่ หลังจากเลื่อนขั้นเป็นเหนือมนุษย์ เรียกว่า ‘ผู้ควบคุมร่างเงา’
มันคือการควบคุมพฤติกรรมของคู่ต่อสู้โดยการควบคุมเงาของบุคคลเป้าหมาย สำหรับยอดฝีมือในระดับเดียวกัน เวลาในการควบคุมคือสามวินาที และทุกครั้งที่สูงขึ้นหนึ่งขั้น เวลาจะลดลงหนึ่งวินาที
“เป็นการควบคุมที่แข็งแกร่งอีกวิธีและเหมาะกับการลอบสังหารมาก”
สวี่ชีอันแสดงความคิดเห็น
ตู๋กู่กับซือกู่ไม่มีทักษะใหม่ พวกเขาแค่เพิ่มความสามารถเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่า ไสยศาสตร์กู่ทั้งสองแบบนี้ไม่แข็งแกร่ง อย่างแรกคือตู๋กู่ ตอนนี้ แค่สวี่ชีอันถ่มน้ำลายออกมาก็สามารถวางยาพิษและสังหารผู้แข็งแกร่งที่ต่ำกว่าระดับเหนือมนุษย์ได้แล้ว
กินยาพิษคุณภาพสูงให้มากขึ้น หากสะสมพิษมากพอ ก็สามารถสังหารจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งระดับขั้นสามได้ด้วยยาพิษ
สำหรับซือกู่ สวี่ชีอันเชื่อเสมอว่าไสยศาสตร์กู่ประเภทนี้เป็นเคล็ดวิชาที่ให้ความสำคัญกับการสะสมและภูมิหลังมากที่สุดเมื่อเทียบกับหลายร้อยล้านชีวิตในจิ่วโจว ยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์นั้นหาได้ยากยิ่ง และอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคนในการสะสมศพเดินได้ระดับขั้นสาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง