ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 811

สรุปบท บทที่ 811 กินเนื้อ: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 811 กินเนื้อ – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 811 กินเนื้อ ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 811 กินเนื้อ

สวี่หยวนซวงไม่ได้กลัวสวี่หลิงเยวี่ย แม้มารดาจะเตือนนางว่าอย่าได้ไปยั่วยุลูกสาวคนโตของสะใภ้รองผู้นี้ แต่สวี่หยวนซวงคิดว่าต่อให้ยุแหย่แล้วจะอย่างไร พี่ใหญ่จะตำหนินางเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรือ

การปัดแข้งปัดขากันระหว่างหญิงสาว ขอเพียงรักษาเส้นเขตไว้ได้ ผู้ชายก็คร้านจะไปสนใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางกับลูกผู้น้องผู้นี้ไม่ใช่คนที่ชิงรักหักสวาทเพราะพิษรักแรงหึง จะต่อสู้ไปได้ถึงขั้นไหน

มารดาก็ระแวดระวังเกินไป กลัวว่าจะเกิดการขัดแย้งแล้วทำให้พี่ชายไม่สบายใจ

สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“พี่ใหญ่แต่งงาน แขกที่เชื้อเชิญหากไม่ใช่ขุนนางชั้นสูง ก็เป็นบุคคลผู้มีฝีมือยอดเยี่ยม ลายมือบนเทียบเชิญงดงามเกินไป จะเอาออกมาได้อย่างไร ฐานะของพี่ใหญ่อยู่เหนือกว่าผู้ใด ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่คนที่เป็นน้องสาวจะไม่รู้เรื่องด้วยหรือ”

สวี่หยวนซวงเพิ่งหยิบพู่กันขึ้นมาต้องชะงักไปทันที นางมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

นี่มัน จู่ๆ ก็รุกฆาตซะงั้น…สวี่ชีอันรีบมองไปทางมารดาผู้บังเกิดเกล้า ค้นพบว่านางมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ดูเหมือนจะไม่สนใจสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของบุตรสาว

นี่นางอยากให้ข้าคลี่คลายความอึดอัด…สวี่ชีอันก็ไม่อยากโต้เถียงกันเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ขณะที่ในใจปลงอนิจจังว่าในบ้านมีผู้หญิงมาก ละครก็ยิ่งน่าดูมากขึ้นนั้น เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อวานหลิงเยวี่ยถูกน้ำร้อนลวกจนเจ็บมือ จับพู่กันไม่สะดวก ส่วนป้ามู่ ดูเหมือนเมื่อคืนป้ามู่จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาก ไม่ต้องรบกวนนางแล้ว”

เขาขยิบตาให้มู่หนานจืออย่างลับๆ

เมื่อรู้ว่าเขาบ่งบอกถึงอะไร มู่หนานจือยังคงมีสีหน้าสงบ นางรักษารอยยิ้มอ่อนโยนแบบผู้อาวุโสไว้ และตรงใต้โต๊ะ เท้าที่สวมรองเท้าปักก็เตะสวี่ชีอันทันที

การคบกันของทั้งสองเป็นความลับมากๆ ต่อหน้าคนในครอบครัว สวี่ชีอันวางมาดเป็นผู้เยาว์ เมื่อพบเจอกับเทพบุปผาก็เรียก ‘ป้า’ อยู่ตลอด

นอกจากไม่อยากเห็นนางทำเรื่องหน้าอายต่อหน้าสาธารณชนแล้ว เขายังมีความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่จะให้เทพบุปผาอยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโส ในวันแต่งงาน เช่นนี้ต่อให้นางอยากจะก่อความวุ่นวายก็ไม่มีข้ออ้างแล้ว

ด้วยความรักเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรีของเทพบุปผา เป็นการยากที่จะทำเรื่องขายหน้าท่ามกลางสายตาสาธารณชน น่าจะระงับโทสะไว้ในใจแล้วค่อยคิดบัญชีกับเขาภายหลัง

แค่ภายนอกดูสงบสุข สวี่ชีอันก็ไม่กลัวว่านางจะทำตัวเป็นปีศาจในภายหลัง พอถึงตอนนั้นแค่แทงหอกแข็งเข้าไป ขาทั้งคู่และร่างกายของเทพบุปผาก็จะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปเอง

ไม่เหลือพลังรบอะไรทั้งสิ้น

“หยวนซวง เจ้าเขียนแทนข้าก่อนหนึ่งรอบ รอเอ้อร์หลางกลับมาค่อยให้เขาคัดลอกอีกรอบ”

สวี่หยวนซวงถือโอกาสวางมือแล้วยิ้มหวาน

อีกด้านหนึ่ง อาสะใภ้ก็ลากแขนเสี่ยวโต้วติงและผลักไปด้านหน้าจีไป๋ฉิงก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“พี่สะใภ้ใหญ่ นี่คือหลิงอินบุตรสาวตัวน้อยของข้า”

จีไป๋ฉิงพิจารณาใบหน้ากลมๆ ไร้เดียงสาของเสี่ยวโต้วติงอย่างละเอียด และกล่าวชมเชย

“ดูๆ แล้วก็ฉลาดหลักแหลมเหมือนกับหลิงเยวี่ย บุตรสาวที่เสี่ยวหรูให้กำเนิดดีหมดเลย ดีมาก!”

ฟู่…สวี่ชีอันเกือบจะหัวเราะออกมา ในใจเขาพูดว่า นี่มันยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวนี่ ทั้งเหน็บแนมทิ่มแทงหลิงเยวี่ย แก้แค้นให้กับหยวนซวง ทั้งยังทำให้อาสะใภ้ดีใจด้วย

สวี่หลิงเยวี่ยมีใบหน้าไร้ความรู้สึก น้อยมากที่นางจะเผยสีหน้าแบบนี้ออกมา

อาสะใภ้ดีใจมาก นางลูบศีรษะเสี่ยวโต้วติงด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“หลิงอินของข้าฉลาดตั้งแต่เด็ก รีบเรียกท่านป้าสิ”

พี่สะใภ้ใหญ่ช่างพูดจริงๆ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนแรกที่ชมว่าสวี่หลิงอินฉลาดหลักแหลม

“ท่านป้า!” เสี่ยวโต้วติงตะโกนออกมา

จากนั้นก็หันไปถามมารดาด้วยความฉงน

“ท่านป้าคืออะไรหรือ”

นางไม่เคยมีป้ามาก่อน จึงไม่รู้สถานะของ ‘ท่านป้า’

เดิมทีอาสะใภ้อยากบอกว่าท่านป้าก็คือภรรยาของท่านลุง แต่พอนึกถึงสวี่ผิงเฟิงนางก็รู้สึกเกลียดชัง จึงเปลี่ยนคำพูด

“ท่านป้าก็คือท่านแม่ของพี่ใหญ่”

สวี่หลิงอินตกใจจนอ้าปากค้าง

“ที่แท้ข้ามีท่านแม่สองคนนี่”

อาสะใภ้แทบจะเอามือปิดหน้า นางพยายามพูดกอบกู้สถานการณ์

“หลิงอินยังเด็ก นางคิดมาตลอดว่าต้าหลางเป็นพี่ชายแท้ๆ”

ในสายตาของสวี่หลิงอิน นางมีพี่ชายสองคนและพี่สาวหนึ่งคนมาโดยตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นเช่นนี้ บางทีก็สงสัยว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงเรียกบิดามารดาว่าอาสะใภ้กับอารอง

แต่นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

ทุกคนต่างก็มีสถานะที่แตกต่างกัน คำเรียกจึงไม่เหมือนกัน

‘ที่แท้ก็เป็นเด็กโง่เขลาคนหนึ่ง…’ สวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหวคิดเช่นนี้ในใจ

จีไป๋ฉิงยังคงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ไม่มีสีหน้าผิดปกติใดๆ และถือโอกาสพูดออกมา

“ควรก่อปัญญาให้นางได้แล้ว เอ้อร์หลางยุ่งอยู่กับงานราชการ ในบ้านก็ไม่มีอาจารย์ ทำไมไม่ให้หยวนซวงสอนนางอ่านหนังสือเรียนรู้ตัวอักษรล่ะ”

พูดจบนางก็ค้นพบว่าคนตระกูลสวี่จ้องมองตนเองด้วยสีหน้าแปลกๆ รวมทั้งสวี่ชีอันที่เป็นบุตรคนโตด้วย

“มีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ”

นางขมวดคิ้วกล่าว

อาสะใภ้หัวเราะแห้งๆ เผยสีหน้าลำบากใจ

“หลิงอินน่ะ อืม โง่เขลาไปหน่อย ล้มเลิกไปเถิด”

อาสะใภ้เป็นคนมีความเมตตากรุณา ไม่ทำลายคนในครอบครัวของตนเอง

แม้ปากจะบอกว่าหลิงอินฉลาดตั้งแต่เด็ก แต่ในใจรู้ดีว่าหลิงอินของตนเองอาจจะโง่เขลากว่าเด็กวัยเดียวกันเล็กน้อย

สวี่หยวนซวงเขียนเทียบเชิญไปพลาง กล่าวไปพลาง

“อาสะใภ้ ไม่ใช่ปัญหาอะไร แม้ข้าจะไม่ปราดเปรื่องเหมือนเอ้อร์หลาง แต่เรียนหนังสือมาตั้งแต่เล็ก การสอนหลิงอินไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร”

พูดถึงขนาดนี้แล้ว อาสะใภ้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้จึงได้แต่ตอบตกลงเท่านั้น

ในระหว่างกระบวนการทั้งหมด สวี่หลิงเยวี่ยไม่พูดอะไรสักคำ นางอาจไม่แสดงท่าที ‘เลวร้าย’ อะไรต่อหน้าพี่ใหญ่

อีกทั้งใครก็ตามที่ได้ยินว่าหลิงอินเป็นผู้ที่ก่อปัญญายาก ต่างก็คิดว่าตนเองสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นมหาราชครูหรืออาจารย์ในสำนัก รวมถึงหลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นต่างก็คิดเช่นนี้

สวี่หลิงเยวี่ยคิดว่าต่อให้ตนเองจะไม่กระพือลมให้ติดไฟ ลูกผู้พี่คนนี้ก็จะเหมือนกับคนอื่นๆ ดังที่คาดหมายเอาไว้

สวี่หยวนซวงพยักหน้าด้วยความพอใจจากนั้นก็ถามต่อ

“ได้ยินว่าหลิงอินเรียนไสยศาสตร์กู่กับแม่นางท่านนี้ที่ซินเจียงตอนใต้หรือ”

แม่นางที่ปากไม่เคยหยุดเลย

อาสะใภ้กล่าว

“ล้วนเป็นความคิดของต้าหลาง เขาบอกว่าหลิงอินไม่ชอบเรียนหนังสือ ทั้งยังไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ จึงได้แต่ส่งไปเรียนไสยศาสตร์กู่เท่านั้น”

จีไป๋ฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พรสวรรค์ด้อยไปหน่อยไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ความมุมานะบากบั่นสามารถชดเชยกันได้ สวี่ต้าหลางไม่มีเวลาสั่งสอนนางฝึกยุทธ์ มีเวลาว่างก็ให้หยวนไหวสอนนางได้ ดีเลวอย่างไรหยวนไหวก็เป็นยอดฝีมือขั้นห้า อย่าปล่อยให้พี่ชายที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้ต้องเสียเปล่า”

นางคิดว่าต้าหลางจะต้องไม่มีเวลาและอารมณ์ในการสอนเด็กคนหนึ่ง สวี่ผิงจื้อที่เป็นน้องรองก็เป็นเช่นนี้

ขณะนี้ ระดับสลายแรงขั้นห้าของหยวนไหวก็ส่งผลสะท้อนออกมาให้เห็นแล้ว

อีกทั้งไม่ว่าขั้นห้าจะอยู่ที่ไหนล้วนนับเป็นยอดฝีมือ ยอมฝึกยุทธ์ให้เด็กคนหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีเจตนาดีต่อหลิงอิน

ลี่น่ากล่าวออกมาตรงๆ

“เขาไม่มีคุณสมบัติในการสอนหลิงอิน”

คำพูดนี้ทำให้มารดาบังเกิดเกล้าถึงกับอึ้ง สีหน้าดูเก้อเขินเล็กน้อย

สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วกล่าว

“หยวนไหวคือขั้นห้า อีกทั้งยังอยู่ห่างจากขั้นสี่ไม่มากแล้ว เหตุใดจะไม่มีคุณสมบัติกัน”

อันดับแรกทางด้านราชสำนัก เชิญแค่แกนกลางไม่กี่คนของพรรคเว่ย เช่นฝ่ายตรวจการจางสิงอิง หลิวหงและคนอื่นๆ

พรรคหวางล่ะก็ อดีตสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินจะต้องเชิญอย่างแน่นอน แต่น่าจะส่งหวางซือมู่มาร่วมงานเลี้ยงสมรส ตัวเขาเองไม่เข้าร่วม

เจ้าพนักงานในที่ทำการปกครองต้องเชิญมากหน่อย ฆ้องทองคำเก้าท่าน และข้าราชการร่วมงานที่สนิท เช่นซ่งถิงฟง จูกว่างเสี้ยว หลี่อวี้ชุน เป็นต้น

ในนั้นพี่ชุนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ เขาบอกว่าในรัศมีสิบกว่าเมตร ต้องไม่มีการปรากฏตัวของจงหลี

ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องให้ตัวเอกอย่างเขาจัดการให้เรียบร้อย

ข้าราชการร่วมงานที่รู้จักกันตอนเป็นมือปราบที่อำเภอฉางเล่อก็ต้องเชิญ อย่าลืมกันแม้จะมีฐานะร่ำรวยและสูงส่งขนาดไหน นี่คือภาระหน้าที่อันพึงกระทำของมนุษย์

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองสามท่านในสำนักอวิ๋นลู่ และจ้าวโส่วที่เป็นเจ้าสำนักศึกษาก็ต้องเชิญ ที่ต้องระมัดระวังก็คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามในงานเลี้ยงสมรสห้ามแต่งบทกวีเด็ดขาด มิเช่นนั้นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองสามท่านก็จะต่อสู้กันโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว

คนสำนักโหราจารย์ไม่กี่ท่านก็ต้องเชิญ ต้องเตรียมโต๊ะส่วนตัวเล็กๆ ให้หยางเชียนฮ่วน ต้องหันหน้าเข้าหาผนังและหันหลังให้แขก

“ข้าต้องให้จงหลีอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา มิเช่นนั้นหากเกิดหายนะนองเลือดในงานแต่งคงไม่ดี เชิญศิษย์พี่ซุนแล้วก็ผู้พิทักษ์หยวนน่าจะตามมาด้วย ไม่ได้! ถ้ามันมางานแต่งก็ดำเนินต่อไม่ได้แล้ว หากซ่งชิงต้องการมาละก็ ข้าต้องบอกล่วงหน้าก่อนว่าไม่ต้องมอบของขวัญให้ ข้ากลัวว่าเขาจะยก ‘ร่างโคลนนิ่งลั่วอวี้เหิง’ มาด้วย สมาชิกพรรคฟ้าดินล้วนอยู่ในเมืองหลวง ไม่ขาดประชุมแน่นอน”

จากนั้นเป็นสหายในยุทธภพ คนที่เข้าตาเขาและสนิทสนมกันก็มีแค่คนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

“คนซินเจียงตอนใต้ก็ไม่เรียกแล้ว เพิ่งนอนกับหลวนอวี้ไป หากนางมาด้วยล่ะก็จบเห่กันพอดี อีกอย่างข้ากลัวว่าหลงถูจะพาคนทั้งเผ่ามากินงานเลี้ยง…เฮ้อ นี่มันคนจำพวกไหนกัน!”

สวี่ชีอันนวดระหว่างคิ้ว

‘แกร๊ก…’

ประตูห้องถูกผลักออก มู่หนานจือมีสีหน้าเยือกเย็น ในมือถือพุทราเชื่อมจำนวนหนึ่ง นางกินไปพลางเผยรอยยิ้มเยือกเย็นไปพลาง

“ฮ้า! เทียบเชิญของฆ้องเงินสวี่ยังเขียนไม่เสร็จเลย ให้ป้ามู่ช่วยเขียนให้หรือไม่”

“ดีเลย ดีเลย!” สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“กำลังค้างชุดหนึ่งพอดี อืม ข้ายังต้องเชิญมู่หนานจือพระชายาอ๋องสยบแดนเหนือมาดื่มเหล้ามงคลในจวนด้วย”

มู่หนานจือ ‘จ้องตาเขียวปัด’ กล่าว

“ข้าจะเปิดเผยพฤติกรรมชั่วร้ายของคนบ้ากามอย่างเจ้าต่อหน้าแขก บอกว่าเจ้าทำให้ข้าด่างพร้อย ครอบงำข้า ไอ้คนหน้าไม่อาย”

สวี่ชีอันทำสีหน้าไร้เดียงสา

“ป้ามู่ ทำไมท่านถึงทำตัวอันธพาลล่ะ มีมาดของผู้อาวุโสหน่อยได้หรือไม่”

มู่หนานจือโมโหมาก นางแยกเขี้ยวยิงฟันคว้าไปที่หน้าของเขา

แต่ถูกมือทั้งสองของสวี่ชีอันบิดไปด้านหลัง และกดไว้บนโต๊ะ

หยอกล้อกันอยู่ดีๆ โต๊ะหนังสือก็สั่นไหวและส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

ในลานบ้าน สวี่หลิงอินกับลี่น่านั่งลิ้มรสขนมอบอยู่ข้างโต๊ะหิน

“อาจารย์ ข้าอยากกินเนื้อ”

สวี่หลิงอินพูดออดอ้อนในขณะที่ขนมเต็มปาก “ท่านช่วยไปหาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”

ลี่น่าเองก็ขนมเต็มปาก และมองนางทีหนึ่ง

“เจ้าจะถือโอกาสที่ข้าไปหาเนื้อ แอบเขมือบขนมอบเหล่านี้คนเดียวล่ะสิ”

สวี่หลิงอินมองดูลี่น่าด้วยความหวาดกลัวอยู่พักหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าความคิดของตนเองจะถูกอาจารย์มองออก อาจารย์ช่างเก่งกาจเสียจริง

ลี่น่าบ่นพึมพำ

“ข้าก็อยากกินเนื้อ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอาหารเที่ยงนะ หากอยู่ซินเจียนตอนใต้ก็ดีสิ อาจารย์จะพาเจ้าออกไปล่าสัตว์”

สองศิษย์อาจารย์ทอดถอนใจพร้อมกัน ขณะนี้มีเสียงดัง ‘แกรกๆ’ มาจากแปลงปลูกดอกไม้ จากนั้นไม่นานลูกจิ้งจอกน้อยน่ารักตัวหนึ่งก็มุดออกมา

ดวงตาทั้งหกจ้องประสานกัน

………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง