บทที่ 811 กินเนื้อ
สวี่หยวนซวงไม่ได้กลัวสวี่หลิงเยวี่ย แม้มารดาจะเตือนนางว่าอย่าได้ไปยั่วยุลูกสาวคนโตของสะใภ้รองผู้นี้ แต่สวี่หยวนซวงคิดว่าต่อให้ยุแหย่แล้วจะอย่างไร พี่ใหญ่จะตำหนินางเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรือ
การปัดแข้งปัดขากันระหว่างหญิงสาว ขอเพียงรักษาเส้นเขตไว้ได้ ผู้ชายก็คร้านจะไปสนใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางกับลูกผู้น้องผู้นี้ไม่ใช่คนที่ชิงรักหักสวาทเพราะพิษรักแรงหึง จะต่อสู้ไปได้ถึงขั้นไหน
มารดาก็ระแวดระวังเกินไป กลัวว่าจะเกิดการขัดแย้งแล้วทำให้พี่ชายไม่สบายใจ
สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“พี่ใหญ่แต่งงาน แขกที่เชื้อเชิญหากไม่ใช่ขุนนางชั้นสูง ก็เป็นบุคคลผู้มีฝีมือยอดเยี่ยม ลายมือบนเทียบเชิญงดงามเกินไป จะเอาออกมาได้อย่างไร ฐานะของพี่ใหญ่อยู่เหนือกว่าผู้ใด ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่คนที่เป็นน้องสาวจะไม่รู้เรื่องด้วยหรือ”
สวี่หยวนซวงเพิ่งหยิบพู่กันขึ้นมาต้องชะงักไปทันที นางมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นี่มัน จู่ๆ ก็รุกฆาตซะงั้น…สวี่ชีอันรีบมองไปทางมารดาผู้บังเกิดเกล้า ค้นพบว่านางมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ดูเหมือนจะไม่สนใจสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของบุตรสาว
นี่นางอยากให้ข้าคลี่คลายความอึดอัด…สวี่ชีอันก็ไม่อยากโต้เถียงกันเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ขณะที่ในใจปลงอนิจจังว่าในบ้านมีผู้หญิงมาก ละครก็ยิ่งน่าดูมากขึ้นนั้น เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อวานหลิงเยวี่ยถูกน้ำร้อนลวกจนเจ็บมือ จับพู่กันไม่สะดวก ส่วนป้ามู่ ดูเหมือนเมื่อคืนป้ามู่จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาก ไม่ต้องรบกวนนางแล้ว”
เขาขยิบตาให้มู่หนานจืออย่างลับๆ
เมื่อรู้ว่าเขาบ่งบอกถึงอะไร มู่หนานจือยังคงมีสีหน้าสงบ นางรักษารอยยิ้มอ่อนโยนแบบผู้อาวุโสไว้ และตรงใต้โต๊ะ เท้าที่สวมรองเท้าปักก็เตะสวี่ชีอันทันที
การคบกันของทั้งสองเป็นความลับมากๆ ต่อหน้าคนในครอบครัว สวี่ชีอันวางมาดเป็นผู้เยาว์ เมื่อพบเจอกับเทพบุปผาก็เรียก ‘ป้า’ อยู่ตลอด
นอกจากไม่อยากเห็นนางทำเรื่องหน้าอายต่อหน้าสาธารณชนแล้ว เขายังมีความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่จะให้เทพบุปผาอยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโส ในวันแต่งงาน เช่นนี้ต่อให้นางอยากจะก่อความวุ่นวายก็ไม่มีข้ออ้างแล้ว
ด้วยความรักเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรีของเทพบุปผา เป็นการยากที่จะทำเรื่องขายหน้าท่ามกลางสายตาสาธารณชน น่าจะระงับโทสะไว้ในใจแล้วค่อยคิดบัญชีกับเขาภายหลัง
แค่ภายนอกดูสงบสุข สวี่ชีอันก็ไม่กลัวว่านางจะทำตัวเป็นปีศาจในภายหลัง พอถึงตอนนั้นแค่แทงหอกแข็งเข้าไป ขาทั้งคู่และร่างกายของเทพบุปผาก็จะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปเอง
ไม่เหลือพลังรบอะไรทั้งสิ้น
“หยวนซวง เจ้าเขียนแทนข้าก่อนหนึ่งรอบ รอเอ้อร์หลางกลับมาค่อยให้เขาคัดลอกอีกรอบ”
สวี่หยวนซวงถือโอกาสวางมือแล้วยิ้มหวาน
อีกด้านหนึ่ง อาสะใภ้ก็ลากแขนเสี่ยวโต้วติงและผลักไปด้านหน้าจีไป๋ฉิงก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“พี่สะใภ้ใหญ่ นี่คือหลิงอินบุตรสาวตัวน้อยของข้า”
จีไป๋ฉิงพิจารณาใบหน้ากลมๆ ไร้เดียงสาของเสี่ยวโต้วติงอย่างละเอียด และกล่าวชมเชย
“ดูๆ แล้วก็ฉลาดหลักแหลมเหมือนกับหลิงเยวี่ย บุตรสาวที่เสี่ยวหรูให้กำเนิดดีหมดเลย ดีมาก!”
ฟู่…สวี่ชีอันเกือบจะหัวเราะออกมา ในใจเขาพูดว่า นี่มันยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวนี่ ทั้งเหน็บแนมทิ่มแทงหลิงเยวี่ย แก้แค้นให้กับหยวนซวง ทั้งยังทำให้อาสะใภ้ดีใจด้วย
สวี่หลิงเยวี่ยมีใบหน้าไร้ความรู้สึก น้อยมากที่นางจะเผยสีหน้าแบบนี้ออกมา
อาสะใภ้ดีใจมาก นางลูบศีรษะเสี่ยวโต้วติงด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“หลิงอินของข้าฉลาดตั้งแต่เด็ก รีบเรียกท่านป้าสิ”
พี่สะใภ้ใหญ่ช่างพูดจริงๆ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนแรกที่ชมว่าสวี่หลิงอินฉลาดหลักแหลม
“ท่านป้า!” เสี่ยวโต้วติงตะโกนออกมา
จากนั้นก็หันไปถามมารดาด้วยความฉงน
“ท่านป้าคืออะไรหรือ”
นางไม่เคยมีป้ามาก่อน จึงไม่รู้สถานะของ ‘ท่านป้า’
เดิมทีอาสะใภ้อยากบอกว่าท่านป้าก็คือภรรยาของท่านลุง แต่พอนึกถึงสวี่ผิงเฟิงนางก็รู้สึกเกลียดชัง จึงเปลี่ยนคำพูด
“ท่านป้าก็คือท่านแม่ของพี่ใหญ่”
สวี่หลิงอินตกใจจนอ้าปากค้าง
“ที่แท้ข้ามีท่านแม่สองคนนี่”
อาสะใภ้แทบจะเอามือปิดหน้า นางพยายามพูดกอบกู้สถานการณ์
“หลิงอินยังเด็ก นางคิดมาตลอดว่าต้าหลางเป็นพี่ชายแท้ๆ”
ในสายตาของสวี่หลิงอิน นางมีพี่ชายสองคนและพี่สาวหนึ่งคนมาโดยตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นเช่นนี้ บางทีก็สงสัยว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงเรียกบิดามารดาว่าอาสะใภ้กับอารอง
แต่นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ทุกคนต่างก็มีสถานะที่แตกต่างกัน คำเรียกจึงไม่เหมือนกัน
‘ที่แท้ก็เป็นเด็กโง่เขลาคนหนึ่ง…’ สวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหวคิดเช่นนี้ในใจ
จีไป๋ฉิงยังคงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ไม่มีสีหน้าผิดปกติใดๆ และถือโอกาสพูดออกมา
“ควรก่อปัญญาให้นางได้แล้ว เอ้อร์หลางยุ่งอยู่กับงานราชการ ในบ้านก็ไม่มีอาจารย์ ทำไมไม่ให้หยวนซวงสอนนางอ่านหนังสือเรียนรู้ตัวอักษรล่ะ”
พูดจบนางก็ค้นพบว่าคนตระกูลสวี่จ้องมองตนเองด้วยสีหน้าแปลกๆ รวมทั้งสวี่ชีอันที่เป็นบุตรคนโตด้วย
“มีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ”
นางขมวดคิ้วกล่าว
อาสะใภ้หัวเราะแห้งๆ เผยสีหน้าลำบากใจ
“หลิงอินน่ะ อืม โง่เขลาไปหน่อย ล้มเลิกไปเถิด”
อาสะใภ้เป็นคนมีความเมตตากรุณา ไม่ทำลายคนในครอบครัวของตนเอง
แม้ปากจะบอกว่าหลิงอินฉลาดตั้งแต่เด็ก แต่ในใจรู้ดีว่าหลิงอินของตนเองอาจจะโง่เขลากว่าเด็กวัยเดียวกันเล็กน้อย
สวี่หยวนซวงเขียนเทียบเชิญไปพลาง กล่าวไปพลาง
“อาสะใภ้ ไม่ใช่ปัญหาอะไร แม้ข้าจะไม่ปราดเปรื่องเหมือนเอ้อร์หลาง แต่เรียนหนังสือมาตั้งแต่เล็ก การสอนหลิงอินไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว อาสะใภ้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้จึงได้แต่ตอบตกลงเท่านั้น
ในระหว่างกระบวนการทั้งหมด สวี่หลิงเยวี่ยไม่พูดอะไรสักคำ นางอาจไม่แสดงท่าที ‘เลวร้าย’ อะไรต่อหน้าพี่ใหญ่
อีกทั้งใครก็ตามที่ได้ยินว่าหลิงอินเป็นผู้ที่ก่อปัญญายาก ต่างก็คิดว่าตนเองสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นมหาราชครูหรืออาจารย์ในสำนัก รวมถึงหลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นต่างก็คิดเช่นนี้
สวี่หลิงเยวี่ยคิดว่าต่อให้ตนเองจะไม่กระพือลมให้ติดไฟ ลูกผู้พี่คนนี้ก็จะเหมือนกับคนอื่นๆ ดังที่คาดหมายเอาไว้
สวี่หยวนซวงพยักหน้าด้วยความพอใจจากนั้นก็ถามต่อ
“ได้ยินว่าหลิงอินเรียนไสยศาสตร์กู่กับแม่นางท่านนี้ที่ซินเจียงตอนใต้หรือ”
แม่นางที่ปากไม่เคยหยุดเลย
อาสะใภ้กล่าว
“ล้วนเป็นความคิดของต้าหลาง เขาบอกว่าหลิงอินไม่ชอบเรียนหนังสือ ทั้งยังไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ จึงได้แต่ส่งไปเรียนไสยศาสตร์กู่เท่านั้น”
จีไป๋ฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พรสวรรค์ด้อยไปหน่อยไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ความมุมานะบากบั่นสามารถชดเชยกันได้ สวี่ต้าหลางไม่มีเวลาสั่งสอนนางฝึกยุทธ์ มีเวลาว่างก็ให้หยวนไหวสอนนางได้ ดีเลวอย่างไรหยวนไหวก็เป็นยอดฝีมือขั้นห้า อย่าปล่อยให้พี่ชายที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้ต้องเสียเปล่า”
นางคิดว่าต้าหลางจะต้องไม่มีเวลาและอารมณ์ในการสอนเด็กคนหนึ่ง สวี่ผิงจื้อที่เป็นน้องรองก็เป็นเช่นนี้
ขณะนี้ ระดับสลายแรงขั้นห้าของหยวนไหวก็ส่งผลสะท้อนออกมาให้เห็นแล้ว
อีกทั้งไม่ว่าขั้นห้าจะอยู่ที่ไหนล้วนนับเป็นยอดฝีมือ ยอมฝึกยุทธ์ให้เด็กคนหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีเจตนาดีต่อหลิงอิน
ลี่น่ากล่าวออกมาตรงๆ
“เขาไม่มีคุณสมบัติในการสอนหลิงอิน”
คำพูดนี้ทำให้มารดาบังเกิดเกล้าถึงกับอึ้ง สีหน้าดูเก้อเขินเล็กน้อย
สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วกล่าว
“หยวนไหวคือขั้นห้า อีกทั้งยังอยู่ห่างจากขั้นสี่ไม่มากแล้ว เหตุใดจะไม่มีคุณสมบัติกัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง