ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 812

บทที่ 812 งานแต่งงานครั้งใหญ่

“เจ้าเหยียบดอกไม้เสียหายแล้ว”

สวี่หลิงอินชี้ไปที่จิ้งจอกน้อยแล้วพูดเสียงดัง

ไป๋จีเอนหัวมองดูนางและตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนเด็กสาว

“ไม่ได้เหยียบ ข้าเล่นแบบนี้มาโดยตลอด”

“เจ้าเหยียบมันเสียหายแล้ว” สวี่หลิงอินเลิกคิ้วบางๆ ขึ้น น้ำเสียงและท่าทางของนางดูเคร่งขรึมและสุภาพเรียบร้อยราวกับเรื่องนี้สำคัญมาก

“ข้าไม่ได้เหยียบเสียหาย” ไป๋จีโต้แย้งด้วยน้ำเสียงสดใสไพเราะ

เด็กมนุษย์กับลูกจิ้งจอกน้อยโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง สวี่หลิงอินก้าวขาสั้นๆ พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว รวดเร็วจนตาเนื้อของมนุษย์ธรรมดามองเห็นไม่ชัดเจน ทั้งหมดนี้ล้วนอาศัยพลังระเบิดของกล้ามเนื้อ

ทว่าไป๋จีไวกว่า มันกลายร่างเป็นเงาสีขาวแฉลบหลบการโจมตีของนางมาปรากฏตัวอยู่ทางด้านขวา และจ้องมองนางอย่างระแวดระวัง

“เจ้าทำอะไร!” ไป๋จีถามเสียงดัง

เสี่ยวโต้วติงไม่สนใจ นางกระโจนใส่อีกครั้ง

หนึ่งมนุษย์หนึ่งจิ้งจอกไล่และหลบหนีกันอยู่ในลานบ้าน สวี่หลิงอินวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ‘ตึง ตึงๆ’ แผ่นหินสีดำที่ปูอยู่ในลานบ้านถูกเหยียบจนแตก ไป๋จีก็กลายเป็นแสงสีขาวที่รวดเร็ว บางครั้งก็ไปทางซ้าย บางครั้งก็วิ่งอุตลุดไปทางขวา

ชั่วประเดี๋ยวเดียว เสี่ยวโต้วติงก็รู้ว่าตนเองไม่อาจจับไป๋จีได้ จึงกระวนกระวายใจมาก

ตอนที่นางออกล่าสัตว์กับคนเผ่าลี่กู่ที่ซินเจียงตอนใต้นั้น ใช่ว่าจะไม่พบเจอสัตว์ที่ว่องไวปราดเปรียว แต่คนเผ่าลี่กู่ล้วนใช้ธนูยิงสังหาร ไม่ต้องไล่ล่าเลย

ตอนนี้ไม่มีธนูอยู่ข้างกาย และนางก็ใช้ไม่เป็นด้วย

“ไม่เล่นแล้ว!” สวี่หลิงอินหยุดและกล่าวด้วยสีหน้าประจบประแจง

“เจ้ามานี่ ข้าพาเจ้าไปกินเนื้อ”

ไป๋จีหยุดจริงๆ ด้วย ลิ้นสีชมพูเล็กๆ เลียริมฝีปากและพูดด้วยน้ำเสียงน่ารัก

“กินเนื้ออะไร”

สวี่หลิงอินกางแขนทั้งสองออกทำท่าประกอบซี้ซั้ว

“เป็นเนื้อที่อร่อยมากๆ เจ้ามาก็จะรู้เอง”

ในระหว่างที่พูดนางก็เผยรอยยิ้มประจบ

ไป๋จีก็เป็นสัตว์จอมตะกละ พอได้ยินว่ามีเนื้อให้กินก็เชื่อเสี่ยวโต้วติงแล้ว มันวิ่งเข้ามาด้วยความเบิกบานใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงน่ารัก

“กินเนื้อ กินเนื้อ…”

สวี่หลิงอินที่ฉลาดเฉียบแหลมและกล้าหาญกระโจนเข้าไปกดมันไว้

“จับเจ้าได้แล้ว!”

ภายในห้อง มู่หนานจือที่หมอบอยู่บนโต๊ะเงยหน้ามองไปนอกประตู และขมวดคิ้วกล่าว

“ดูเหมือนข้าจะได้ยินเสียงร้องไห้ของไป๋จี!”

เสียงดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ หยุดลง มือทั้งสองของสวี่ชีอันจับเอวเล็กของมู่หนานจืออยู่ เขามองไปนอกหน้าต่างเช่นกันและกล่าวว่า

“ข้าก็ได้ยินเหมือนกัน”

“ลุกขึ้น ลุกขึ้น!” มู่หนานจือยื่นมือไปด้านหลังและผลักสวี่ชีอันทีหนึ่ง

นางเอาใจใส่ไป๋จีมาก ราวกับเลี้ยงลูกของตนเอง

สวี่ชีอันถอยออกไป

มู่หนานจือรีบวางกระโปรงลง นางก้มลงดึงกางแกงผ้าแพรขึ้น หลังจากจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วก็รีบออกไปจากห้อง

สวี่ชีอันตามอยู่ด้านหลัง ทั้งสองออกจากห้องเดินไปตามเสียงไม่กี่ก้าวก็เห็นสวี่หลิงอินกับลี่น่าสองศิษย์อาจารย์

ไหล่เล็กๆ ของสวี่หลิงอินมีกระบองไม้วางอยู่ ไป๋จีถูกมัดไว้ตรงปลายกระบองไม้ มันดิ้นรนไปพลางร้องไห้ไปพลาง

“ปล่อยข้า ปล่อยข้า งือ งือๆ…”

สองศิษย์อาจารย์กำลังเดินไปทางห้องครัว

“ทำอะไรน่ะ!”

มู่หนานจือตกใจจนหน้าถอดสี นางยกชายกระโปรงวิ่งเข้าไปช่วยไป๋จีลงมา

“พวกเราต้องการกินเนื้อ”

สวี่หลิงอินมองดูป้ามู่แก้มัดให้ไป๋จีอย่างเสียดาย

…สวี่ชีอันตบหลังมือใส่นางอย่างรุนแรง และพูดตำหนิ

“ตอนอยู่ซินเจียงตอนใต้ข้าเคยบอกเจ้าว่าอย่างไร”

สวี่หลิงอินถูกตีจนเอามือทั้งสองกุมศีรษะ แต่ก็ใจสู้ นางกล่าวด้วยเหตุผลที่ถูกต้องและวาทะที่เต็มไปด้วยสัจธรรม

“พี่ใหญ่บอกว่า เหยียบดอกไม้เสียหายก็ต้องนำมาย่างกินเนื้อ มันทำดอกไม้ที่ท่านแม่ปลูกเสียหาย”

ลี่น่าที่อยู่ข้างๆ ก็แสดงท่าทีเห็นด้วย ในที่สุดศิษย์โง่เขลาก็เริ่มมีความคิดความอ่าน เมื่อครู่โยนความผิดให้กับไป๋จี รู้ว่าก่อนกินจิ้งจอกต้องกำหนดโทษฐานการกระทำผิดไว้ก่อน เช่นนี้ก็หนีความผิดไม่พ้นแล้ว

สวี่ชีอันหันไปถามไป๋จีเกี่ยวกับเรื่องราวในเมื่อครู่ ไป๋จีร้องไห้กระซิกๆ และเล่าเรื่องราวไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ฟ้อง

“ข้าเล่นของข้าอยู่ดีๆ พวกนางเห็นข้าก็จับข้า และยังหลอกข้าด้วย งือ งือๆ …”

ข้าควรบอกว่าพอเกี่ยวพันกับเรื่องอาหารไอคิวของสวี่หลิงอินก็พุ่งพรวด หรือควรปลงอนิจจังว่าในที่สุดคนที่มีไอคิวต่ำสุดในบ้านก็ปรากฏตัวแล้ว…สวี่ชีอันกระซิบในใจ เขาใช้นิ้วชี้สะกิดหน้าผากสวี่หลิงอินและกล่าวด้วยความโมโห

“อีกประเดี๋ยวค่อยสั่งสอนเจ้า”

จากนั้นก็หันไปจ้องลี่น่า

“หลิงอินไม่รู้เรื่อง เจ้าก็ไม่รู้ด้วยหรือ”

ลี่น่าแลบลิ้นออกมา

“เล่นๆ น่า ขู่จิ้งจอกน้อยสักหน่อย อีกเดี๋ยวพอเข้าห้องครัวแล้ว ข้าก็จะช่วยมันลงมาเอง”

สวี่หลิงอินตกใจมาก เพิ่งเข้าใจเจตนาชั่วร้ายของอาจารย์ ดังนั้นจึงมองลี่น่าด้วยสายตาทรยศ

ประจักษ์ชัดแจ้งว่าหลิงอินไม่ได้เห็นไป๋จีเป็นเพื่อนเล่นหรือสหาย หมกมุ่นจะกินมันอย่างเดียว ต้องเปลี่ยนแปลงแนวคิดนี้…แม้ว่าในบ้านที่มี ‘เด็ก’ มากไป มักจะก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่เอะอะก็จะย่างกิน มันไม่ได้…สวี่ชีอันถอนหายใจ และลากสวี่หลิงอินเดินไปข้างนอก

“ตามข้ามา!”

เขาลากสวี่หลิงอินเข้ามาในลานบ้าน พอกวักมือ หน้าต่างห้องปีกด้านตะวันออกก็เปิดออก ดอกไม้ที่อาสะใภ้ชอบที่สุดกระถางหนึ่งลอยออกมา

สวี่ชีอันนำกระถางดอกไม้วางไว้บนหัวสวี่หลิงอินและกล่าวว่า

“ยืนหนึ่งชั่วยาม หากดอกไม้บนศีรษะตกลงแตก ห้ามกินเนื้อเป็นเวลาสามวัน”

“อื้อ!”

สวี่หลิงอินถูกทำโทษให้ยืนตรง

หลังจากตักเตือนเสี่ยวโต้วติงไม่ให้มีความคิดที่จะกินจิ้งจอกแล้ว สวี่ชีอันก็เห็นขันทีในชุดปักลายงูเหลือมท่านหนึ่งพาทหารรักษาพระองค์ขบวนหนึ่งเข้ามาในจวน

ขันทีชุดปักลายงูเหลือมมาปูนบำเหน็จรางวัล ตามประเพณีนิยม พระสวามีขององค์หญิงต้องแต่งตั้งเป็น ‘ราชบุตรเขยผู้บัญชาการทหารม้า’ เดิมทีราชบุตรเขยผู้บัญชาการทหารม้าเป็นตำแหน่งขุนนาง ต่อมาค่อยๆ กลายเป็นตำแหน่งขุนนางขั้นพื้นฐานของลูกเขยจักรพรรดิ ด้วยเหตุนี้พระสวามีขององค์หญิงก็เลยมีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า ‘ราชบุตรเขย’

นอกจากบรรดาศักดิ์แล้ว จักรพรรดิยังต้องพระราชทานเข็มขัดหยกราชบุตรเขย เสื้อผ้า อานม้าเงิน ผ้าหลากสีร้อยพับ และเงินทองกับคฤหาสน์บ้านพัก เป็นต้น

สิ่งของเหล่านี้ เดิมทีควรพระราชทานให้นานแล้ว แต่วันหนึ่งๆ จักรพรรดินีต้องจัดการเรื่องราวเป็นหมื่นๆ เรื่อง ไม่มีเวลาจริงๆ เลยต้องเลื่อนมาจนถึงตอนนี้

หลังจากปูนบำเหน็จรางวัลแล้ว ขันทีก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้าน้อยอวยพรล่วงหน้าให้ฆ้องเงินสวี่มีความสุขกับการแต่งงาน รักกันยืนยาว”

สวี่ชีอันตกรางวัลให้ขันทีและทหารรักษาพระองค์คนละยี่สิบตำลึงเงินตามประเพณี

วันแต่งงานใกล้เข้ามาถึง จวนตระกูลสวี่ยุ่งวุ่นวาย อาสะใภ้ที่รับผิดชอบควบคุมฝ่ายในยุ่งจนหัวร้างข้างแตก แอบบ่นในภายหลังไม่น้อยว่าคนเป็นแม่ว่าง แต่ข้าที่เป็นอาสะใภ้กลับเหนื่อยมาก

เพื่อแบ่งเบาแรงกดดันของอาสะใภ้ สวี่ชีอันเรียกเหมียวโหย่วฟางกลับมาใช้งาน ส่วนตนเองก็เจียดเวลาทำความเข้าใจกระบวนการแต่งงานให้ถี่ถ้วนแล้วดำเนินการต่อไป

ตั้งแต่โบราณนานมา การแต่งงานคือเรื่องใหญ่ของมนุษย์ ดังนั้นกระบวนการจึงหยุมหยิมและยุ่งยาก

ตั้งแต่การขอแต่งงานจนถึงการแต่งงาน มีหกพิการที่ต้องปฏิบัติ หนึ่งการสู่ขอ สองขอวันเดือนปีเกิด สามการเสี่ยงทาย สี่มอบสินสอดรับของไหว้ ห้าขอฤกษ์ หกส่งเกี้ยวไปรับเจ้าสาว

พิธีการห้าขั้นแรกดำเนินการเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ ‘ส่งเกี้ยวไปรับเจ้าสาว’ เท่านั้น

บนโต๊ะอาหารในคืนนี้ หลงจากอารองสวี่ชนแก้วกับหลานแล้วก็พูดหยั่งเชิง

“ตอนพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ให้อาสะใภ้ของเจ้าสละที่นั่งให้พี่สะใภ้ใหญ่หรือไม่”

อาสะใภ้ขอบตาแดงก่ำขึ้นมาทันที นางจ้องมองสามีด้วยอารมณ์เดือดพล่าน

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”

อารองสวี่กล่าว

“ตั้งแต่โบราณมา เรื่องใหญ่อย่างการแต่งการ หากพ่อแม่ยังอยู่ต้องนั่งตำแหน่งบิดามารดา อย่างไรเสียพี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของหนิงเยี่ยน นางนั่งอยู่ข้างๆ แล้วเจ้านั่งอยู่ที่นั่น แขกมองดูเยอะขนาดนั้น หากเล่าลือออกไปละก็จะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของหนิงเยี่ยน วันนี้ขุนนางจากกรมพิธีการพูดคุยเรื่องนี้กับข้า”

อาสะใภ้พูดเสียงสูง

“ข้าเป็นคนเลี้ยงหนิงเยี่ยนโตมา”

สวี่เอ้อร์หลางค่อยๆ เคี้ยวและกลืนกับข้าว เขาโพล่งออกมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง