บทที่ 819 ประตูสู่โลกใหม่
ทำต่อไป?
หลี่หลิงซู่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความตกตะลึง และหันไปมองหยางเชียนฮ่วนที่อยู่ด้านข้าง
หยางเชียนฮ่วนก็มองมาที่หลี่หลิงซู่ผ่านม่านผืนใหญ่เช่นกัน
เป้าหมายของพวกเขาคือการทำให้สวี่หนิงเยี่ยนกลายเป็นตัวตลกในสายตาของทุกคน แต่ตอนนี้ทุกคนล้วนจากไปหมดแล้ว จะมีความหมายอะไรที่จะสร้างประเด็นต่อไป?
ผลลัพธ์เดียวจากการทำต่อไปก็คือศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองจะต้องทนทุกข์ทรมานกับการแก้แค้นของสวี่หนิงเยี่ยน ตายก็ยังไม่รู้ว่าจะตายอย่างไร
หลี่หลิงซู่ไอกระแอมในลำคอและกล่าวว่า “หนิงเยี่ยน นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าและศิษย์พี่หยางจะกลับก่อน ไม่รบกวนการเข้าหอคืนแรกของเจ้าและเจ้าสาวแล้วกัน”
หยางเชียนฮ่วนอ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่ยอมจำนน แต่ศิษย์พี่หยางเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีและหน้าบางมาก ไม่ยืดหยุ่นตามสถานการณ์เหมือนเทพบุตร ด้วยเหตุนี้จึงตอบรับ ‘อืม’ เสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ จากนั้นแสงสว่างใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ปรากฏขึ้นและกำลังจะจากไปด้วยค่ายส่งตัว
แต่ในเวลานี้เอง เขาก็เริ่มเวียนศีรษะ ร่างกายอ่อนระทวย วิชาส่งตัวถูกขัดจังหวะและยังคงอยู่ ณ สถานที่เดิม
เขาถูกตู๋กู่ทำให้เป็นอัมพาตเสียแล้ว กล้ามเนื้อและเส้นลมปราณไม่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้อีกต่อไป
“อย่าเพิ่งรีบไป ข้าจะไปส่งพวกท่านทั้งสองเอง!”
สวี่ชีอันยืนขึ้นพร้อมกับยิ้มเยาะ
‘แย่แล้ว’…หลี่หลิงซู่ฉวยโอกาสตัดสินใจละทิ้งกายเนื้อ ถอดเทพเจ้าหยินจากไปอย่างฉับพลัน
สวี่ชีอันผิวปากเบาๆ เทพเจ้าหยินของเทพบุตรก็แข็งทื่ออยู่กลางอากาศและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย
ซินกู่!
จิตใจของหยางเชียนฮ่วนและหลี่หลิงซู่จมดิ่งลงอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรก็พูดกันดีๆ มีอะไรก็พูดกันดีๆ เถอะ…” เทพเจ้าหยินของหลี่หลิงซู่กลับมาที่กายเนื้อ เขาทั้งเดินถอยหลังพร้อมๆ กับยอมจำนน
“ฮึ่ย พี่หลี่ แพ้เป็นเจ้าชนะเป็นโจร ไม่จำเป็นต้องกลัวเขา” สมแล้วที่หยางเชียนฮ่วนเป็นศิษย์ของท่านโหราจารย์ มีจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรี
“ดี!”
สวี่ชีอันปรบมือ “ข้าชื่นชมความหยิ่งในศักดิ์ศรีของศิษย์พี่หยาง”
‘ไอ้โง่’…หลี่หลิงซู่ก่นด่าสาดเสียเทเสีย พลางคิดในใจว่า ‘เจ้าไม่รู้สินะว่าสวี่หนิงเยี่ยนมันใจไม้ไส้ระกำขนาดไหน’
สวี่ชีอันหิ้วปีกหลี่หลิงซู่และหยางเชียนฮ่วนออกไปจากห้องจัดงานแต่งงาน
ส่วนซุนเสวียนจีใช้ค่ายกลส่งตัวจากไปพร้อมกับผู้พิทักษ์หยวน
…
สิบห้านาทีต่อมา เขาก็กลับมาเพียงคนเดียว ในห้องจัดงานแต่งงานยังมีแขกท่านสุดท้ายหลงเหลืออยู่ ราชินีผู้ครองอาณาจักรหมื่นปีศาจ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพร้อมกับไป๋จีที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง
เพราะยังมีแขกอยู่ที่นี่ หลินอันจึงยังคงรักษาท่าทีสง่างาม นางวางมือบนหัวเข่าและนั่งตัวตรงอยู่บนเตียง แต่ก็ไม่ได้พูดคุยกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
คนหนึ่งนั่งหลังตรงอย่างสง่างาม ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั่งไขว้ขาอย่างเกียจคร้านและลูบลูกสุนัขจิ้งจอกในอ้อมแขนเป็นครั้งคราว
“เหตุใดราชินีผู้ครองอาณาจักรหมื่นปีศาจถึงได้เดินทางไกลโพ้นมายังที่ราบภาคกลาง ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?”
สวี่ชีอันปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้น
“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะพูดได้ หาสถานที่เงียบสงบไร้ผู้คนสักที่เถอะ” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวเสียงเบา
สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะหันไปมองหลินอันและกล่าวว่า “ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย ไม่นานข้าจะกลับมา”
“อืม!”
หลินอันเห็นว่ามีเรื่องจริงจัง แม้ว่าจิตใจของนางไม่อยากจะยินยอม แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย
สวี่ชีอันพาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไปยังห้องที่ตนเองอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ สถานที่นี้ยังคงว่างเปล่า เขาผลักประตูเข้าไป จุดเชิงเทียนที่อยู่บนโต๊ะและโบกมือเป็นสัญญาณให้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนั่งประจำที่ภายใต้แสงไฟสลัว
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางวางไป๋จีไว้บนโต๊ะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไปหานายท่านใหม่ของเจ้าเถอะ”
“โอ้!” ไป๋จีตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ก่อนจะกลายเป็นเงาสีขาวและวิ่งออกไปจากห้อง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสะบัดแขนเสื้อและปิดประตูลง
“เจ้าเตรียมจะโจมตีอรัญตาเมื่อใด?”
สตรีผมสีเงินถามตรงเข้าประเด็น
“หลังจากบุกเบิกทางเรือในขั้นแรกกระมัง” สวี่ชีอันกล่าว
สตรีผมสีเงินขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่สามารถเข้าใจได้และไม่ได้รับคำอธิบายจากสวี่ชีอัน ดังนั้นนางจึงฟังเขาพูดต่อไป “ข้าเพิ่งจะแต่งงาน รออีกสักหน่อยเถอะ อย่างไรก็ตาม แผนการกอบกู้ศีรษะของเสินซูสามารถเริ่มกำหนดได้เลย องค์หญิงคิดว่าอย่างไร?”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เลือก ‘วันมงคล’ มาสักวันแล้วจู่โจมอรัญตาซะ สำนักพุทธไม่มีวิชาพยากรณ์โชคชะตาของพ่อมด ไม่สามารถแสวงหาโชคดีหรือเลี่ยงโชคร้ายได้ อีกทั้งยังไม่มีความสามารถของเทียนกู่ในการสอดส่องอนาคต ขอแค่พวกเราเลือกเวลาในการโจมตีอรัญตามาสักช่วง ก็จะสามารถโจมตีโดยที่พวกเขาไม่ทันรับมือได้”
ในแผนการโจมตีอรัญตา นางริเริ่มที่จะสละพลทหารธรรมดาและทหารปีศาจไว้ที่ด้านนอก
นี่เป็นสนามสงครามระดับเหนือมนุษย์
สวี่ชีอันกล่าววิเคราะห์ว่า “สำนักพุทธไม่มีความสามารถในการแสวงหาโชคดีหรือเลี่ยงโชคร้ายก็จริง แต่การหยั่งรู้อนาคตก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวิชาเวทมนตร์เสมอไป ยังสามารถพึ่งพาสมองได้ เจ้าคิดว่าเหล่าพระโพธิสัตว์เคยพิจารณาถึงความเป็นไปได้มาก่อนหรือไม่ว่าเผ่าปีศาจและที่ราบภาคกลางจะร่วมมือกันบุกจู่โจมพระราชวังอรัญตา? พวกเขาจะแจ้งให้สำนักพ่อมดทราบล่วงหน้า ให้โอกาสซ่าหลุนอากู่ในการจู่โจมเมืองหลวงอย่างนั้นรึ? บางทีสำนักพ่อมดและสำนักพุทธก็อาจจะกำลังรอพวกเราโจมตีอรัญตาอยู่ก็ได้”
ในแง่ของคนธรรมดาสามัญ สิ่งนี้เรียกว่า…ข้าทำนายจากคำทำนายของเจ้า
“จะตัดความเป็นไปได้นี้ออกไปไม่ได้เลย!”
สตรีผมสีเงินพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของจอมยุทธ์หยาบคาย
สวี่ชีอันฉวยโอกาสกล่าวว่า “ดังนั้น ต้าฟ่งจึงจำเป็นต้องปล่อยให้ยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์ที่มีความแข็งแกร่งมากพอออกรักษาการณ์ด้วยตนเอง”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางคำนวณในใจเกี่ยวกับปริมาณ ระยะห่างระหว่างระดับของยอดฝีมือเหนือมนุษย์ในทุกด้าน ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ถึงแม้สำนักพุทธจะเกิดการสูญเสียอย่างนัก แต่ก็ยังมีผู้แข็งแกร่งในระดับสูงอีกมากมาย
ขอบเขตขั้นหนึ่ง : พระโพธิสัตว์หลิวหลี พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ พระโพธิสัตว์กว่างเสียน
ขอบเขตระดับสุดยอด : พระพุทธเจ้า
นอกจากพระพุทธเจ้าจะมีเสินซูคอยรับผิดชอบในการรับมือและกำจัดขอบเขตในการพิจารณาแล้ว สำนักพุทธยังมีขั้นหนึ่งอีกสามท่าน ข้าและอาซูหลัวผนึกกำลังกันก็แทบจะไม่สามารถสกัดกั้นพระโพธิสัตว์ทั้งสองท่านได้นอกจากเจียหลัวซู่ หากมีกำลังเสริมขั้นสามอีกสักท่านที่ไม่ใช่ระบบจอมยุทธ์ ความมั่นใจก็จะยิ่งมากขึ้น…
สวี่หนิงเยี่ยนจัดการกับพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ส่วนพระโพธิสัตว์ที่เหลืออีกหนึ่งท่าน เดิมทีลั่วอวี้เหิงสามารถจัดการได้ แต่เมื่อพิจารณาได้ว่าสำนักพ่อมดกำลังรอโอกาสลงมืออยู่ ต้าฟ่งจึงต้องเหลือขั้นหนึ่งไว้อย่างน้อยหนึ่งท่าน ขั้นสองหนึ่งท่าน หรือขั้นสามสองท่าน
“ต่อให้จะจับคู่ระบบหลักทุกระบบได้อย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มพลังการต่อสู้ให้มีความแข็งแกร่งที่สุด ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะจัดการกับสำนักพุทธและสำนักพ่อมดในเวลาเดียวกัน จำนวนคนไม่เพียงพอ” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียด
“ดังนั้นข้าถึงบอกว่าต้องรออีกสักหน่อย” สวี่ชีอันกล่าวเสียงทุ้ม “อีกไม่นานจะมีจอมยุทธ์ขั้นสามสองท่านปรากฏตัวขึ้นในต้าฟ่ง ท่านหนึ่งเป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม อีกท่านหนึ่งเป็นเทพเจ้าหยางขั้นสาม”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเลิกคิ้วขึ้นพลางจ้องไปที่เขา “จริงรึ?”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ฮว๋ายชิ่งมาถึงจุดสูงสุดของขั้นสี่แล้ว หลังจากกลืนยาโลหิตก็จะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสามได้ จิตเดิมของหลี่เมี่ยวเจินเริ่มเปลี่ยนแปลงนานแล้ว รอหลังจากที่นางย้ายไปลัทธิเต๋านิกายปฐพี นางก็น่าจะเข้าสู่ขอบเขตเหนือมนุษย์ได้อย่างราบรื่น”
ดวงตาที่สว่างไสวของสตรีผมสีเงินฉายแววตกตะลึงเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปากแล้วถอนหายใจ “หลังจากปราบปรามกบฏอวิ๋นโจว ดวงชะตาก็ถูกควบแน่น หลังจากที่ราบภาคกลางประสบสิ่งเลวร้ายที่สุด ในที่สุดก็ได้ประสบสิ่งดีๆ ทำให้ราชินีอย่างข้ารู้สึกอิจฉาเล็กน้อย”
สวี่ชีอันส่ายศีรษะ “ที่ราบภาคกลางมีระดับเหนือมนุษย์จำนวนไม่น้อยมาโดยตลอดอยู่แล้ว และไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสำนักพุทธ เพียงแต่ก่อนยุคสมัยหยวนจิ่ง เหนือมนุษย์เหล่านั้นเป็นเหมือนเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย แต่ละคนก็ล้วนมีความคิดเป็นของตัวเอง กลับมาที่ประเด็นเดิม สำนักพ่อมดมีเพียงระบบเดียว จัดการกับพวกเขาไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงปัญหาการรวมกันของระบบหลัก เหลือยอดฝีมือที่อยู่ในระดับไม่เลวไว้ก็พอแล้ว ดังนั้น เก็บลั่วอวี้เหิง โค่วหยางโจว ฮว๋ายชิ่งและหยางกงไว้ก็พอ จริงสิ หยางกงก็เข้าสู่เขตเหนือมนุษย์ได้อย่างราบรื่นแล้วเช่นกัน ถึงแม้กำลังไฟที่เผาได้ที่ในการเข้าสู่ขั้นสามช่วงแรกจะค่อนข้างแย่ แต่ขั้นสามของลัทธิขงจื๊อก็ไม่เลว”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกัดฟันกรอด
“นี่เจ้ากำลังโกรธข้ารึ?”
‘ไม่ ข้ากำลังโอ้อวดแบบอ้อมๆ ต่างหาก’…สวี่ชีอันกล่าวต่อไปว่า “คนที่เหลือจะเข้าร่วมรบแนวหน้ากับพวกเราที่อรัญตา แค่นี้ก็เพียงพอที่จะรับมือกับสำนักพุทธแล้ว”
รายชื่อผู้ออกรบ : สวี่ชีอัน เสินซู จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ราชาหมี อาซูหลัว จ้าวโส่ว ซุนเสวียนจี หลี่เมี่ยวเจิน นักบวชเต๋าจินเหลียน
ในหมู่พวกเขา นักบวชเต๋าจินเหลียน ซุนเสวียนจีและจ้าวโส่วเป็นบุคคลที่จำเป็นต้องมุ่งหน้าไปยังแดนประจิม เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่มีท่าทางเกินพอดี จึงจะสามารถจัดการกับร่างธรรมของพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งได้
“บุคคลระดับเหนือมนุษย์มารวมตัวกันที่อรัญตามากมายเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะทำลายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของสำนักพุทธนั่นจนราบเป็นหน้ากลองได้” สวี่ชีอันพูดหยอกเย้าและกล่าวต่อไปว่า “องค์หญิงมาหาข้า คงมิใช่เพื่อหารือเรื่องเหล่านี้เท่านั้นกระมัง”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตอบรับ “อืม” และกล่าวว่า “ไม่นานมานี้ข้าส่งเย่จีไปตามหาทายาทของราชาปีศาจในตอนนั้น จึงได้รู้เบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับสงครามระหว่างสำนักพุทธและเผ่าปีศาจเมื่อห้าร้อยปีก่อนจากพวกเขา”
“เป็นอย่างไรบ้าง?” สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ร่างธรรมมหาสังสารวัฏกำเนิดขึ้นจากร่างของเสินซู” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวกระซิบ
ภายใต้แสงเทียน สีหน้าของสวี่ชีอันตกอยู่ในความตะลึงอยู่เป็นเวลานาน เขาจ้องมองนางด้วยความงุนงงก่อนจะถอนหายใจช้าๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว การเดินขบวนรบไปที่อรัญตาครั้งนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะไขความลับของพระพุทธเจ้าได้”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพยักหน้าเล็กน้อย ในขณะที่กำลังจะกล่าวคำอำลาจากไป ก็เห็นสวี่ชีอันหยิบชิ้นส่วนกระจกสำริดที่แตกร้าวออกมาพลางจ้องนางด้วยสายตาเฉียบคม!
นี่…จิตวิญญาณและความคิดของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแข็งทื่อราวกับวัวที่ติดอยู่ในหล่ม ไม่สามารถหลบหนีได้ในชั่วขณะหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง