ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 820

บทที่ 820 ประกาศรางวัลนำจับ

ท้องฟ้าเพิ่งจะรุ่งสาง บรรยากาศมีความหนาวเย็นเล็กน้อยจากเมื่อคืนนี้ ถนนด้านนอกจวนตระกูลสวี่เปียกชื้น แผ่นกระเบื้องหินก็เปียกโชกไปด้วยน้ำค้าง

ชาวสวนที่ถือผักผลไม้สดเดินผ่านมา เห็นฝูงชนรวมตัวกันอยู่หน้าจวนตระกูลสวี่ก็รีบรุดเข้าไปชื่นชมความสนุกสนาน

“เกิดอะไรขึ้น สามท่านนี้เป็นใครกัน ทำไมถึงถูกแขวนอยู่นอกจวนฆ้องเงินสวี่เล่า?”

ชาวสวนที่มักจะขายผักอยู่บริเวณนี้บ่อยๆ รู้สึกประหลาดใจมาก

“เจ้าไม่เห็นรึ คนทางด้านขวานั่นเขียนไว้อย่างชัดเจน เทพบุตรนิกายสวรรค์หลี่หลิงซู่”

“คนใจคอโหดเหี้ยม เขาอาจจะเกี้ยวพาราสีสตรีสำเร็จแล้วมาทิ้งขว้าง ก็เลยถูกฆ้องเงินสวี่ลงโทษกระมัง”

“นอกจากสองท่านนี้แล้ว อีกคนคือใครกัน ศิษย์ผู้โง่เขลารึ? ไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่าฆ้องเงินสวี่ก็มีลูกศิษย์ด้วย”

“จะมีหรือไม่มีลูกศิษย์ก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่เห็นหรือว่าเขียนอยู่ทนโท่ว่าศิษย์ผู้โง่เขลา”

เหมียวโหย่วฟางได้ยินเสียงประณามดังเจื้อยแจ้วอยู่ไม่ไกลก็กล่าวด้วยความโกรธว่า “ทำไมข้าต้องถูกแขวนอยู่กับพวกหมาเห่าใบตองแห้งอย่างพวกเจ้าทั้งสองด้วยนะ”

พวกเขาทั้งสามถูกปิดผนึกเส้นลมปราณและจิตเดิม ทั้งยังถูกพิษทำให้อ่อนแอไปทั่วร่างกาย จึงทำได้เพียงถูกแขวนและทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศเช่นนี้

หลี่หลิงซู่ถอนหายใจ “เจ้ารู้จักพอเสียเถอะ พวกเจ้าทั้งสอง คนหนึ่งก็ไม่เปิดเผยหน้า คนหนึ่งก็ไม่ได้ถูกเขียนชื่อ อย่างน้อยไอ้ชาติหมาแซ่สวี่นั่นก็ยังไว้หน้าเจ้าทั้งสอง เฮ้อ เป็นไปตามคาด ข้าเกลียดไอ้ชาติหมานั่น มันก็เกลียดข้าในเวลาเดียวกัน เหมือนกับแม่เหล็กขั้วเดียวกัน เป็นเรื่องจริงไม่ผิดแน่ เฮ้ ศิษย์พี่หยาง ทำไมท่านไม่พูดอะไรเลยเล่า?”

หยางเชียนฮ่วนไม่ตอบโต้อะไร

‘ศิษย์พี่หยางเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี คงจะรับไม่ได้กับการแก้แค้นเช่นนี้’…หลี่หลิงซู่คิดในใจ

เวลานี้เอง ชาวบ้านคนหนึ่งก็ชี้ไปที่หยางเชียนฮ่วนและกล่าวว่า “ไอ้คนที่สวมหมวกคลุมนี่ ดูเหมือนจะเป็นโหรของสำนักโหราจารย์ แต่ข้าไม่รู้ว่าชื่ออะไร”

คนที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ถอดหมวกเขาออกมาดูสิ”

จากนั้นเขาก็หยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “สองมือไขว่คว้าดวงดารา ตัวข้าเดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ฉันใด ซุนเสวียนจีแห่งสำนักโหราจารย์ก็เป็นฉันนั้น!”

ซุนเสวียนจี? คนล้างผลาญอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง…ชาวบ้านที่เฝ้าดูอยู่รอบๆ ต่างก็จดจำอย่างเงียบๆ

ห้องโถงชั้นใน จวนตระกูลสวี่

อาสะใภ้ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากลวี่เอ๋อแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าไปรับประทานอาหารที่ห้องโถงชั้นใน

ในขณะที่เดินผ่านบริเวณระเบียงทางเดินก็ได้ยินเสียงเคาะไม้ดังมาแต่ไกล นั่นคือเหล่าบ่าวรับใช้ที่ตื่นแต่เช้ามาซ่อมแซมบ้าน จวนตระกูลสวี่ได้รับการขยายให้ใหญ่ขึ้นแล้ว หลังจากกว้านซื้อบ้านโดยรอบจำนวนหลายหลัง ตอนนี้จวนตระกูลสวี่ครอบคลุมพื้นที่เทียบเท่ากับจวนขององค์ชายและขุนนางชั้นสูงแล้ว

ทั้งสองข้างทางเดินมีสวนดอกไม้ที่ประดับประดาขึ้นอย่างงดงาม

เมื่อเข้าไปในห้องโถงชั้นใน อาสะใภ้ก็กวาดสายตามอง เห็นเพียงลี่น่าและหลิงอินที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะกลมและมุ่งความสนใจไปกับการจัดการกับหมั่นโถวนึ่ง ปาท่องโก๋ ซาลาเปาหมูสับและน้ำเต้าหู้ถังใหญ่ที่วางเป็นพะเนินเทินทึก

ความจุในการกินเพิ่มขึ้นอีกแล้ว คนสองคนกินในปริมาณเท่ากับยี่สิบคน…ถึงแม้จวนตระกูลสวี่จะร่ำรวยมั่งคั่งแล้ว แต่เมื่ออาสะใภ้ที่คุ้นเคยกับการทำงานบ้านและดูแลคนในตระกูลได้เห็นฉากนี้ก็ยังรู้สึกปวดใจไม่น้อย

อารองสวี่ต้องเข้าเวรก็เลยออกจากจวนไปนานแล้ว

หลังจากอาสะใภ้นั่งลงแล้วก็จิบน้ำเต้าหู้เล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “ทำไมหลิงเยวี่ยและพี่สาวยังไม่มาอีก? ลวี่เอ๋อ เจ้าไปดูหน่อยสิ”

สำหรับคู่บ่าวสาวมือใหม่นั้น นางไม่เคยมีความคิดให้องค์หญิงมาทำพิธียกน้ำชาอยู่แล้ว เพราะไม่มีกฎเกณฑ์ดังกล่าว

ถึงแม้องค์หญิงจะไม่ค่อยมีสิทธิพิเศษมากมายในตระกูลสวี่เพราะหลานชายของนาง แต่องค์หญิงก็คือองค์หญิง ทางด้านการบริหารจัดการครอบครัวของอาสะใภ้ นางยึดมั่นให้อยู่ตามธรรมชาติมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความคิดของหวางซือมู่ที่เจ้าลิงนั่นอ่านความคิดของนางออกมาเมื่อวาน

ไม่นึกเลยว่าสะใภ้ในอนาคตคนนี้จะพูดให้ร้ายนางเช่นนี้

เมื่อคืนอาสะใภ้โกรธจนนอนไม่หลับอยู่ค่อนคืน

ลวี่เอ๋อหันหลังเดินออกไป ไม่นานนางก็กลับมาและกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่บอกว่าไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ คงไม่ออกมารับอาหารแล้ว ทั้งยังสั่งให้บ่าวนำอาหารเช้าเข้าไปส่งให้ในห้อง ป้ามู่ก็บอกเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ”

“ฮึ่ย ไม่ออกมาก็ไม่ต้องกิน” อาสะใภ้วางตะเกียบลง ก่อนจะสูดหายใจเข้าและหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้งพลางกล่าวว่า “ลวี่เอ๋อ ส่งอาหารไปให้พวกนาง”

จิตใจของหลิงเยวี่ยช่างลึกล้ำยิ่งนัก ในท้องเต็มไปด้วยคำพูดให้ร้าย หวางซือมู่คิดชั่วกับแม่ขนาดนั้น ในฐานะที่ข้าเป็นพี่สาวร่วมสาบานย่อมเป็นห่วงหนิงเยี่ยนจริงๆ ถึงแม้ผู้หญิงที่เป็นห่วงเขาจะมีมากมาย ข้าคุ้นเคยกับการเป็นอาสะใภ้เสียแล้ว ว่าแต่พี่สาวอายุเท่าไรกัน?

หากนางชอบหนิงเยี่ยนจริงๆ นางก็ต้องเรียกข้าว่าอาสะใภ้ไม่ใช่รึ? ไร้สาระ! โชคดีที่นางมีรูปลักษณ์ในระดับปานกลาง หนิงเยี่ยนจึงดูถูกนางยิ่งนัก

ถึงอาสะใภ้จะอืดอาดเชื่องช้า แต่อย่างไรก็ไม่ใช่คนโง่ นางขมวดคิ้วด้วยอาการปวดหัว

นี่มันเรื่องอะไรกัน!

ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

ชายคาลอยเด่น แต่ละชั้นของหอเฮ่าชี่ล้วนมีหอสังเกตการณ์ นกสองตัวเกาะอยู่บนราวระเบียงและส่งเสียงร้องจิบๆ ในดวงตาสีเข้มของมันสะท้อนร่างของชิงอีที่กำลังนั่งอย่างสงบและจิบชาอย่างสบายๆ

‘ตึก ตึก ตึก’…เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดดังขึ้น หนานกงเชี่ยนโหรวเข้าไปในห้องชา

นกสองตัวที่เกาะอยู่บนราวระเบียงกระพือปีกบินด้วยความประหลาดใจและหายตัวไปในท้องฟ้าสีคราม

“เจ้าจะควบคุมชี่พิฆาตในร่างของตัวเองได้เมื่อใด จะได้มีหวังกับขั้นสามมากขึ้น”

เว่ยเยวียนเปิดฝาถ้วยน้ำชาออก เทชาหอมคุณภาพสูงพลางส่งสัญญาณให้หนานกงเชี่ยนโหรวเข้านั่งประจำที่

หนานกงเชี่ยนโหรวอยู่จุดสูงสุดของขั้นสี่นานแล้ว แต่การก้าวสู่ขั้นเหนือมนุษย์สามารถพูดได้ว่ายังอีกยาวไกลนัก

“พ่อบุญธรรม เมื่อครู่ข้าได้ยินเรื่องบางอย่างมาด้วย” หนานกงเชี่ยนโหรวจิบชา ในแววตาแฝงไปด้วยการกระเซ้าหยอกเล่นที่หาได้ยาก “มันเกี่ยวกับประเพณีแกล้งบ่าวสาวเมื่อวานนี้ พ่อบุญธรรมคาดการณ์ได้แม่นจริงๆ”

หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวกระซิบว่า “หลังจากพวกเราไปแล้ว คนกลุ่มนั้นก็รุมตอมห้องแต่งงานและเตรียมจะก่อความวุ่นวาย”

เว่ยเยวียนพยักหน้ากล่าวว่า “เป็นไปตามความคาดหมาย หยางเชียนฮ่วนและหลี่หลิงซู่ดูเหมือนจะ ‘อิจฉา’ หนิงเยี่ยนมาก แต่สวี่หนิงเยี่ยนก็ใช่ย่อยเหมือนกัน แต่…”

แต่ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของเขาก็คือการกลั่นแกล้งผู้อื่น

สวี่หนิงเยี่ยนคือคนที่เขาพาออกมาด้วยมือตัวเอง เด็กคนนั้นคิดอะไรอยู่ เขาย่อมมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งและไม่ตกหลุมพรางอย่างแน่นอน

เว่ยเยวียนไม่ได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา เขาเป็นคนไม่อวดฉลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

หนานกงเชี่ยนโหรวเลิกคิ้วขึ้นพลางกล่าวว่า “เป็นเพราะเหตุผลนี้ ตอนพิธีแกล้งบ่าวสาวเมื่อคืน สวี่หนิงเยี่ยนพบปีศาจวานรตนหนึ่ง ว่ากันว่าเขาบำเพ็ญพลังจิตถึงขั้นสูงมาก สามารถมองเห็นจิตใจมนุษย์ได้อย่างทะละปรุโปร่ง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ก็ยังไม่สามารถหลบหลีกได้…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง