ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 843

บทที่ 843 สารจากเทพเจ้ากู่

……….

นางก็ตกหลุมรักเข้าอย่างจัง…สวี่ชีอันทอดมองเหล่าคุณชายในม้วนภาพ ไม่นานนักก็ถอนสายตากลับมา แล้วมองฮว๋ายชิ่งที่จ้องด้วยตาลุกวาวและสีหน้าจริงจัง

ฮว๋ายชิ่งโอหัง สำรวม และหยิ่งในศักดิ์ศรี นิสัยต่างกับหลินอันอย่างสิ้นเชิง

นางอยากได้บางอย่าง แต่จะไม่พูดออกมา

จุดนี้ยิ่งกว่าลั่วอวี้เหิงที่ ‘รังเกียจการบำเพ็ญคู่’ เสียอีก

สวี่ชีอันรู้จักนิสัยของฮว๋ายชิ่งจากมุมของเขา หยิ่งยโสกว่าลั่วอวี้เหิงและแข็งกร้าวกว่าหลี่เมี่ยวเจิน

หญิงสาวที่มีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เกรงว่ายากจะยอมรับว่าสามีหลงรักหญิงอื่น ดังนั้นสวี่ชีอันจึงไม่เคยตกหลุมรักฮว๋ายชิ่ง

คาดไม่ถึงว่าตอนนี้นางจะตกหลุมรักตนเข้าแล้ว

เมื่อลองคิดอีกรอบ ทั่วทั้งใต้หล้าสงบสุขทุกวันนี้ ประชาชนยุ่งอยู่กับการเตรียมดินเพาะปลูก ปัญหาเสบียงและหญ้าเลี้ยงม้าก็ค่อยๆ ถูกแก้ไขเพราะภาษีศุลกากรที่เปิดกว้าง ตัวฮว๋ายชิ่งก็กลายเป็นประมุขแล้ว ไม่หวั่นเกรงกับอุปสรรคอันใดอีก

ประจักษ์ชัดว่าสิ่งที่นางต้องการแสวงหาต่อไปคืออะไร…

สวี่ชีอันทอดถอนใจ

“ช่างน่าเสียดายนัก…”

ฮว๋ายชิ่งเลิกหางคิ้วพร้อมเอ่ย

“เสียดายหรือ”

สวี่ชีอันแบมือ

“โปรดกวาดสายตามองต้าฟ่ง คนที่คู่ควรกับฝ่าบาทจะเป็นใครได้อีกนอกเสียจากฆ้องเงินผู้นี้ ท่านอยากแต่งงานก็น่าจะบอกให้เร็วกว่านี้ ข้าจะได้แต่งงานกับท่านพร้อมหลินอันไปเสีย ตอนนี้ทำอย่างไรดี พี่สาวคงเป็นอนุให้ให้น้องสาวไม่ได้สินะ”

ท่าทางถอนหายใจของเขาราวกับตนได้พลาดโอกาสสำคัญไป

ขันทีกุมตราลัญจกรกับเหล่าขันทีน้อยก้มหน้าพร้อมเพรียง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

ขณะที่ตั้งใจฟัง ‘ความลับระดับสูง’ ควรวางตำแหน่งของตนเป็นมนุษย์เครื่องมือขี้ลืมจะดีที่สุด เรื่องหลังจากนี้ก็อย่าแม้แต่จะคิดหรือพูดอะไรทั้งสิ้น

นี่เป็นหนทางรอดชีวิต

อันที่จริงขันทีในวังกลัวการพบเจอเรื่องประเภทนี้เป็นที่สุด เพราะยิ่งรู้มากชีวิตก็จะยิ่งสั้น

ฮว๋ายชิ่งตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ นางจ้องสวี่ชีอันสักพัก ก่อนจะทำเสียงฮึดฮัด

“ฆ้องเงินสวี่พูดจาน่าขัน หลินอันเป็นน้องสาวของข้า ในเมื่อเจ้าเป็นราชบุตรเขยก็ต้องควบคุมอารมณ์ อย่าสองจิตสองใจ ปฏิบัติกับนางให้ดี”

หน้าตาของนางไม่เคร่งขรึมอีกต่อไป น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้น ดูเหมือนจะพอใจกับคำตอบของสวี่ชีอันอย่างมาก

หลังจากสวี่ชีอันขอโทษที่ตน ‘พลั้งปาก’ ฮว๋ายชิ่งก็ส่งเสียง ‘อืม’ พร้อมเอ่ย

“วันนี้เว่ยกงมีงานจิปาถะรัดตัว จึงเข้าวังมาเล่นหมากรุกกับข้าไม่ได้ ฆ้องเงินสวี่ก็เล่นหมากรุกกับข้าแทนเว่ยกงเสียแล้วกัน”

แต่ข้าเล่นเป็นแค่หมากรุกกับหมากเรียงห้าตัว…สวี่ชีอันตอบรับ

หอเฮ่าชี่!

เว่ยเยวียนเปิดจดหมายลับ เนื้อหาด้านในเป็นสถานการณ์ของนิกายมหายานดินแดนประจิมทิศ สำนักพุทธห้ามพระอรหันต์ตู้เอ้อร์เผยแพร่นิกายมหายานและวางแผนจัดงานประชุมพุทธศาสนาหลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ตอนนี้กำลังเรียกชุมนุมผู้ศรัทธาในดินแดนประจิมทิศ

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีบุตรในเงามืดในดินแดนประจิมทิศมากมาย ยังเป็นคนของดินแดนประจิมทิศอีกด้วย คนเหล่านี้กระจายไปทุกประเทศในดินแดนประจิมทิศเพื่อรวบรวมข่าวของสำนักพุทธโดยเฉพาะ

ในจดหมายยังเอ่ยอีกว่า แม้อรัญตาจะห้ามทุกประเทศและทุกชนชั้นไม่ให้เผยแพร่นิกายมหายาน ทว่าหากวันหนึ่งเมล็ดพันธุ์ความคิดงอกรากแตกหน่อก็จะกลับมาเหมือนดังเดิมได้ยาก คล้ายกับสะเก็ดไฟลามทั่วทุ่ง

นิกายมหายานหันไปเผยแพร่ในเงามืด ได้รับการยกย่องและติดตามจากคนยากจนและทาสที่มีชีวิตแร้นแค้น

จากคำบอกเล่าของบุตรในเงามืดที่เป็นทาส ผู้ศรัทธาที่เลื่อมใสนิกายมหายานยกย่องฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งต้าฟ่งว่าเป็นผู้อยู่เหนือพุทธในสามโลก จิตตานุภาพของพระองค์ย่างกรายสู่จิ่วโจว เผยแพร่แนวคิดของนิกายมหายาน ผู้ที่รู้ธรรมคนแรกก็คือตู้เอ้อร์

ผู้อยู่เหนือพุทธช่วยทุกชีวิตในโลกให้หลุดพ้นขุมนรก ทุกคนบรรลุเป็นพุทธะ

เว่ยเยวียนพึมพำเล็กน้อย กางกระดาษลงบนโต๊ะ หยิบพู่กันเขียนบางอย่าง จากนั้นก็ประทับตราของเขา แล้วเรียกหนานกงเชี่ยนโหรวมาพร้อมเอ่ย

“เจ้านำศาสน์ของข้าไปรับเงินสามหมื่นตำลึงเงินที่เมืองกวนในซินเจียงตอนใต้ ส่งไปที่ดินแดนประจิมทิศ แล้วมอบให้ทางฝั่งบุตรในเงามืด”

หนานกงบุคลิกนุ่มนวลรับศาสน์ แล้วขมวดคิ้วถาม

“ท่านพ่อบุญธรรมนี่มัน…”

เว่ยเยวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้นเคล้าอาดูร

“ประชาชนในดินแดนประจิมทิศขัดสนเกินไปแล้ว มอบเงินเหล่านี้ให้พวกเขาไปเปลี่ยนแปลงชีวิต นิกายมหายานไม่เพียงชะล้างจิตใจของพวกเขาได้ ยังทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหารได้อีกด้วย”

หนานกงเชี่ยนโหรวเป็นคนฉลาด จึงเข้าใจความหมายของท่านพ่อบุญธรรมทันที

หากเชื่อนิกายมหายานยังมีเงินให้ใช้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าคนที่เป็นกลางและลังเลเหล่านั้นจะเลือกอย่างไร

“ฮึ ยังดีที่มีท่านพ่อบุญธรรมวางกลยุทธ์อยู่เบื้องหลัง จอมยุทธ์ป่าเถื่อนเช่นสวี่หนิงเยี่ยนรู้จักแต่รบราฆ่าฟันไปวันๆ จะคิดเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร” หนานกงเชี่ยนโหรวสบโอกาสว่าร้ายและช่วงชิงความโปรดปราน

เว่ยเยวียนส่ายหน้า

“หากสวี่หนิงเยี่ยนต้องทุ่มแรงกายแรงใจวางแผนแม้แต่สิ่งเหล่านี้ ต้าฟ่งก็ไม่คุ้มค่าที่จะช่วยเหลือแล้ว”

หนานกงเชี่ยนโหรวหยุดเดิน แล้วหันกลับไปเอ่ย

“เหตุใดวันนี้ท่านพ่อบุญธรรมถึงไม่เข้าวัง”

ตามปกติส่วนใหญ่ตอนนี้ท่านพ่อบุญธรรมจะหารือกิจการบ้านเมืองและเล่นหมากรุกกับฝ่าบาทอยู่ในวัง

เว่ยเยวียนถอนใจ “ฝ่าบาทส่งคนมาแจ้งว่าวันนี้ข้าไม่ต้องเข้าไปในวังแล้ว ข้าคาดเดาว่าจากนี้ข้าก็คงไม่ต้องเล่นหมากรุกกับนางแล้ว”

ทว่าจดหมายลับฉบับนี้ยังต้องให้คนเข้าไปส่งในวังและมอบให้ฝ่าบาทอยู่ดี

หลังจากนั้นมาสวี่หนิงเยี่ยนก็ได้รับแจ้งจากในวังทุกวัน ฮว๋ายชิ่งเชิญเขาเข้าวังเพื่อเล่นหมากรุกและหารือกิจการบ้านเมือง

นอกเสียจากเล่นหมากรุกอย่างจริงจังและหารือกิจการบ้านเมืองในช่วงไม่กี่วันแรก หลังจากนั้นหลายครั้งที่ฮว๋ายชิ่งมักจะเชิญฆ้องเงินสวี่มาเยี่ยมชมสวนดอกไม้ ทอดมองจากที่สูง กระทั่งแข่งขันแลกเปลี่ยนความรู้กัน

ฆ้องเงินสวี่เหมือนจะกลายเป็นขุนนางคนโปรดของจักรพรรดินีไปแล้ว

เมื่อเห็นคนสกุลสวี่เข้าออกพระราชวังบ่อยครั้งเช่นนี้ เหล่าขุนนางใหญ่ที่ส่งจดหมายขอให้ฝ่าบาทอภิเษกสมรสและแนะนำให้ ‘แต่งตั้งองค์รัชทายาท’ ก็ค่อยๆ น้อยลง แล้วกลับไปคอยสังเกต

จวนสกุลสวี่

วันนี้ช่วงเช้าสวี่หลิงอินวิ่งเป็นวงกลมอยู่ในลานโดยมีไป๋จีอยู่บนศีรษะ ไป๋จีปรับแขนขาทั้งสี่อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความสมดุล

นี่เป็นการละเล่นที่พวกเขามักจะเล่นกัน หากไป๋จีตกลงมาก่อนหรือไม่สวี่หลิงอินขาดใจเสียก่อนก็จะแพ้

คนที่แพ้ต้องยกขาไก่ของคืนนี้ให้อีกฝ่าย

ทว่าคนกับจิ้งจอกมักจะตัดสินแพ้ชนะไม่ได้

เส้นทางห้องโถงด้านในมองเห็นจีไป๋ฉิง อาสะใภ้ สวี่หลิงเยวี่ย หลินอัน และยังมีมู่หนานจือกำลังดื่มชาพูดคุยอยู่ในห้องโถง บรรยากาศช่างกลมเกลียว

“ข้าคิดว่าบรรยากาศบ้านพวกเจ้าพิลึกเล็กน้อย” ไป๋จียืนอยู่บนศีรษะลูกมนุษย์พร้อมเอ่ยเสียงเบา

สวี่หลิงอินกลอกตาขึ้นและตอบด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา

“อะไรหรือ”

ไป๋จีเอ่ยเสียงหวาน

“บอกไม่ถูกเหมือนกัน แค่รู้สึกแปลกๆ สายตาที่แม่ของเจ้ามองท่านน้าของข้าช่างแปลกประหลาด จะต้องอิจฉาที่ท่านน้าสวยกว่านางแน่ๆ องค์หญิงหลินอันผู้นั้นยังให้ของกินข้าเมื่อวานเพื่อสืบหาตัวตนของท่านน้า อืม พี่เย่จีบอกข้าว่าเด็กน้อยต้องซื่อสัตย์…แต่ข้ายังไม่ได้บอกภรรยาของฆ้องเงินสวี่”

เผ่าพันธุ์ปีศาจจับสังเกตทางสีหน้าและคำพูดเก่ง นี่เป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดมาแต่กำเนิด

สวี่หลิงอินฟังจบ สีหน้าก็หม่นหมอง

“เจ้ากำลังพูดอะไร”

ไป๋จีครุ่นคิด ก่อนจะเอียงศีรษะ

“ข้าก็ไม่รู้…แต่ก็รู้สึกแปลกๆ ”

สวี่หลิงอินเสนอ

“เช่นนั้นพวกเราไปถามท่านอาจารย์ของข้ากันเถอะ ท่านอาจารย์ของข้าปราดเปรื่องมาก”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง