ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 844

บทที่ 844 ดินแดนของกู่

……….

หลังจากข้อความถูกส่งไปแล้ว ฮว๋ายชิ่งที่กำลังว่างก็ส่งข้อความตอบกลับเป็นคนแรก

‘ทางวังส่งจดหมายมาถึงจวน เรียกตัวเจ้ากลับไปด้วยเหตุนี้เองหรือ’

สวี่ชีอันจรดนิ้วกำลังจะส่งข้อความตอบ แต่เห็นหลี่เมี่ยวเจินชิงส่งข้อความมาถามก่อน

หมายเลขสอง ‘เจ้ามาทำอะไรที่วัง!’

มากับท่านป้าไง…สวี่ชีอันส่งข้อความตอบ

หมายเลขสาม ‘นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญตรงที่ข้อมูลของเทพเจ้ากู่ต่างหาก’

หมายเลขสี่ ‘น้ำค้างยามสารทฤดูคือสิ่งบอกกาล เปรียบดั่งฤดูใบไม้ร่วงหมุนเวียนมาบรรจบ สวี่หนิงเยี่ยน เรื่องพวกนี้เจ้าไม่รู้เลยหรือ’

ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกทึ่ง

อ๋อ น้ำค้างยามสารทฤดูคือสิ่งบอกกาลงั้นหรือ ฤดูกาลของข้าในชาติที่แล้วไม่มีอะไรแบบนี้น่ะ…สวี่ชีอันส่งข้อความตอบ

‘ข้าต้องรู้อยู่แล้วสิ แต่เรื่องสำคัญของข้าคือสาเหตุที่เทพเจ้ากู่จงใจกล่าวถึงน้ำค้างยามสารทฤดูต่างหากเล่า’

ปกติเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องวันเวลา จึงไม่ค่อยเข้าใจฤดูกาลของโลกนี้มากนัก

สวี่ชีอันคิดว่า ‘น้ำค้างยามสารทฤดู’ หมายถึงชิ้นส่วนสมบัติสวรรค์ หรือไม่ก็น้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงเสียอีก

หมายเลขเจ็ด ‘เห็นได้ชัดว่านี่แสดงถึงช่วงเวลาของบางสิ่งบางอย่าง หรือเวลาของสิ่งที่สำคัญมากกว่า ส่วน ‘หากไม่แปลงกู่ ย่อมหนีไม่พ้นมหาเคราะห์’ คงไม่จำเป็นต้องแปลความกันอีก’

เทพบุตรที่งานยุ่งทั้งวันสละเวลามาตอบคำถาม

หมายเลขหนึ่ง ‘ข้าว่าเราต้องแยกแยะให้ออก ว่าเทพเจ้ากู่ส่งข้อความถึงหนิงเยี่ยนผ่านหลิงอิน หรือว่าต้องการส่งข้อความถึงหลิงอินตรงๆ กันแน่’

หนิงเยี่ยน?! หลี่เมี่ยวเจินเลิกคิ้วขึ้นโดยสัญชาตญาณ

ฮว๋ายชิ่งคนนั้นแทบจะไม่เคยเรียกสวี่ชีอันแบบนี้อย่างเปิดเผยเลย

พอนึกเชื่อมโยงว่าสวี่ชีอันกลับจวนมาจากวัง จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินก็กัดฟันกรอดทันที

‘พูดถึงน้ำค้างฤดูใบไม้ร่วง เมื่อไม่นานมานี้เว่ยกงเพิ่งข้อความลับมา บอกว่าสำนักพุทธเตรียมจะจัดประชุมธรรมะในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร รวมกำลังพลผู้ศรัทธา’

หมายเลขแปด ‘เช่นนั้น น้ำค้างยามสารทฤดูก็เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธและประชุมธรรมะน่ะสิ?’

อาซูหลัวที่แอบอ่านเงียบๆ อดไม่ได้ที่จะส่งข้อความมา

ฉู่จ้วงหยวนสเคราะห์

หมายเลขสี่ ‘หาก ‘น้ำค้างยามสารทฤดู’ เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ เช่นนั้นคำพูดนี้ย่อมเป็นข้อความที่ส่งถึงหนิงเยี่ยนผ่านหลิงอิน’

สาเหตุนั้นเรียบง่ายเทพเจ้ากู่ไม่มีทางส่งข้อความถึงหลิงอิน เพราะนางยังเป็นแค่เด็ก

ทำแบบนั้นไปไม่มีความหมาย

หากมองเช่นนี้ แสดงว่างานประชุมธรรมะมีอะไรไม่ชอบมาพากลน่ะสิ เทพเจ้ากู่ต้องการจะเตือนข้างั้นหรือ หรือต้องการจะยืมมือข้าทำลายแผนการของพระพุทธเจ้า ซึ่งแผนนี้เกี่ยวข้องกับงานประชุมธรรมะ…สวี่ชีอันดำดิ่งในห้วงความคิด

หมายเลขสอง ‘แต่ที่แน่ๆ ประโยคที่สองไม่ได้พูดกับสวี่ชีอันไอ้คนหน้าซื่อใจคดนี่หรอก’

หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความไปด้วยความไม่พอใจ

ทำไมอยู่ดีๆ ข้าถึงกลายเป็นคนหน้าซื่อใจคดไปเสียได้…สวี่ชีอันส่งข้อความยืนยันคำพูดของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน

‘ข้าก็คิดเช่นนั้น ดูเหมือนว่าเทพเจ้ากู่จะส่งคำเตือนไปถึงหลิงอิน หากไม่แปลงกู่ ก็หนีมหาเคราะห์ไม่พ้น เท่านี้ก็เข้าเค้าแล้ว’

ใจความของคำพูดนี้เกี่ยวข้องกับมหาเคราะห์ เทพเจ้ากู่เตือนว่าหากไม่แปลงกู่ จะหนีไม่พ้นมหาเคราะห์ กลับกัน หากกลายเป็นกู่แล้ว จะหลีกหนีมหาเคราะห์ได้อย่างนั้นหรือ

แล้วสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้แปลงเป็นกู่จะเป็นอย่างไร

หมายเลขหนึ่ง ‘จู่ๆ ข้าก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ยังจำคำพูดของลี่น่าได้หรือไม่ พวกศาสดาพยากรณ์ของเผ่าเทียนกู่เคยทำนายว่า วันที่เทพเจ้ากู่ฟื้นคืนชีพ จิ่วโจวจะกลายเป็นดินแดนของกู่’

!!!

คำพูดของฮว๋ายชิ่งเรียกความทรงจำเมื่อสองปีที่แล้วของทุกคนกลับมา

ตอนที่ลี่น่าส่งข่าว ‘รูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อแตกร้าว’ ในพรรคฟ้าดิน นางเคยกล่าวว่าการปกป้องเทพเจ้ากู่เป็นปณิธานที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของเผ่าพันธุ์กู่ เนื่องจากศาสดาพยากรณ์ของเผ่าเทียนกู่เคยทำนายเอาไว้ว่า เมื่อใดที่เทพเจ้ากู่คืนชีพ เมื่อนั้นทั้งจิ่วโจวจะกลายเป็นดินแดนของกู่

หรือคำทำนายของศาสดาพยากรณ์แห่งเผ่าเทียนกู่ จะทำนายถึงมหาเคราะห์? กล่าวคือ เป็นส่วนของมหาเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้ากู่…ฉู่หยวนเจิ่นเกิดประกายความคิดขึ้นมา เขาคิดว่าสิ่งที่เขาคาดเดาเป็นความจริง

‘หากไม่แปลงกู่ มหาเคราะห์จะมาเยือน เช่นนั้นเทพเจ้ากู่ต้องการจะเปลี่ยนจิ๋วโจวให้กลายเป็นดินแดนแห่งกู่อย่างนั้นหรือ? ที่แท้พวกเราก็ได้เห็นเสี้ยวมุมหนึ่งของมหาเคราะห์โดยไม่รู้ตัว…’ หลังจากหลี่เมี่ยวเจินเชื่อมโยงเบาะแสต่างๆ เข้าด้วยกัน นางก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาฉับพลัน

‘อมิตตาพุทธ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…’ ไต้ซือเหิงหย่วนที่ซุ่มอ่านข้อความอยู่เข้าใจขึ้นมาทันใด

เช่นนั้น เทพเจ้ากู่ก็หวังจะให้หลิงอินบรรลุวิชากู่ขั้นสูงให้ได้ในเร็ววัน หรือกระทั่งสละทิ้งร่างมนุษย์และกลายเป็นกู่อย่างนั้นหรือ มิฉะนั้นเมื่อมหาเคราะห์มาถึง จะหลีกหนีความตายไม่พ้น นี่มันความสัมพันธ์ศิษย์-อาจารย์ประสาอะไรกันวะ…สวี่ชีอันก่นด่าอยู่ในใจ

อาซูหลัวและหลี่หลิงซู่เข้าร่วมพรรคเร็วที่สุด แต่ติดต่อหลังสุด พวกเขาเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก จึงทั้งตกใจและประหลาดใจ

หมายเลขห้า ‘ข้าพูดไปแบบนั้นก็จริง แต่ว่ามันเกี่ยวกับการที่เทพเจ้ากู่เข้าฝันหลิงอินตรงไหน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับประโยคสุดท้ายด้วย’

ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดและสับสนกันอยู่นั้น ลี่น่าจะจ้องมองหน้าจออยู่นานก็เผยความสงสัยของนางออกมา

แต่ไม่มีใครสนใจนาง…

หมายเลขเก้า ‘ข้าคิดมาตลอดว่าประโยคหลังที่ว่า ‘หากไม่แปลงกู่ ย่อมหนีไม่พ้นมหาเคราะห์’ จะมีความหมายแฝงล้ำลึกเสียอีก แค่คิดไม่ทะลุปรุโปร่งเท่านั้นเอง’

เมื่อคืนนักบวชเต๋าจินเหลียนสนุกกับการหยอกเล่นกับพวกแมวบนหลังคาและตามตรอกซอกซอยจนลืมกลับบ้าน หลังจากที่พวกแมวแยกย้ายกันไปในตอนเช้า นักบวชเต๋าจินเหลียนจึงกลับมานอนอาบแดดในสวนบ้านของตน

เดิมทีเขาไม่อยากยุ่งกับกลุ่มสนทนาพรรคฟ้าดินสักเท่าไร แต่เจ้าพวกเด็กอมมือพวกนี้เอาแต่คุยกันไม่หยุดไม่หย่อน เขางีบหลับไม่ได้เพราะใจสั่นตลอดเวลา นักบวชจึงจำใจต้องเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ข้อมูลที่ล้ำค่าขนาดนี้

หมายเลขสอง ‘ท่านนักบวชมาแล้ว ข้านึกว่าท่านจะปลีกวิเวกเสียอีก พวกข้าคุยกันตั้งนานสองนานไม่เห็นท่านจะโผล่มาเลย’

แต่ละคนทยอยทักทาย ขณะเดียวกันก็บ่นในใจไปด้วย

‘นักบวชเต๋าจินเหลียนคงไม่ได้สิงร่างแมว ออกไปเที่ยวเตร่ตอนกลางคืนอีกนะ…’

‘สวี่หนิงเยี่ยนกล้าพูดเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้อย่างหน้าไม่อาย ไม่ให้เกียรติท่านนักบวชสักนิด…’ สมาชิกกลุ่มต่างคิดในใจ

‘เหตุใดทุกคนถึงไม่ตอบคำถามของข้าเลย ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…’ ลี่น่ายังคงครุ่นคิดอยู่ในใจ

หมายเลขเก้า ‘สามหาว! เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ อาตมาจำต้องใช้เวลาครุ่นคิดน่ะสิ ตอนนี้อย่าเพิ่งถกกันเรื่อง ‘แปลงกู่’ เลย ‘น้ำค้างยามสารทฤดู’ น่าจะหมายถึงช่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เทพเจ้ากู่น่าจะบอกว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงสำนักพุทธจะมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น

‘นั่นคือ ‘ประชุมธรรมะ’ ที่หมายเลขหนึ่งพูดถึง เทพเจ้ากู่คงคิดจะยืมมือเจ้าทำลายพระพุทธเจ้า’

บวชเต๋าจินเหลียนคาดเดาเหมือนกับข้าไม่มีผิด…สวี่ชีอันแอบพยักหน้า

หมายเลขเจ็ด ‘เหตุใดจึงไม่ใช่ยามมหาเคราะห์มาเยือนเล่า’

เทพบุตรเอ่ยถึงการคาดเดาอย่างหนึ่งอย่างอาจหาญ

หมายเลขสาม ‘ถ้าถึงวันมหาเคราะห์มาเยือน เทพเจ้ากู่จะเปิดเผยตัวกับข้าหรือ อย่าลืมสิว่าพวกเราเป็นศัตรูกับท่าน’

หลี่หลิงซู่คล้อยตาม

หลังจากพุดคุยกันสั้นๆ และสรุปกันอีกเล็กน้อย สวี่ชีอันก็ ‘ออกจากกลุ่มแชต’ เก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างดี ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

สวี่หลิงอินเป็นเหมือนกระต่ายตะกละ ริมฝีปากของนางเคี้ยวตุ้ยๆ ขณะที่กินขนมสุดหอมหวาน

“หยิบขนมแล้วก็ออกไป พี่ใหญ่อยากอยู่เงียบๆ”

สวี่ชีอันไล่เสี่ยวโต้วติงออกไป และนั่งครุ่นคิดอะไรคนเดียวเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะ จนกระทั่งแสงตะวันคล้อยไปทางทิศตะวันตก และเปลี่ยนเป็นสีส้ม

ในที่สุด เขาก็รู้สึกตัว หันไปมองนาฬิกาน้ำหยดที่มุมห้อง และพบว่าตอนนี้เป็นยามโหย่ว สามเค่อแล้ว

บังเอิญในตอนนี้เอง ประตูห้องหนังสือก็เปิดออกส่งเสียงดัง ‘แอ๊ด’ นางข้าหลวงของหลินอันก้าวเข้ามา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ท่านราชบุตรเขย ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านไปเข้าเฝ้าเพคะ”

สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยสีหน้าอ่อนโยน เขาลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยถาม

“องค์หญิงล่ะ”

เขาอยู่ที่ห้องหนังสือตลอดช่วงบ่าย ทว่าหลินอันไม่มาหาเขาเลย หรือความรักจืดจางไปเสียแล้ว

นางข้าหลวงตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ฝ่าบาทกำลังเล่นวางหมากกับฮูหยินมู่เพคะ”

ป้ามู่เป็นชื่อที่สวี่ชีอันเรียก ขณะที่เหล่าคนรับใช้ผู้ดูแลเทพดอกไม้ต่างเรียกนางว่าฮูหยินมู่

ฮูหยินมู่ผู้นี้หน้าตาธรรมดา อายุสี่สิบกว่าปี ว่ากันว่านางเป็นหญิงหม้าย ได้มาอาศัยอยู่ที่จวนเพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายหญิงบ้านสกุลสวี่

มีข่าวลือในหมู่คนรับใช้ว่าฮูหยินมู่เป็นคนสนิทของฆ้องเงินสวี่ ทั้งสองมีความสัมพันธ์ลับๆ ต่อกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง