ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 886

สรุปบท บทที่ 886 สามเดือน: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 886 สามเดือน – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 886 สามเดือน ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 886 สามเดือน

Ink Stone_Fantasy

หมายเลขหนึ่ง ‘นี่เจ้าบุ่มบ่ามไปสะสางแค้นที่สำนักพ่อมดงั้นรึ? สถานการณ์ทางสำนักพ่อมดเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า?’

หากเป็นประเด็นเกี่ยวกับการเมือง ฮว๋ายชิ่งมักตอบสนองเร็วกว่าคนอื่นๆ จึงตอบกลับเป็นคนแรก

ทั้งนี้นางไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวมากนัก เพียงรู้สึกว่าการกระทำของสวี่ชีอันนั้นหุนหันพลันแล่นเกินไป เขาเปิดฉากต่อสู้กับสำนักพ่อมดโดยไม่เรียกกลุ่มเหนือมนุษย์คนอื่นๆ หรือแม้แต่เสินซูให้มาช่วย

หมายเลขเจ็ด ‘เทพยุทธ์ครึ่งก้าวหนังหนาออกขนาดนั้น คงไม่ตายง่ายๆ หรอก’

หลังมาถึงซินเจียงตอนใต้เมื่อวันก่อน หลี่หลิงซู่ที่ไม่ได้กลับเมืองหลวงไปพร้อมกับเย่จี โดยวางแผนพักอ้างแรมอยู่ที่ดินแดนเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นเวลาสองสามวัน เอ่ยตอบเป็นคนถัดมา

เขาถือเป็นแขกคนสำคัญของดินแดนเผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจให้การต้อนรับเขาด้วยเหล้าและเนื้อชั้นดี ทั้งยังมีนางจิ้งจอกแสนสวยมาร้องรำลอยชายประกอบจังหวะ ครั้นเทพบุตรเมาได้ที่ก็เข้าไปสุมวงร้องรำทำเพลงกับนางจิ้งจอกด้วย

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม้จะสุขสมเพียงใด แต่เขาจะไม่ให้มีภาระมาพัวพันเด็ดขาด เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นแขกคนสำคัญ เขาย่อมมีอภิสิทธิ์เพียงพอ

แน่นอนว่ามีนางจิ้งจอกมากมายอยากร่วมหลับนอนกับเขา แต่หลี่หลิงซู่ก็ยืนกรานปฏิเสธ

‘ทุกคนรื่นเริงให้เต็มที่เถิด อย่าได้คิดจะนอนกับข้าเลย’

กลับกันหากเป็นในบ้านอาจต่างออกไปลิบลับ พวกผู้หญิงที่หลงใหลในความงามของเขา คงรุมทำอะไรต่อมิอะไรกับเขาไปแล้ว

สรุปคือถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งที่เขาสามารถใช้ชีวิตในสภาวะมึนเมาที่ซินเจียงตอนใต้ได้โดยไม่ต้องปีนกำแพงหนีผู้หญิงแต่อย่างใด

หมายเลขสอง ‘ตายสิดี!’

หลี่เมี่ยวเจินสาปแช่งด้วยความกรุ่นโกรธ

นางเพิ่งกลับมาจากการเดินทางอันแสนยาวนานที่โพ้นทะเล และกำลังหาเรื่องให้สวี่หนิงเยี่ยนทำในเช้าวันรุ่งขึ้นอยู่ แต่สุดท้ายเขาดันไปมีเรื่องที่เมืองจิ้งซานเสียเองเนี่ยนะ?

หลี่เมี่ยวเจินฉุนเฉียวแล้ว ไว้เขียน ‘จดหมายแห่งมิตรภาพ’ ให้นางทีหลังแล้วกัน…สวี่ชีอันกล่าวในใจ ก่อนเขียนข้อความต่อมา

ข้ายึดดินแดนทั้งสามมณฑลทางตะวันออกเหนือได้หมดแล้ว โปรดฝ่าบาทส่งกองกำลังเข้ายึดอาณาเขตของสำนักพ่อมดโดยด่วน’

ในพระราชวัง ณ เมืองหลวงอันห่างไกล จู่ๆ ฮว๋ายชิ่งก็พลิกตัวลุกพรวดขึ้นนั่ง พลางจ้องมองไปที่ผิวกระจกหยกบานเล็กอย่างเลื่อนลอย

‘ยึดได้แล้ว?!’

‘ยึดได้แล้วจริงๆ หรือ?’

ตั้งแต่สมัยโบราณกาล สำนักพ่อมดได้ครอบครองดินแดนตะวันออกเหนือทั้งหมด ประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งกว่าต้าฟ่ง มีระบอบการปกครองระดับสุดยอดและทหารม้าที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ เฉกเช่นเดียวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทางชายแดนตอนเหนือที่สร้างความกังวลให้กับต้าฟ่ง

กลายเป็นว่าสำนักพ่อมดสูญสิ้นไปเพียงชั่วข้ามคืน?

หมายเลขหนึ่ง ‘เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่มีทางน่า เทพพ่อมดไม่ปกป้องสำนักพ่อมดอย่างนั้นหรือ?’

สวี่ชีอันปักรายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมดไว้ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี

เขาไม่ได้วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงหรือสิ่งจะตามมาหลังจากเทพพ่อมดปกป้องพ่อมด ตลอดจนต้าฟ่งจะได้รับผลประโยชน์อะไร เพราะสวี่ชีอันเชื่อว่าในหมู่สมาชิกของพรรคฟ้าดินยกเว้นลี่น่า เชาวน์ปัญญาของคนอื่นๆ อยู่ในระดับเหนือพื้นฐานทั้งสิ้น

ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเลย

ทว่าสิ่งเดียวที่เขาจะต้องอธิบาย คือเรื่องที่เทพพ่อมดปกป้องพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ โดยควบคุมให้พวกเขาเข้าไปในร่างกายต่างหาก

หมายเลขสาม ‘ดูเหมือนว่าระดับสุดยอดจำเป็นต้องยอมรับวิถีหลอมรวมร่างกายของตัวเองเข้ากับผู้ฝึกตน ตอนที่ข้าเข้าช่วยเหลือศีรษะของเสินซู พระโพธิสัตว์ทั้งสามก็ได้ถูกรวมเข้ากับร่างของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน’

หมายเลขเก้า ‘สำนักพ่อมดถูกบังคับให้เสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่สินะ’

นักบวชลัทธิเต๋าจินเหลียนโผล่มาแสดงความคิดเห็น

หมายเลขแปด ‘แล้วการปิดผนึกเทพพ่อมดเป็นอย่างไรบ้าง?’

อาซือหลัวส่งข้อความถาม

มหาเนตรบนข้อมือของสวี่ชีอันสว่างวาบขึ้น จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวที่บนแท่นบูชา ระหว่างรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อและรูปปั้นเทพพ่อมด

รูปปั้นสวมมงกุฎหยกหนามบนศีรษะ ดวงตาค่อยๆ เคลือบฉาบด้วยหมอกสีดำ จ้องมองมาที่เขาอย่างไร้อารมณ์

มองทำไม เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก…สวี่ชีอันเพิกเฉยต่อสายตาของเทพพ่อมด พลางสำรวจรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ

เผ่าพันธุ์มนุษย์มีอายุสั้นที่สุด ทว่ากลับมีประติมากรรมอันน่ายอดเยี่ยมเกรียงไกรที่สุด ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกร้าวที่คล้ายกับใยแมงมุม ราวกับหากลมพัดมามันอาจแตกสลายเป็นผุยผงก็เป็นได้

หมายเลขสาม ‘ไม่เกินสามเดือน ตราผนึกของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์จะสลายไป’

วันเวลาแห่งมหาเคราะห์คืบคลานเข้ามาแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะท้ายปี!

‘สามเดือน…’ หัวใจของสมาชิกพรรคฟ้าดินพลันจมดิ่งลง ลางหายนะและความรู้สึกวิตกแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง

ถ้าพวกเขาไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับมหาเคราะห์มาก่อน ในใจคงได้แต่ภาวนาขอให้ไม่เกิดเหตุร้ายใดๆ ตามมา คิดว่าแม้พวกเขาจะต้านลิขิตแห่งสวรรค์ไว้ไม่ได้จริงๆ แต่ด้วยพลังระดับเหนือมนุษย์ที่มี ย่อมหาทางออกได้เสมอ

หากจิ่วโจวอยู่ไม่ได้ ก็ออกทะเลไปสิ

โลกแสนกว้างใหญ่ จะไม่มีที่ให้ไปเชียวหรือ?

ทว่าในตอนนี้ได้ล่วงรู้แล้วว่าเป้าหมายของระดับสุดยอดคือการแทนที่วิถีแห่งฟ้าและกลายเป็นจิตตานุภาพของดินแดนจิ่วโจว นั่นจึงทำให้สถานการณ์ต่างออกไป

พวกเขาซึ่งเป็นชาวต้าฟ่งที่เหลือรอด เกรงว่าต่อให้จะหนีไปที่ไหนก็ล้วนแต่เป็นทางตัน

แม้ว่าโลกจะกว้างใหญ่เพียงใดก็คงไม่มีที่สำหรับพวกเขา

หมายเลขเก้า ‘หากไม่สามารถเอาชนะมหาเคราะห์ได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกจะถูกกำจัดออกไป’

หมายเลขหก ‘อมิตตาพุทธ สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนเป็นทุกข์’

ด้วยบุญกุศลของนักบวชเต๋าจินเหลียนและหลี่เมี่ยวเจินที่ได้สั่งสมมา ด้วยจิตเมตตากรุณาของไต้ซือเหิงหย่วน สิ่งที่คำนึงจึงไม่เกี่ยวกับความปลอดภัยของตนเอง แต่กลับเป็นความอยู่รอดของผู้คน

จินเหลียน เหิงหย่วนและเมี่ยวเจินคือสิ่งที่อันตรายที่สุด พวกเขาอาจพลีกายโกงชะตาของตัวเอง…ไม่ ข้าจะไม่มีวันให้พวกเขาปักธงทำอย่างนั้นแน่ ผิดบาป ผิดบาป…สวี่ชีอันสลัดความคิดนี้ออกจากใจอย่างรวดเร็ว

ในบรรดาสมาชิกคนอื่นๆ อาทิเทพบุตร ฉู่หยวนเจิ่นหรืออาซูหลัว พวกเขาค่อนข้างยึดหลักเหตุผลมากกว่า หรือก็คือขาดจิตสำนึกที่จะอุทิศตนเพื่อคนทั่วไปนั่นเอง

หมายเลขเจ็ด ‘หากมหาเคราะห์ถึงจุดไม่อาจหวนกลับจริงๆ สวี่หนิงเยี่ยนต้องตายเป็นแน่แท้สิน่า’

ยามนี้เทพบุตรถอนหายใจลงในกลุ่มสนทนาอย่างปลงตก

จากนั้นก็ไม่มีใครพูดคุยกันครู่หนึ่ง

อา แท้จริงแล้วพวกเขาก็ปักธงแห่งความหวังไว้ในใจของข้าด้วย…สวี่ชีอันส่งข้อความตอบ

ข้าได้พบกับเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่สำนักพ่อมด เทพบุตร เขาเป็นคนสนิทของตงฟางหว่านชิง’

หมายเลขสี่ ‘ขอแสดงความยินดีกับเทพบุตร’

ฉู่หยวนเจิ่นรีบโพล่งขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึม

หมายเลขสอง ‘ยินดีด้วยพี่ใหญ่’

หมายเลขแปด ‘ยินดีด้วย!’

หมายเลขเก้า ‘ยินดีด้วย!’

สมาชิกคนอื่นๆ ต่างแห่แหนเข้ามาแสดงความยินดี

ซินเจียงตอนใต้อันห่างไกล ใบหน้าของหลี่หลิงซู่ค่อยๆ เรียบตึง นางจิ้งจอกที่กำลังกรีดกรายร่ายรำในห้องโถงหมดความอภิรมย์ไปทันตา

‘ให้ข้าพักผ่อนสักหน่อยเถอะ ความอยากอาหารลดฮวบไปหมดแล้วเนี่ย เจ้าบ้าสวี่หนิงเยี่ยน…’ หลี่หลิงซู่พึมพำในใจพลางส่งข้อความถาม

‘พี่หรง เหล่าพ่อมดรวมร่างเข้ากับเทพพ่อมดอย่างนั้นรึ?’

ปากพร่ำบ่นทว่าในใจยังคงคำนึงหาผู้หญิงของเขาอยู่เสมอ

หมายเลขสาม ‘อื้อ!’

หลังจากสิ้นสุดการสนทนากลุ่ม สวี่ชีอันก็เคลื่อนไปยังร่างของตงฟางหว่านชิง

ร่างระหงของคนด้านหลังพลันประหม่า ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

“กลับเมืองหลวงไปพร้อมข้าเถอะ หลี่หลิงซู่รอเจ้าอยู่ที่นั่น” สวี่ชีอันมองอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยอย่างใจเย็น

“แน่นอนว่าเจ้าสามารถเลือกกลับไปที่ตำหนักมังกรตงไห่ได้เช่นกัน”

แม้สีหน้าและน้ำเสียงของเขาจะสงบเงียบมากหรือเรียกได้ว่าไร้เยื่อใยแบบสุดๆ กระนั้นตงฟางหว่านชิงกลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เพราะนางรู้อยู่แล้วว่ายามอยู่ต่อหน้าบุคคลในตำนานผู้นี้ ตัวนางแทบไม่ต่างกับสัตว์เลื้อยคลานตัวหนึ่ง หากอีกฝ่ายต้องการฆ่ากันทิ้ง นางคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่ได้มามัวพูดกับตัวเองแบบนี้หรอก

‘เขาเห็นแก่มิตรภาพที่มีต่อคุณชายหลี่ หาใช่ตัวเราไม่…’ ตงฟางหว่านชิงโค้งคำนับทำความเคารพ

“ขอบคุณฆ้องเงินสวี่ยิ่งนัก”

พระราชวัง ห้องทรงพระอักษร

หวางเจินเหวินในชุดราชพิธีสีแดงเข้ม บนศีรษะสวมหมวกประจำตำแหน่ง กำลังก้าวขึ้นบันไดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มุ่งตรงไปยังห้องทรงพระอักษร

ข้างกายเขาคือเว่ยเยวียนในชุดสีกรมท่าอันวิจิตร จอนผมสีขาวรำไร ดวงหน้าแสนหล่อเหลา

หลังจบการประชุมเมื่อวานนี้ หวางเจินเหวินก็ใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงในการงีบหลับที่บ้าน ก่อนจะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ราชการอันหนักหน่วง

ทว่าจิตวิญญาณของหวางเจินเหวินนั้นยังคงแรงกล้า ด้วยยศของเขาและตระกูลซึ่งมียากลืนวิญญาณของสำนักโหราจารย์ที่ได้ผลชะงัดนักสำรองไว้มากมาย ตราบใดที่ไม่เป็นโรคร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกาย

สวี่ชีอันทำเรื่องนี้ได้

และเขาก็เป็นศิษย์ที่ได้รับการบ่มเพาะด้วยน้ำมือของเว่ยเยวียนเอง

กรงกรรมได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว

เว่ยเยวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบอารมณ์ พลางพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฝ่าบาททรงเรียกพวกกระหม่อมทั้งสามมาที่นี่เพื่อหารือเรื่องกลยุทธ์ยึดครองสามก๊กอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า

“สามก๊กมีอาณาเขตกว้างขวางอันสามารถเพาะปลูกและล่าสัตว์ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรมากมาย หลังจากยึดครองสามก๊กได้แล้ว ต้าฟ่งจะแก้ไขปัญหาเรื่องเสบียงเงินตราอย่างถอนรากถอนโคน ตลอดจนบรรจุการชุมนุมของสาวกพุทธมหายานลงในระเบียบวาระ”

“สิ่งนี้ไม่อาจทำสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน แต่เรายังมีเวลาอีกสามเดือน”

“ถึงอย่างไรก็มีหลายเรื่องที่สามารถเลื่อนออกไปก่อนได้ แต่เรื่องปราบสามก๊ก ข้าจะออกกฤษฎีกาให้ใต้หล้าได้รับรู้เสียก่อน เพื่อรวบรวมโชคชะตาและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับต้าฟ่ง”

หวางเจินเหวินรีบกล่าวขึ้นทันที

“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนฆ้องเงินสวี่เลย แค่ส่งกองกำลังเหนือมนุษย์สักสองสามคนไปจัดการที่ชายแดนมณฑลทั้งสามก็น่าจะเพียงพอแล้ว”

ปัจจุบันต้าฟ่งมีผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์มากมาย คำพูดของเหล่าหวางจึงเปล่งออกมาด้วยความมั่นใจ

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า

“รายละเอียดไว้ค่อยหารือกันอีกที”

สวี่ชีอันทิ้งตงฟางหว่านชิงไว้ที่บ้านของเทพบุตร ก่อนจะทิ้งทวนกับเหล่านางสนมน้อยใหญ่ว่า

ข้าถูกฝากฝังจากหลี่หลิงซู่ให้ช่วยเขาตามหาคนรัก จากนี้ไปพวกเจ้าและนางจะกลายมาเป็นพี่น้องกัน อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง อย่าได้ทำให้หลี่หลิงซู่น้องชายข้าต้องลำบากใจ

คำพูดของฆ้องเงินสวี่ เหล่าสนมนางไหนเลยจะกล้าหักหาญ ในเมื่อพวกนางทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นมิตร

ซ้ำยังถามเขาอีกว่าหลี่หลิงซู่อยู่ที่ไหนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างแทบรอไม่ไหวที่จะแบ่งปันความสุขกับคุณชายหลี่ของตนในเวลานี้

สามัคคีกันจริงๆ เลยนะ…สวี่ชีอันที่ได้เห็นสิ่งนี้ก็รู้สึกชื่นใจยิ่งนัก

ในใจได้แต่ร่ำร้อง เทพบุตรเอ๊ยเทพบุตร ฆ้องเงินสวี่คนนี้ช่วยเจ้าได้เท่านี้แหละหนา

เมื่อกลับมาถึงจวนสกุลสวี่ พบว่าหลินอันที่ทำงานหนักจนจวนตัวกำลังเข้าสู่ห้วงนิทราลึก จึงเลือกที่จะไม่รบกวนนาง พลางปลีกตัวไปนั่งที่โต๊ะพร้อมกับขบคิดว่าเขาควรทำอะไรในช่วงสามเดือนนี้ดี

ระยะเวลาตลอดสามเดือนนี้สำคัญมาก

“โบราณท่านว่า กันไว้ดีกว่าแก้ หากเตรียมพร้อมล่วงหน้าก็จะไม่สูญเสีย”

“ก่อนอื่นคือดินแดนประจิมทิศ มีข้าและเสินซูประจำการอยู่ พระพุทธเจ้าคงไม่กลืนกลายเหลยโจวก่อนจะเกิดมหาเคราะห์หรอก ต่อให้พระองค์มาข้าก็ไม่กลัว เพียงเทพยุทธ์ครึ่งก้าวสองคนก็เพียงพอที่จะสกัดกั้นระดับสุดยอดกลับไปได้”

“ตามที่คาดไว้ พระองค์รอให้พ่อมดและเทพกู่หลุดพ้นจากผนึกก่อน เมื่อถึงตอนนั้นกองทัพระดับสุดยอดก็จะเข้ารุกรานที่ราบภาคกลาง เห็นทีคงคิดผนวกกำลังสังหารเสินซูและข้าอย่างแน่นอน จากนั้นพระองค์ก็รอกลืนกลายที่ราบภาคกลาง ตามด้วยช่วงชิงวิถีแห่งฟ้ากับระดับสุดยอดคนอื่นๆ”

“ส่วนทางด้านสำนักพ่อมด พ่อมดส่วนใหญ่ได้รวมเข้ากับร่างของเทพพ่อมดแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าพวกเขาสละอาณาเขตของตัวเองทิ้ง หวังว่าฮว๋ายชิ่งจะสามารถรวมสามก๊กได้ในโดยเร็วที่สุด เพื่อเติมเต็มโชคชะตา ยิ่งโชคชะตาแข็งแกร่งเท่าไรก็จะยิ่งเป็นผลดีมากเท่านั้น”

“ที่น่าเสียดายคือข้าไม่รู้วิธีใช้โชคชะตา ซ้ำท่านโหราจารย์ก็ดันมามีลับลมคมใน ไม่รู้ว่าจะติดต่อไปดีหรือเปล่า”

“ถึงเวลาแล้วที่เผ่าพันธุ์กู่ทางซินเจียงตอนใต้จะต้องย้ายไปยังที่ราบภาคกลาง เมื่อเทพกู่ถือกำเนิด พวกเขาทั้งหมดก็จะกลายเป็นกู่ เมื่อเหล่าหัวหน้ากลายเป็นกู่ แสดงว่ากลุ่มเหนือมนุษย์ก็จะกลายเป็นอสูรกู่”

“ฮวงก็เหมือนกับเทพกู่ ไม่อาจเว้นโอกาสให้เขาขยายกองกำลังได้ หวังว่าจิ้งจอกเก้าหางจะสามารถจัดการกับปัญหาลูกหลานเทพมารได้ในโดยเร็วเช่นกัน เพื่อขจัดอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่”

หลังจากคลี่คลายทุกด้านแล้ว สวี่ชีอันก็วกกลับมาที่ปัญหาหลัก

เลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์!

ในประเด็นนี้ เขามีสองวิธี หนึ่งคือศึกษาจากบันทึกประวัติศาสตร์ของสำนักโหราจารย์ เพื่อดูว่าท่านโหราจารย์ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้หรือเปล่า

สองคือรวบรวมผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั้งหมด ระดมความคิดว่าจะเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ได้อย่างไร

ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ต้องรู้จักใช้ความสามารถที่มีให้เกิดประโยชน์

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเหนือมนุษย์แห่งต้าฟ่งหรือกลุ่มเหนือมนุษย์แห่งกู่ ล้วนแล้วแต่เป็นคนเฉลียวฉลาด อ่อ ยกเว้นพ่อของลี่น่าที่ไม่อยู่ในกลุ่มคนข้างต้น

หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว เขาก็นวดคลึงที่หว่างคิ้ว ทว่าแทนที่จะเข้านอนกลับหายตัวไปจากข้างโต๊ะหนังสือ

ชั่วครู่ต่อมา เขาก็ปรากฏตัวในห้องส่วนตัวของมู่หนานจือ

……………………………………

……….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง