บทที่ 888 อสูรกู่เหนือมนุษย์
Ink Stone_Fantasy
แม้แดนประจิมและสำนักพุทธจะเป็นพันธมิตรช่วยเหลือกันมาตลอดห้าร้อยปีที่ผ่านมา แต่ระหว่างกันและกันก็มีการต่อสู้ภายในอย่างไม่เคยขาด
โดยเฉพาะการปฏิบัติต่อปัญญาชนลัทธิขงจื๊อ สำนักพุทธได้มีการเผยแพร่ความเกลียดชังอย่างแข็งขัน
ทว่าสาวกผู้ศรัทธาต่อสำนักพุทธโดยทั่วไปแล้วจะเกลียดชังปัญญาชนจากที่ราบลุ่มภาคกลางกันถ้วนหน้า
ความระหองระแหงนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่สำนักอวิ๋นลู่ส่งเสริมการทำลายล้างพุทธศาสนา
ดังที่ทุกคนทราบดีว่า ราชสำนักแห่งที่ราบลุ่มภาคกลางเป็นดินแดนของปัญญาชน ขุนนางชั้นสูงทั้งราชสำนักล้วนแต่เป็นผู้มีการศึกษา
ดังนั้น เหล่าสาวกพุทธมหายานจึงเกิดความกังวลอย่างหลีกไม่ได้
จะว่าไปแล้ว สภาพอากาศของที่ราบลุ่มภาคกลางก็แตกต่างจริงๆ ในอากาศมีความชื้นมากขึ้น ในลมหายใจก็ราวกับได้กลิ่นหอมหวาน
แสงอาทิตย์เจิดจ้าทว่าไม่แสบร้อน เหล่าสาวกจากแดนประจิมกลุ่มนี้ทยอยถอดหมวกและเสื้อคลุมเพื่อป้องกันแสงอาทิตย์ระหว่างทางแล้ว
นอกจากนี้ ระหว่างทางยังเห็นภูเขาและสายน้ำ ทุ่งหญ้าเขียวขจีริมทาง ดอกไม้ป่าข้างทางส่งกลิ่นหอมขจร นี่ไม่ได้หมายความว่าแดนประจิมไม่มีภูเขา ดอกไม้และสายน้ำ ทว่าดินแดนที่ราบลุ่มภาคกลางได้มอบ ‘ความอ่อนโยน’ และ ‘ความละเอียดอ่อน’ ให้ชาวแดนประจิมกลุ่มนี้อย่างยากจะอธิบาย
ทิวทัศน์ในแดนประจิมส่วนมากจะเป็นประเภทกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
“พี่จู๋ไล่ หากก่อนหน้านี้พวกเราใช้ชีวิตอยู่ที่ราบลุ่มภาคกลางก็ไม่ต้องขอทานหรอก สามารถเลือกเก็บผลไม้ได้ทุกที่บนภูเขา”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่ผลไม้ป่าซึ่งห้อยระย้าอยู่บนยอดไม้ไม่ไกล
จู๋ไล่ประนมมือ
“อมิตาภพุทธ ทุกหนแห่งในที่นี้ล้วนเป็นปราณชีวิต”
หลังจากชะงักครู่หนึ่ง เขาก็มองไปรอบๆ แล้วเอ่ยกับสาวกพุทธมหายานข้างกายว่า
“คำพูดของฆ้องเงินสวี่มีพลังมากในที่ราบลุ่มภาคกลาง ส่วนเขาเป็นพุทธะสูงสุดแห่งสามพันโลก เป็นผู้ก่อตั้งนิกายมหายาน คงไม่ปฏิบัติกับพวกเราอย่างเลวร้ายแน่
“สหายทุกท่านอย่าได้กังวลไปเลย”
หลังเข้าสู่วิชาพุทธะหลายเดือน เขาก็ถอยออกจากพฤติกรรมกลับกลอกลับๆ ล่อๆ ของขอทานข้างถนน แล้วมานับถือพุทธมหายานด้วยความจริงใจ
เวลานี้เอง ถนนหลวงข้างหน้ามีเสียงกีบม้ากระทบพื้นดังกุบกับ ฝุ่นฟุ้งตลบ ทหารม้าสวมชุดเกราะเบากลุ่มหนึ่งควบม้าห้อตะบึงเข้ามา
สัญชาตญาณระวังภัยของสาวกพุทธมหายานตื่นตัวขึ้น สีหน้าตื่นตระหนก
จิ้งซือกดมือไว้ หลังจากปลอบใจสาวกคร่าวๆ แล้วจึงเข้าไปทักทาย
“หยุด!”
ทหารม้าดึงบังเหียนให้ม้าหยุดตรงหน้าเขา นายทหารซึ่งเป็นหัวหน้าเอ่ยเสียงเข้มว่า
“ไต้ซือคือจิ้งซือใช่หรือไม่”
จิ้งซือพยักหน้า สองมือประนม
“เป็นอาตมาเอง ที่นี่ใช่อำเภอผานซานหรือไม่”
หัวหน้าทหารยิ้มพลางว่า
“ข้ามาที่นี่เพื่อต้อนรับไต้ซือจิ้งซือรวมถึงสาวกพุทธมหายานทุกคน ตามคำสั่งของสมุหเทศาภิบาลเหลยโจว”
พูดจบ เขาก็ยืดคออยู่บนหลังม้า ทำท่ามองไปไกล
ผู้คนเนืองแน่นหลั่งไหลมาตามถนนหลวงยาวสุดลูกหูลูกตา
นายทหารหนุ่มชี้ขาดได้ทันทีว่าสาวกพุทธมหายานคณะนี้มีจำนวนไม่ต่ำกว่าสองแสนคน
เมื่อได้ยินว่ามารับตัวเอง เหล่าสาวกพุทธมหายานด้านหลังจิ้งซือก็สงบใจลงเล็กน้อย
ภิกษุจิ้งซือเอ่ยว่า
“รบกวนท่านนำทางด้วย”
นายทหารหนุ่มพยักหน้า ก่อนหันบังเหียนม้าแล้วค่อยๆ เดินมานำทางด้านหน้าขบวน
ขณะที่มุ่งหน้าต่อไปตามถนนหลวง ระหว่างทาง สองฝากฝั่งถนนหลวงเป็นที่นาซึ่งแบ่งเป็นช่องๆ อย่างมีระเบียบ ข้าวสาลีสีทองโล้ลมเป็นคลื่นขึ้นลง
ชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิตด้วยเคียวในมือ พวกเขาทำงานกลางแดด เหงื่อไหลไคลย้อย ทว่าความมีชีวิตชีวาและความสุขที่ได้จากการเก็บเกี่ยวทำให้สาวกพุทธมหายานรู้สึกโหยหาไปตลอดทาง
ว่ากันว่าผืนดินที่ราบลุ่มภาคกลางอุดมสมบูรณ์ ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริง
พวกเขามีความมั่นใจกับอนาคตของตัวเอง และอนาคตของพุทธมหายานขึ้นมาบ้างแล้ว
อย่างไรเสียการออกจากบ้านเกิด ห่างไกลดินแดนที่ตนเกิดและเติบโต มายังสภาพแวดล้อมซึ่งไม่คุ้นเคย เผชิญหน้ากับอนาคตที่ยังไม่รู้ เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกกังวลและไม่สบายใจ
ครึ่งชั่วยามต่อมา กำแพงเมืองอันทรุดโทรมเล็กน้อยก็ปรากฏขึ้นในสายตา จิ้งซือถามว่า
“ที่นี่คืออำเภอผานซานหรือ”
“อารามของพวกเราอยู่ในเมืองรึ”
นายทหารหนุ่มส่ายหัว
“พวกท่านยังไม่มีอาราม และไม่ได้อยู่ในเมืองด้วย”
สมุหเทศาภิบาลเหลยโจวไม่เคยคิดจะให้คนแดนประจิมอยู่ปะปนกับคนที่ราบลุ่มภาคกลาง ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งและสร้างปัญหาบ่อยครั้งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
จิ้งซือขมวดคิ้ว สาวกพุทธมหายานเดินทางไกลมายังที่ราบลุ่มภาคกลาง นอนกลางดินกินกลางทราย ตอนนี้สิ่งที่ต้องการที่สุดก็คืออาหารและการพักผ่อน
ทว่านายทหารผู้นี้ราวกับไม่ได้ตั้งใจจะเข้าเมืองรึ
แล้วสาวกผู้ศรัทธาเหล่านี้ที่ตนพามาจะไปอยู่ที่ใดเล่า
ด้วยความไว้ใจในท่านอาจารย์อาตู้เอ้อร์และฆ้องเงินสวี่ เขาจึงเดินอ้อมตัวอำเภอแล้วมุ่งหน้าต่อไปภายใต้การนำของนายทหารโดยมิได้โต้แย้ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา เทือกเขาอันงดงามก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ชัยภูมิของเทือกเขาลูกนี้ไม่สูงนัก ทว่างดงามเหนือธรรมดา มีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
บริเวณเชิงเขาติดกับทุ่งนา รวมถึงแม่น้ำสายใหญ่อันเลี้ยวลดคดเคี้ยว
กระโจมหลายหลังติดๆ กันตั้งอยู่ริมแม่น้ำ บนถนนใหญ่ที่ทอดยาวสู่เชิงเขา แรงงานจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเข็นรถบรรทุกพื้นเรียบเพื่อขนอิฐและไม้ขึ้นไปบนภูเขา
สายตาของจิ้งซือทอดตามแรงงานเหล่านั้นขึ้นไป จึงพบกับอารามขนาดมหึมาที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างท่ามกลางภูเขาและผืนป่า
เหล่าสาวกพุทธมหายานก็ประจักษ์ชัดเจนเช่นกัน
ใบหน้าของพวกเขาพึมพำด้วยภาษาของแดนประจิม ด้วยท่าทางที่กำลังระงับความปีติยินดีและความคาดหวัง
จิ้งซือมองไปยังทหารนายนั้นแล้วเอ่ยว่า
“ที่นี่ก็คือ…”
นายทหารหนุ่มพยักหน้า
“ต่อไปเขาผานซานลูกนี้จะเป็นที่อยู่อาศัยของพวกท่าน ราชสำนักมอบเชิงเขารวมถึงที่นาเหล่านี้แผ่ออกไปทางใต้ให้พวกท่าน ก่อนที่พวกท่านจะลงหลักปักฐาน มีเรื่องอะไรก็สามารถสื่อสารกับนายอำเภอผานซานได้
“ทว่า ก่อนที่อารามจะสร้างเสร็จ พวกท่านจะอาศัยได้แค่ในกระโจมเชิงเขาเท่านั้น”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็เผยรอยยิ้ม
“อำเภอผานซานมีประชากรไม่มาก การสร้างอารามแห่งนี้ต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมาก ขาดกำลังคนอยู่พอดี ไต้ซือจิ้งซือ พวกท่านมาได้ถูกเวลานัก”
สาวกพุทธมหายานเกือบสองแสนคน แต่ล้วนเป็นแรงงานที่ไม่มีค่าใช้จ่าย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...