บทที่ 889 วิธีการเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์
……….
ยอดเขาอรัญตา
ท้องฟ้าสีครามสดใส เมฆขาวลอยเอื่อยเฉื่อย
เสียงระฆังอันไพเราะดังก้องกังวาน ท่ามกลางเจดีย์และศาลากุฏิหลายหลังบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ภิกษุสำนักพุทธบ้างก็นั่งขัดสมาธิฟังพระสูตร บ้างก็เดินเอ้อระเหยอยู่บริเวณอาราม สุขสงบอย่างเช่นแต่ก่อน
เพียงแต่พื้นที่ราบอันห่างไกล ไม่มีผู้คนจากแดนประจิมคอยมองภูเขาศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป
นอกจากผู้บำเพ็ญพรตวิชาพุทธะแล้ว แดนประจิมถึงคราวมนุษย์สูญพันธุ์อย่างแท้จริง
หากสูญเสียการสักการะจากผู้ศรัทธา ถือเป็นปัญหาร้ายแรงถึงแก่ชีวิต ไม่ใช่นักบำเพ็ญพรตทุกคนจะอดอาหารได้
การใช้ชีวิตประจำวันถือเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่อย่างยิ่ง
แต่พระพุทธองค์ทรงปกป้องคุ้มครองพวกเขา พระองค์ได้แก้ไขกฎแห่งฟ้าดิน เพื่อให้ผู้เลื่อมใสศรัทธาสำนักพุทธแข็งแรงมีกำลังวังชา
ตราบใดที่อยู่ในแดนประจิม ผู้บำเพ็ญพรตสำนักพุทธจะมีชีวิตยืนยาว แค่ดื่มน้ำค้างก็สามารถประทังชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งอาหาร
เมื่อพระพุทธเจ้าเข้ามาแทนที่วิถีแห่งฟ้าโดยสมบูรณ์จนกลายเป็นศูนย์รวมใจแห่งดินแดนจิ่วโจว จนได้รับอำนาจอันยิ่งใหญ่ พระองค์ก็จะสามารถประทานชีวิตอมตะให้แก่ผู้บำเพ็ญพรตของระบบสำนักพุทธ
ลานกว้างด้านนอกศาลาอุโบสถ ภิกษุหนุ่มห่มจีวรแดงปักลายตารางสีเหลือง เหลือบมองพระโพธิสัตว์หญิงที่จู่ๆ ก็ปรากฏอยู่ข้างกาย
“ซ่าหลุนอากู่ซ่อนพ่อมดทั้งหมดไว้ในร่างเทพพ่อมด ไม่ช้าทั้งเหยียนจิ้งและคังสามแคว้นนี้ต้องตกเป็นของต้าฟ่ง”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนถอนหายใจ
“เรื่องนี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ระดับเหนือมนุษย์ไม่เหลือแล้ว ต่อไปใครจะต้านทานเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้? โชคชะตาทั้งสามแคว้นอยู่ในกำมือเทพพ่อมด หากไม่มีโชค ชะตากรรมของทั้งสามแคว้นก็หมดสิ้น การที่ต้าฟ่งจะผนวกรวมคงขึ้นอยู่กับเวลา”
หากไร้แรงสนับสนุนจากสำนักพ่อมด สำนักพุทธไม่มีทางกำราบต้าฟ่งได้แน่ จอมยุทธระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าวสองคนก็สกัดกั้นพระพุทธเจ้าได้สบาย ถึงแม้พระโพธิสัตว์อย่างพวกเขาทั้งสามคนอยู่ขั้นหนึ่ง แต่ยอดฝีมือขั้นหนึ่งแห่งต้าฟ่งมีสองคน
ไหนจะขั้นสองระดับสุดยอดอย่างอาซูหลัว จินเหลียน และปลาซิวปลาสร้อยขั้นสามอีกนับไม่ถ้วน
ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์อยู่รวมตัวกันแบบนี้เป็นพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะมันมากพอที่จะขัดขวางและอาจจะฆ่าพระโพธิสัตว์ทั้งสามคนอย่างพวกเขา
สำหรับแผนตอนนี้ มีแต่ต้องรอเทพพ่อมดและเทพกู่ที่เป็นระดับสุดยอดหลุดพ้นจากเคราะห์กรรม แล้วร่วมมือกับพวกเขาช่วยกันแบ่งที่ราบลุ่มภาคกลาง
คิ้วเรียวสวยของพระโพธิสัตว์หลิวหลีขมวดเล็กน้อย
“ประชาชนทั้งสามแคว้นมีมากมาย การเพิ่มโชคชะตาของต้าฟ่งน่าเป็นห่วงจริงๆ”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพลันเอ่ยถาม
“เจ้ารู้วิธีเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์หรือไม่?
พระโพธิสัตว์หลิวหลีเหลือบมองเขา
“แม้แต่พระพุทธองค์ก็ไม่รู้ว่าจะเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ได้อย่างไร มิเช่นนั้นเสินซูคงเป็นเทพยุทธ์ไปนานแล้ว”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพึมพำ
“จริงสินะ แม้แต่พระพุทธองค์ยังไม่รู้แล้วใครจะรู้ได้เล่า?”
ขณะเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนมองทางพระโพธิสัตว์หญิงงามล่มเมือง
“หลิวหลี เจ้าน่าไปดูซินเจียงตอนใต้สักหน่อย”
…
สำนักโหราจารย์
โหรชุดขาวคิดแล้วคิดอีก พลางเอ่ย
“เจ้าไปหาท่านโหราจารย์ในครัวเถอะ ข้าเป็นแค่ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยตัวเล็กๆ เรื่องใหญ่แบบนี้คุยกับข้าก็ไร้ประโยชน์ เดี๋ยวต้องไปดูฮวงจุ้ยหลุมศพแทนคนอื่นอีก เวลาเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง”
ความหมายชัดๆ ของมันคงหมายถึง ‘เวลาของข้ามีค่า อย่ามายุ่งกับข้า’ หาใช่จิตสำนึกของปรมาจารย์ฮวงจุ้ยตัวน้อยๆ…ฉุนเยียนมองสำรวจโหรชุดขาวตรงหน้า สงสัยว่าเขาอยู่ตำแหน่งใดในสำนักโหราจารย์
ทั้งท่าทางและน้ำเสียงไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยขั้นเจ็ดพึงมี
“ท่านโหราจารย์ถูกผนึกอยู่ไม่ใช่หรือ…”
นางไม่รอช้า ทำตามคำชี้แนะของโหรชุดขาว รีบเดินลงบันได ระหว่างทางก็เที่ยวถามโหรชุดขาวหลายคนถึงตำแหน่งห้องครัว
ระหว่างนี้ นางจึงตระหนักได้ว่าโหรชุดขาวตอนแรกนั้นแท้จริงเป็นเพียงปรมาจารย์ฮวงจุ้ยขั้นเจ็ด เพราะแม้กระทั่งหมอยาขั้นเก้าก็ไม่มีทีท่าสนใจพลังเหนือมนุษย์ของนางเลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาแสนธรรมดา แต่แสร้งทำเป็นมั่นใจเสียขนาดนี้
เมื่อเดินมาจนถึงห้องครัว จึงกวาดตามองรอบๆ เห็นเพียงหญิงสาวชุดเหลืองนั่งด้วยท่าทีองอาจ ด้านซ้ายคือไก่ย่าง ขวาคือขาหมู ทั้งโต๊ะอบอวลด้วยกลิ่นหอม
ทั้งสองด้านของโต๊ะสี่เหลี่ยมคือลี่น่า ลูกสาวของหลงถู เจ้าของผมหยักศก ดวงตาสีฟ้าอ่อนและผิวขาวละเอียด
และสวี่หลิงอิน เด็กหญิงตัวเล็กที่มีใบหน้ากลมไร้เดียงสา
“ส้มบ้านข้าใกล้สุกแล้ว ข้าจะชวนพี่ไฉ่เว่ยไปกินส้มล่ะ” สวี่หลิงอินเอ่ย
น้ำเสียงของนางเหมือนกับเด็กที่ตกปากรับคำ หลังเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นแล้ว
“ส้มบ้านเจ้าอร่อยงั้นหรือ” ฉู่ไฉ่เวยดูสนใจมาก
“อร่อยสิ!”เสี่ยวโต้วติงพยักหน้าหงึกหงัก ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยกินมาก่อน
ยกเว้นแต่ส้มเขียวหวาน นางรู้สึกว่าอาหารทั้งหมดบนโลกใบนี้อร่อยมาก
ฉู่ไฉ่เวยถือโอกาสพูดเงื่อนไข
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะชวนพวกเจ้าไปกินข้าว แล้วค่อยให้ข้าคืนคนละลูก”
ในห้องมีส้มอยู่สองลูก ลูกหนึ่งเป็นของลี่น่า อีกลูกเป็นของสวี่หลิงอิน พวกนางจึงจัดสรรกันแต่เนิ่นๆ
ลี่น่าฟังจบก็เอ่ยเสียงขรึม
“หลิงอินเอ๋ย เนื้อตากแห้งของปีนี้เจ้ายังไม่ให้เลยนะ ส้มของอาจารย์เจ้าต้องรับผิดชอบแล้วล่ะ”
พอได้ยินเช่นนี้ สวี่หลิงอินก็ขมวดคิ้ว ร้อนใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเห็น ลี่น่าจึงโยนเนื้อหัวหมูใส่ชามสวี่หลิงอิน
“เอาเนื้อข้าไป แลกกับส้มของเจ้า”
สวี่หลิงอินพอคิดได้ว่าตนสมควรได้รับ ก็เอ่ยอย่างมีความสุข
“ตกลง!”
โกหกเด็กแบบนี้จะเป็นอะไรหรือไม่…ฉุนเยียนกระแอมไอ
“ลี่น่า”
ลี่น่าหันกลับมา ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ผู้นำฉุนเยียน เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่สำนักโหราจารย์”
ฉุนเยียนไม่มีเวลาอธิบาย เอ่ยถาม
“ท่านโหราจารย์อยู่ที่ใด?”
ฉู่ไฉ่เวยหันมา เด็กสาวตัวน้อยมีใบหน้าน่ารักรูปไข่ ดวงตากลมโต ดูมีชีวิตชีวา
“ข้าเอง!” เด็กสาวเอ่ยบอก
…ฉุนเยียนอ้าปากค้าง มองนางด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
…
“อสูรกู่ปรากฏตัวรึ?”
ภายในห้องหนังสือจวนสวี่ สวี่ชีอันมองผู้นำเผ่าซินกู่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ ขมวดคิ้วแน่น
จี๋เยวียนนั้นกว้างใหญ่ ภูมิประเทศซับซ้อนและนอกจากนี้ยังไสยศาสตร์กู่ก็ทั้งแปลกและคาดเดาไม่ได้ พวกอสูรกู่มีพลังแกร่งกล้าล้วนเชี่ยวชาญวิชาอำพรางกายอย่างแน่นอน แม้พวกผู้นำเผ่ากู่จะลงไปกำจัดอสูรกู่ที่แข็งแกร่งเป็นครั้งคราว แต่ก็รับรองไม่ได้อยู่ดีว่าปลาตัวใดจะหลุดอวนบ้าง
“เหตุการณ์เป็นอย่างไร”เขาถาม
“อสูรกู่สองตนที่เกิดใหม่คือเทียนกู่และลี่กู่ ตนแรกฉลาดอย่างมาก หลังจากต่อสู้กับพวกข้าจนได้รับบาดเจ็บ มันก็เข้าไปหลบในจี๋เยวียนกับลี่กู่ตนนั้น” ฉุนเยียนอธิบายเหตุการณ์คร่าวๆ
“พลังของเทพกู่ที่อยู่ในหุบเหวจี๋เยวียนนั้นแข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเหนือมนุษย์ลงไปอยู่นานๆ ก็อาจถูกกัดกร่อนเช่นกัน มิหนำซ้ำอาจทำให้กู่เจ้าชะตากลายพันธุ์ด้วย
“ยิ่งไปกว่านั้นเทียนกู่ตนนั้นมีพลังวิชาดวงดาราผันเปลี่ยน หากรวมกับพลังอันแข็งแกร่งของลี่กู่แล้วล่ะก็ หากต้องปะทะกันในจี๋เยวียน นอกจากป๋าจี้ หลงถู โหยวซือ คนอื่นๆ มีหวังเอาชีวิตไม่รอดแน่”
เทพกู่ใกล้ถูกปลดผนึกเข้าไปทุกที…สวี่ชีอันคิดในใจ พลางเอ่ยว่า
“ความเฉลียวฉลาดของลี่กู่น่าจะไม่สูงนัก มันจะร่วมมือกับอสูรเทียนกู่หรือ?”
ถ้าจำไม่ผิด อสูรกู่ล้วนบ้าระห่ำ ไร้สติปัญญา
ฉุนเยียนเอ่ยอย่างจำใจ
“ฆ้องเงินสวี่ควรรู้ไว้ว่า ในเผ่ากู่ทั้งเจ็ดเผ่า มีเทียนกู่เป็นหัวหน้านำอีกหกเผ่า ทั้งนี้เจ็ดยอดกู่ในตัวเจ้าก็ขึ้นอยู่กับเทียนกู่เช่นเดียวกัน
“รู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?”
สวี่ชีอันประสานสิบนิ้วเข้าด้วยกัน วางไว้บนอกพลางเอนหลังพิงเก้าอี้ตัวใหญ่
“เชิญพูด”
ที่เขาสุภาพอ่อนน้อมกับผู้นำเผ่าซินกู่ผู้นี้ ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายสวยและฉลาด แต่เพราะตอนยืมกองกำลังครั้งนั้น เผ่าซินกู่ได้ส่งกองทัพอสูรเหินเวหาในเผ่าเข้าร่วม
เข้าร่วมด้วยความเต็มใจ
สวี่ชีอันจำความรู้สึกนี้ได้ดี
ฉุนเยียนเอ่ย
“หากเปรียบลี่กู่เป็นร่างกายและปราณโลหิตของเทพกู่ เปรียบเคล็ดวิชากู่อื่นๆ เป็นวรยุทธ์ เทียนกู่ก็คือจิตเดิมของเทพกู่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สวี่ชีอันจึงเข้าใจ
“เทียนกู่สามารถทำให้หกเผ่าที่เหลือยอมจำนนโดยไม่มีข้อกังขา”เขาพยักหน้า แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อกลับมาเป็นปกติ
“อสูรกู่ทั้งสองตนในจี๋เยวียนปล่อยให้ข้าจัดการแล้วกัน หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว ข้าหวังว่าเผ่ากู่จะสามารถย้ายมาอยู่ที่ราบลุ่มภาคกลาง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...